"กาลครั้งหนึ่ง ณ สถานซึ่งห่างไกลจากดินแดนใด ยังมีแดนอันรุ่งเรืองและรุ่งโรจน์เหนือถิ่นไหน เต็มไปด้วยความสุขของผองชนผู้คน และความยิ่งใหญ่ขจรขจายไปทั่วทิศแสนไกล จนมิอาจมีดินแดนใดเทียบเคียง"
"แดนสุวรรณคือชื่อของสถานนั้น แดนที่ทุกสิ่งรุ่งโรจน์ดั่งทองคำ ถิ่นที่ไม่มีสิ่งใดจะนำพาความทุกข์มาให้ และไร้ซึ่งผู้ใดได้เห็นคืนวันอันเลวร้ายใต้ฟ้าสีทองผ่องอำไพ"
"กระทั่ง วันที่แดนนี้ไม่ใช่สิ่งที่เคยเป็นอีกต่อไป"
ยามเช้าหนึ่งใต้ฟ้าสีคราม ฝูงนกพาบินตามกันใต้แสงตะวันอันสาดส่องลงมา ขณะสายลมพัดพาใบไม้เหนือผืนหญ้าปลิวไสว เป็นสัญญาณของวันอันสดใส ในเขตป่าชานเมืองไร้อันตรายใดให้หวั่นเกรงในสายตา พาคนเห็นรู้สึกน่าชม
บนถนนอิฐไร้สีแสนยาวไกลข้างป่า ฝีเท้าสวมเกราะเหล็กของหลายคนเหยียบประทับเกิดเสียงดัง คนนำหน้าสุดเป็นอัศวินสวมชุดเกราะแผ่นโลหะหนาแต่หัวจรดเท้าถือดาบใหญ่ โล่สูงสีเขียวที่ถือไว้กับชุดผ้าเหนือเกราะสีเดียวกัน สลักตราพยัคฆ์ขาวยืนด้วยคู่ขาหลัง เป็นสัญลักษณ์อันเกรียงไกรเหนือสิ่งใด
เหล่าทหารที่ติดตามอัศวินมาสิบกว่าคน ซึ่งสวมหมวกเหล็กกับเกราะโซ่ถักและดาบประจำตัว ล้วนสวมชุดผ้าสลักสัญลักษณ์ใกล้เคียงกัน นั่นคือตราแห่งพยัคฆ์รัตน กองทัพอันยิ่งใหญ่ที่ปกครองชีวิตและเมืองใดในดินแดนนี้
ทุกคนต่างเงียบงันและเดินบนถนนโดยไม่สนใจสิ่งใดพักใหญ่ กระทั่งทหารหญิงที่อยู่หน้าสุดเอ่ยทักอัศวิน
"ท่าน เรามาทำอะไรนะ?"
"ตามหาและเฝ้าดูใครบางคน กับจัดการถ้าเห็นว่าเป็นอันตราย"
อัศวินตอบด้วยเสียงแข็งขันโดยไม่หันกลับไป ทำให้ทหารอีกคนถามบ้าง
"คนที่เราถูกส่งให้มาตามหาเป็นใครเหรอ?"
"เบื้องบนไม่ระบุรายละเอียดให้ บอกแค่ว่าถ้าเห็นเป็นอันตรายฆ่าได้ทันที คงเป็นคนที่พวกเขาหมายหัว ส่วนใหญ่ไม่เกินมือเราเท่าไหร่ เลวร้ายสุดก็กบฎที่ไม่เคยผ่านการฝึกรบ"
"หวังว่าจะไม่เจองานยากนะท่าน"
คณะนักรบเดินเท้าผ่านพุ่มไม้เรื่อยไป พบสัตว์ต่าง ๆ จากพงไพรไม่ไกล ได้ยินเสียงใดที่พวกเขาทำไว้ เห็นผลและดอกของไม้หลากชนิดที่ดูไร้พิษภัย แต่ก็ไม่มีใครคิดเข้าไป เพราะรู้ว่าไม่ใช่เป้าหมายตน
กองทหารเดินผ่านลานหญ้าพักใหญ่ จนในที่สุดก็เจอเขตคนอาศัย เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่อาคารส่วนใหญ่ทำด้วยอิฐก่อเรียงต่อเป็นแถว ถึงสภาพรอบข้างดูไม่ดีเท่าไร ก็ไม่เลวร้ายจนเกินอาศัย แม้ไม่มีคนผ่านไปมาในสายตา ทว่าพืชไร่สีเขียวที่ถูกปลูกให้เห็น สัตว์ในคอกที่ส่งเสียงร้องออกมา อาคารที่คงสภาพดี ก็มากพอให้รู้ว่ามีคนอาศัยที่นี่
"ท่าน ที่นี่ดูเงียบจนน่าประหลาดนะ มั่นใจเหรอว่าไม่มีอะไรพลาด?"
ทหารหญิงคนเดิมถามด้วยความแคลงใจ พลางสังเกตสภาพแวดล้อมที่ดูไม่น่าวางใจ
"ไม่มีอะไรพลาดในงานนี้"
อัศวินเกราะหนายืนยันคำเดิม พร้อมนำพาทุกคนออกจากหมู่บ้านอย่างไม่เร่งรีบ
เหล่าทหารเดินเท้ามาเรื่อยจนเจอแม่น้ำสะอาดใส ซึ่งมีปลาว่ายไปมาให้ได้เห็น แม้ใครในแถวจะอยากสัมผัสถึงความเย็นจากอากาศยามเช้านี้ ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรนอกคำสั่งหัวหน้า ขึ้นสะพานอิฐข้ามสายน้ำอย่างไม่ลังเลตามอัศวินนำ
ทว่าหลังข้ามสะพานมาได้ หัวหน้าทัพพยัคฆ์รัตนก็ชูหมัดขวาขึ้นมา เป็นสัญญาณให้ทุกคนหยุดก้าวและรอคำสั่ง
สิ่งที่รอทุกคนอยู่ข้างหน้า คือป่าใหญ่เต็มไปด้วยไม้สูงและพุ่มกระจัดกระจายตามทาง เสียงนกร้องอย่างเบาบางดังพอให้ทุกคนสังเกตได้ สัตว์เล็กพุ่งกระโจนผ่านไม้พุ่มเรื่อยให้คนหันมอง จนเห็นว่าถิ่นนี้มีไม้ดอกหลากสีหลายพันธุ์ให้ความสดใส ทว่าในตอนนั้น อัศวินชุดเขียวก็ชักดาบที่เหน็บข้างกายเอาไว้ออกมา ขณะออกคำสั่งแก่ทหารผู้ติดตาม
"เตรียมอาวุธ เราใกล้ถึงปลายทางแล้ว แต่ในป่าแบบนี้ไม่น่าวางใจ ระวังตัวให้ดี"
"รับทราบ!"
ทหารทั้งหลายชักดาบออกมาตามคำสั่ง แล้วพากันเดินต่อไปในป่าใหญ่อย่างไม่กังขา ทว่ายิ่งพวกเขาเดินเข้าไป กลับรู้สึกถึงความผิดปกติรอบข้าง เสียงใด ๆ ในละแวกใกล้เคียงเริ่มหายไป สัตว์น้อยใหญ่เริ่มไม่มีให้เห็นในสายตา พาทุกคนที่เดิมตามกันสงสัยว่ากำลังเกิดอะไร กระนั้นก็ยังเดินต่อไปไม่ใส่ใจ จนเสียงใครบางคนร้องโหยหวนเรียกให้ได้ยิน
"ใครก็ได้ ช่วยด้วย"
!!!
เสียงโลหะกระแทกดังสนั่นลั่นป่า ฝูงนกกาเกาะไม้พาบินหนี แม้กระรอกในพุ่มไม้ก็ไม่มีอยู่ เหลือไว้เพียงอัศวินกับเหล่าทหารผู้ติดตาม ที่ยังยืนนิ่งเพราะไม่เข้าใจว่ากำลังเผชิญสิ่งใด กระนั้นก็รู้ในทันทีว่าไม่ใช่เรื่องดี
"ระวังให้ดี ตอนนี้มีอะไรให้เราจัดการแน่แล้ว"
"ท่านแน่ใจนะว่าไม่ใช่ใครที่เรากำลังตามหา"
"เป้าหมายเราห่างจากนี่อีกพอสมควรกับไม่ไปไหน ไม่ใช่อะไรในป่านี้แน่ แต่เอาเถอะ เปลี่ยนแผน หาแหล่งเสียงนั่น"
ไม่มีใครตอบรับอะไรหลังจากนั้น เพราะไม่รู้ว่านั่นจะเป็นอะไรได้ เพียงแต่ออกนอกเส้นทางอิฐถนนหลัก เข้าพงไพรไปหาที่มาของเสียงปะทะก่อนหน้า ทว่าภาพที่กำลังรอเหล่าทหารกับอัศวิน กลับไม่ใช่อะไรที่คาดหวังไว้แม้แต่น้อย
ในเขตลานโล่งของผืนหญ้าแสนกว้างไกล เต็มไปด้วยคราบเลือดเปรอะเปื้อนจนพื้นเป็นสีชาด ร่างไร้ชีวิตของเหล่าทหารกำลังนอนเกลื่อนกลาด ในสภาพที่ถูกบางอย่างฉีกกระชากเกราะพร้อมร่าง โดยเกราะที่ทุกคนสวมล้วนประทับตราพยัคฆ์ขาวอย่างเหล่าผู้มาเยือน และบางอย่างก็กำลังรออยู่ ณ กลางลาน
สิ่งนั้นเป็นบางอย่างที่คล้ายมนุษย์สวมชุดเกราะโลหะในท่านั่ง สวมผ้าคลุมสีฟ้าเขียวปกปิดทั้งร่างไม่ให้ใครได้เห็นส่วนใด แสงอาทิตย์ที่สาดผ่านใบต้นไม้สูงลงมา ส่องให้เห็นคราบเลือดที่เปื้อนผ้าคลุมและเกราะชัดเจน ในมือขวาถือดาบยาวปักพื้น ซึ่งแทงทะลุร่างทหารคนหนึ่งจนจมกองเลือด พอให้ได้รู้ว่าเสียงก่อนหน้ามาจากอะไร
ในที่สุดตัวตนที่ซ่อนรูปลักษณ์ไว้ใต้ผ้าคลุม ก็หันหาอัศวินเกราะหนากับทหารแห่งพยัคฆ์รัตน
"ฉันไม่รู้ว่าแกเป็นใคร แต่จากที่แกฆ่าหน่วยลาดตระเวนในป่านี้ คงปล่อยไว้ไม่ได้"
อัศวินพยัคฆ์พูดด้วยเสียงเรียบราบ ต่อนักดาบแปลกหน้าผู้ฆ่าทหารไปมากจนกองซากล้อมรอบ ไม่นานตัวตนปริศนาก็ลุกขึ้นพร้อมชักดาบที่ปักพื้น ยืนหลังค่อมต่อหน้าผู้นำเหล่าทหาร แล้วยื่นมือซ้ายสวมเกราะหนาหาอัศวินหน้าตนอย่างช้า เสมือนต้องการบางอย่างจากนักรบตรงหน้า
"ฆ่ามัน!"
อัศวินชุดเขียวสั่งพร้อมกระแทกโล่ใหญ่ใส่พื้นให้เกิดเสียง ทหารทั้งหลายจึงตั้งแนวเรียงล้อมศัตรู นักดาบใต้ผ้าคลุมจึงกระชับดาบยาวในมือมั่นเตรียมปะทะ ขณะกางขาตั้งท่ารอไม่ต่างกัน
สามทหารพุ่งปะทะหมายฟันโจมตีพร้อมกัน ทว่าทันใดนั้นจอมดาบก็ซัดอาวุธตัดร่างทั้งสามด้วยความชำนาญ ความเร็วเหนือสายตาพาทุกคนตะลึงต่อภาพที่สามทหารกระเด็นออกไกลในอากาศ ขณะเลือดสาดกระเซ็นจนผืนหญ้าเป็นสีแดงฉานอีกครา
หัวหน้าทหารที่เห็นท่าไม่ดีรีบพุ่งใส่พร้อมยกโล่ไว้ ทำให้นักรบชุ่มเลือดพุ่งทะยานฟ้าแล้วลงกำลังฟาดดาบใส่ แม้โล่ของอัศวินจะรับการโจมตีได้ แรงปะทะก็ทำให้เขากระเด็นออกนอกวงล้อม
ทหารที่ยังเหลือพยายามไล่โจมตีศัตรูหนึ่งเดียว กระนั้นอีกฝ่ายกลับเบี่ยงหลบทุกการโจมตีด้วยฝีก้าวที่ว่องไว แล้วฟาดดาบสวนกลับไปให้หมดสภาพทีละคนสองคน จนกองรวมกับศพที่ถูกฆ่าก่อนหน้าไม่ต่าง ระหว่างนั้นผ้าคลุมที่สวมก็ถูกคมดาบฉีกกระชาก จนเผยร่างสวมเกราะแผ่นให้ได้เห็น
เมื่อเหลือทหารคนสุดท้ายที่ยืนหยัดสู้ จอมดาบก็พุ่งอาวุธแทงทะลุเกราะเลือดทะลัก เมื่อเห็นว่าเหยื่อไม่ขยับ จึงใช้กำลังสะบัดดาบให้ซากศพกระเด็นใส่อัศวินเกราะหนาที่อยู่ไม่ไกล เขาจึงยกโล่ใหญ่ขึ้นกระแทกร่างนั้นให้เบี่ยงออกไป เพื่อประจักษ์ว่ากลางลานเลือดนี้มีเพียงสองนักรบที่เหลือรอด
ทว่าขณะอัศวินพยัคฆ์กำลังพิจารณาศัตรูตรงหน้า ก็เห็นตราวงกลมสีทองบนเกราะสีหม่นที่อีกฝ่ายสวมไว้ ด้วยความรู้ที่มีจึงเข้าใจในทันใด ว่าตรานั่นหมายถึงอะไร
"อัศวินแห่งชาลิกา! มาทำอะไรที่นี่!?"
ตราที่อัศวินเห็นนั้นไม่ใช่อะไรที่เขาควรได้เห็น อย่างน้อยที่สุดก็ในตอนนี้ จนความสงสัยเกิดขึ้นในใจ กระนั้นไม่นานเขาก็นึกขึ้นได้ ว่าสิ่งที่ต้องทำตรงหน้านี้คืออะไร
"อะไรก็ช่าง ฉันปล่อยแกไว้ไม่ได้"
สองนักรบก้าวเท้าอย่างช้าและหนักแน่นหากัน อัศวินถือโล่มั่นหมายป้องกันสิ่งใดที่ฝ่ายประเคนใส่ ขณะจอมดาบไร้ตัวตนกระชับอาวุธในมือขวามั่น ต่างฝ่ายต่างหยุดนิ่ง โดยฝ่ายหนึ่งยืนหยัดอย่างมุ่งมั่นต่อศึกนี้ ขณะที่อีกฝ่ายยังยืนหลังโกง เสมือนร่างกายไม่สมประดี ในที่สุดทั้งสองก็ขยับอาวุธ เป็นสัญญาณพร้อมปะทะกลางกองซากในพงไพร
อัศวินพยัคฆ์รัตนเปิดศึกด้วยการวาดอาวุธใส่ ทว่านักดาบปริศนาใช้โล่ที่ติดเกราะแขนปัดป้องออกจนเสียจังหวะ แล้วใช้โอกาสนี้จับอาวุธไว้ในสองมือ ตีลังกาม้วนหน้าทะยานฟ้า อาศัยกำลังฟาดดาบอย่างจัง กระทั่งโล่ที่อีกฝ่ายยกขึ้นกันหลุดกระเด็นออกไป และยังลุกขึ้นตั้งท่าได้ไม่ดี จอมดาบจึงโจมตีต่อทันที
นักรบเกราะหนาวาดดาบขึ้นรับการโจมตีไม่ยากเย็นเท่าไร ทว่าในจังหวะที่ต่างฝ่ายต่างออกแรง นักดาบปริศนาก็ชิงจังหวะถอยหนี จนศัตรูที่ลงแรงปะทะดาบเสียหลักอีกครั้ง เมื่อนักฆ่าเห็นช่องว่างโจมตี จึงพุ่งอาวุธพิชิตศัตรูทันที
!!!
ปลายดาบยาวแทงเข้าช่องมองเห็นอันเล็กแคบของหมวกอัศวินอย่างแม่นยำ เลือดไหลพุ่งเคลือบใบดาบเป็นสีเลือดขณะผู้ถูกโจมตีนิ่งสนิท เมื่อเห็นว่าปลิดชีวิตศัตรูได้ นักฆ่าสวมผ้าคลุมจึงกระชากอาวุธออกมา ปล่อยอีกฝ่ายล้มลงกองพื้นไป
ทว่าหลังจบศึกได้ไม่นาน เสียงฝีก้าวก็ดังอีกครั้ง จนนักดาบผู้กำชัยหันมองตามอย่างช้า
เสียงฝีเท้าที่สั่นเทา เป็นของทหารหญิงผู้บาดเจ็บจากการโจมตี แต่ยังยืนหยัดกระชับดาบในสองมือ แม้สองแขนจะสั่นระริกจนถืออาวุธได้ไม่ดี และสีหน้ากับแววตาแสดงความกลัวสุดขีดออกมาก็ตามที ก่อนที่จะตะโกนถามออกไป
"แก แกเป็นอะไร? แกเป็นตัวบ้าอะไร?!?"
มือดาบนักฆ่าไม่ตอบอะไร เพียงลงแรงพุ่งดาบยาวในมือลงพื้น แทงทะลุเกราะหนาของอัศวินผู้สิ้นชีพแหลก เกิดเป็นเสียงปะทะอันไม่น่าอภิรมย์ จนของเหลวสีแดงเข้มไหลทะลักจากร่าง เคลือบลานหญ้าใกล้เคียงให้เป็นสีเดียวกัน กระนั้นความกลัวจนตัวสั่นก็ไม่ทำให้ทหารผู้เหลือรอดกล้าวิ่งหนีไป
ในที่สุดนักดาบสวมผ้าคลุมก็ออกแรงแขน ฟาดอาวุธให้ร่างสวมเกราะหนาที่ถูกเสียบคาดาบกระเด็น กระแทกทหารผู้เหลือรอดคนท้ายสุดล้มลงไป และในที่สุดก็เหลือเพียงเขาที่ยังยืนหยัดในป่าไพรชุ่มเลือด
ผู้ถูกเรียกว่าอัศวินแห่งชาลิกา กลับมายืนหยัดตัวตรงอย่างคนปกติอีกครั้ง จนเกิดเสียงเกราะโลหะขยับพร้อมกระดูกเข้าที่ เขาสะบัดดาบในมือขวาให้เลือดกระเซ็นสิ้นหมด แล้วเก็บเข้าปลอกเหน็บเอวอีกครั้งหนึ่ง
นักฆ่าชุ่มเลือดเดินออกจากลานสังหาร สู่ถนนอิฐสีหม่นที่เหล่าทหารใช้เข้ามาหาความตายจากคมดาบตน ตามเส้นทางที่คิดว่าอาจควรไปอย่างไม่เร่งรีบเท่าไร จนในที่สุดก็พ้นเขตป่าใหญ่ สู่สถานใหม่พาให้รู้สึกแปลกตา
ภาพทัศน์ต่อหน้าผู้มาเยือน คือลานหญ้าเขียวขจีสุดลูกหูลูกตาจรดขอบฟ้าสีคราม กับสายลมพัดพาให้มองไม้ดอกที่ขึ้นเป็นสวนหย่อมตามถนนอิฐ ไม่ไกลกันมีสายน้ำกว้างใสไหลตามทาง พร้อมกังหันน้ำขนาดใหญ่ตั้งไว้ พาให้มองหาสิ่งอื่นที่น่าจะเป็นจุดเด่น เห็นอาคารสูงใหญ่สีสะอาดตั้งตระหง่านไม่ไกลเท่าไร จึงเดินตามทางอิฐต่อไป
อัศวินเดินลู่ลมที่พัดผ่าน พาผ้าคลุมหุ้มร่างสะบัดตามอย่างช้า กระนั้นเขาก็ไม่ใส่ใจสิ่งรอบตัวเท่าไรนัก ย่ำบนพื้นอิฐเรื่อยไปดังไร้สิ่งใดในความคิด กระทั่งรู้สึกว่าฝีเท้าติดบางอย่าง จึงหันมองลงมา ณ ฝ่าเท้าตน
สิ่งนั้นคือสัตว์สี่เท้าขนปุยสีดำ ที่กำลังยืนนิ่งต่อหน้านักดาบ กับเขี้ยวแหลมและคู่ตาสีเขียวอย่างอสรพิษที่แหงนขึ้นอย่างพิจารณา หูแหลมชูตั้งซ้ายขวาขยับเป็นระยะ ไม่ต่างจากหางที่กำลังส่ายไปมาเมื่อจ้องผู้มาเยือน ก่อนเคลื่อนตัวเข้าหาฝีเท้าสวมเกราะของนักดาบ แล้วถูไถไปมาอยู่พักหนึ่ง อีกฝ่ายจึงยืนนิ่งไม่ทำอะไร จนในที่สุดแมวนั้นก็ตัดสินใจทำบางอย่าง
แมวดำทะยานออกไปอย่างลิงโลด กระโจนสลับไปมาระหว่างถนนอิฐกับลานหญ้าสองฝั่งข้างทาง จนถึงทางแยกที่เลือกไปตามเส้นทางซึ่งแตกต่าง เป็นทางอิฐแดงที่มีขนาดเล็กกว่าถนนหลัก เจ้าสี่เท้านั่งนิ่งกับที่พักใหญ่ จนเห็นว่านักรบเกราะเคลือบเลือดไม่ยอมทำอะไร จึงส่งเสียงร้องลากยาวออกไปให้อีกฝ่ายได้ยิน
นักดาบยืนนิ่งสนิทไม่ขยับแต่อย่างใด ในที่สุดแมวตัวจ้อยจึงกระโจนกลับมาที่เดิม แล้วงับผ้าคลุมที่ยาวลงมาของอีกฝ่ายไว้ พยายามลากให้ไปตามต้องการ เขาจึงเริ่มก้าวเท้าตามทิศทางที่แมวลากไป เจ้าเท้าปุยจึงคอยเดินนำทางให้อย่างช้า พลางหันมองเป็นระยะว่าผู้สวมผ้าคลุมยังตามมาไหม
ทั้งสองเดินตามทางเรื่อยไป จนในที่สุดก็หยุดลงต่อหน้าอาคารหนึ่ง ซึ่งจอมดาบสังเกตว่าตั้งสูงตระหง่านแต่ไกล เป็นอาคารปูนสีขาวทรงเหลี่ยมติดบานกระจกรอบเป็นระยะ ปลายถนนอิฐนี้คือประตูไม้บานใหญ่สำหรับเข้าไปในอาคาร ที่กำลังถูกแมวขนปุยดันเปิดเข้าไปจนเกิดเสียง เพียงพอแค่ให้ตัวเองเข้าได้ ก่อนมุดหายไปจากสายตาใครในบริเวณ
ตัวตนปริศนาวางฝ่ามือบนคู่บานประตู เปิดออกเกิดเสียงไม้ขยับดังก้องในห้องโถง เห็นเป็นทางกว้างสีขาวโพลนตลอดรอบข้างกับพื้นสีไม้ ซ้ายขวาใกล้ประตูมีตะเกียงให้แสงตั้งคู่กัน ในห้องกว้างตรงหน้าไม่มีอะไรนอกจากความว่างเปล่า กับเส้นทางไปยังเขตอื่นของอาคาร จึงเดินตามเสียงฝีก้าวจ้อยร่อยที่ได้ยิน
เมื่ออัศวินเดินไปในอาคารขาว ก็พบว่าตามผนังถูกประดับประดาด้วยรูปภาพที่มีไม่มากเท่าไร และมีแสงสว่างจากบานกระจกส่องเข้ามาให้ได้เห็นรายละเอียดชัด กระนั้นก็ไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างไร เพียงเดินต่อไปเท่านั้น
ทว่ายิ่งผู้มาเยือนเดิน เสียงฝีก้าวที่เขาได้ยินกลับยิ่งต่างออกไป เป็นเสียงฝีก้าวของคนที่ช้าและเบาบาง พร้อมเสียงไม้กระทบพื้นเป็นระยะ กระทั่งเขามาถึงเกือบสุดทางมุมอาคารจึงหยุดลง รอดูว่าเจ้าของฝีเท้านั้นเป็นใคร
ในที่สุดฝีเท้าสวมรองเท้าแตะก็หยุดลง พร้อมกับที่ไม้เท้ายาวสีหม่นปรากฏให้เห็น
"สวัสดี ท่านผู้ชมที่แสนดี ยินดีต้อนรับสู่หอศิลป์ของข้า มีสิ่งใดที่ท่านเห็นคุณค่าในสถานนี้ไหม?"