Download App
25% แดนสุวรรณบรรลัย / Chapter 2: บทที่ 2 ทางวิถีเงาสีเงิน(2)

Chapter 2: บทที่ 2 ทางวิถีเงาสีเงิน(2)

"สวัสดี ท่านผู้ชมที่แสนดี ยินดีต้อนรับสู่หอศิลป์ของข้า มีสิ่งใดที่ท่านเห็นคุณค่าในสถานนี้ไหม?"

เจ้าของเสียงอ่อนหวานและเบาบางชวนวางใจ เป็นหญิงสาวร่างสูงใหญ่ในเสื้อคลุมยาวสีม่วง กับเสื้อทับหลวมโพรกสีดำขลิบ ผิวเธอเป็นสีงาช้างอย่างน่าชม ใบหน้าแฝงด้วยความงามประสมน่ารักตามอายุที่ไม่มากนัก ผมสีหม่นยุ่งกระเซิงยาวถึงหลัง มือซ้ายขวาพันผ้าจับไม้เท้าไว้ โดยเด่นชัดสุดคือตาสีเพลิงอันว่างเปล่าไม่สะท้อนสิ่งใด ซึ่งกำลังจับจ้องไปยังคู่สนทนา

"ขออภัยที่ข้ามิได้แนะนำตัว ข้ามีนามว่าจูโน นักวาดและผู้ดูแลประจำหอศิลป์นี่ ไม่นานนี้ข้าได้ยินเสียงประตูเปิดจึงลงมาดูว่าใครมาเยือน เพราะไม่ค่อยมีแขกไปใครมาในเวลานี้เท่าไร มีสิ่งใดท่านปรารถนาให้ข้าช่วยไหม?"

แม่สาวแห่งหอศิลป์ยังจ้องนักดาบชุ่มเลือดผู้มาเยือนด้วยแววตาอยากรู้เห็น กระนั้นอีกฝ่ายก็เพียงยืนนิ่งเยือกเย็น ไม่โต้ตอบแต่อย่างใด พาความสงสัยทวีในใจเธอมากขึ้นไป

"ท่านดูอ่อนล้าและอิดโรยนะ ท่านไม่ต้องการความช่วยเหลือใดหรือ?"

เสียงร้องของแมวดังขึ้นจากด้านหลังนักวาด เป็นเจ้าขนปุยตัวเดิมที่นำพานักดาบมายังอาคารนี้ ไม่นานเจ้าสี่เท้าก็วิ่งมายืนหน้าผู้มาเยือน แล้วแหงนมองเจ้าของหอศิลป์ผู้ก้มลงอย่างมีนัย

"นิลกาฬ เป็นเจ้าเองหรือที่พาเขาเข้ามา?"

แมวดำผู้ถูกเรียกว่านิลกาฬร้องขานรับพร้อมพยักหน้า จูโนจึงเผยยิ้มเบาบางออกมา ก่อนหันหาผู้สวมเกราะหน้าตน

"นิลกาฬเป็นสหายข้าเอง เขาคงอยากให้ท่านได้มาเหยียบเยือนสถานนี้ ท่านสนใจเชยชมผลงานในหอศิลป์นี้ไหม?"

นักดาบใต้ผ้าคลุมยังนิ่งสงบไม่ตอบสนองดังเดิม จูโนที่เห็นว่าอีกฝ่ายเป็นเช่นนั้นจึงพูดต่อไป

"หากท่านสนใจ ก็ตามข้ามาเถิด ข้าจะพาท่านเชยชมผลงานในสถานนี้เอง"

แม่สาวร่างใหญ่เดินนำออกไปพร้อมไม้เท้าในมือ นิลกาฬจึงงับผ้าคลุมลากให้นักดาบขยับตามพร้อมส่งเสียงคำราม ไม่นานเขาก็เดินตามอย่างไม่เร่งรีบเท่าไร จนในที่สุดก็ตามทันกัน

"เดิมที หอศิลป์นี้เป็นของนักวาดท่านหนึ่ง ผู้ซึ่งมีชื่อเสียงกว้างไกล ใครก็ตามต่างชื่นชมในฐานะศิลปินผู้สรรค์สร้าง ใช้ชีวิตเพื่อรังสรรค์งานวาดเรื่อยไป แม้ถึงวันที่เขาสิ้นใจ ชิ้นงานของเขาก็คงอยู่ให้ถูกพูดถึงตลอดไป"

ผู้มาเยือนมองงานศิลป์ติดผนังที่มีอยู่ประปรายตามทางที่นักวาดนำไป ส่วนใหญ่เป็นภาพวาดทิวทัศน์ที่ใช้สีอ่อนสบายตา พารู้สึกผ่อนคลายตามบรรยากาศ ชวนเขาหันมองเรื่อยขณะเดินตามนิลกาฬและจูโน

"ชิ้นงานส่วนมากเป็นภาพวาดทิวทัศน์อย่างนักวาดท่านนั้นถนัด เขามักเดินทางเรื่อยไปในแดนนี้ แดนสุวรรณที่เหล่าเราอาศัย และวาดภาพออกมาเป็นตัวแทนความทรงจำ"

ทว่าเมื่อเดินไปได้พักใหญ่ นักวาดก็หยุดก้าวอย่างไม่เห็นเหตุใด

"แต่น่าเสียดาย ข้าที่เป็นผู้ดูแลหอศิลป์นี้ กลับมิได้รังสรรค์งานไว้มากมายเท่าไรนัก"

ไม่นานจูโนก็หันกลับมา แล้วเบนหน้าหาสองมือซึ่งกุมไม้เท้าเอาไว้ ด้วยสีหน้าที่ดูไม่สู้ดีเท่าไรนัก

"อย่างท่านประจักษ์ ดวงตาข้ามองไม่เห็น ต้องให้นิลกาฬเป็นสหายเคียงข้าง ใช้ไม้เท้าหาเส้นทางก้าวเดิน จึงไม่สะดวกจะไปไหนไกลห่างหอศิลป์นี้เท่าไรนัก ไม่แม้แต่จะหาวัตถุดิบทำสีวาดภาพอย่างข้ารัก"

แล้วในที่สุด นักวาดก็เผยรอยยิ้มเบาบางออกมา กับทำเสมือนมองนักดาบตรงหน้าด้วยแววตาฉงนสงสัย

"จะรังเกียจไหม ถ้าข้าอยากให้ท่านช่วยพาออกตามหาสีสันสำหรับภาพวาดข้า?"

นักดาบไม่ยอมตอบอะไร ไม่ส่งเสียงใดให้ใครได้ยิน ก่อนยื่นมือซ้ายสวมเกราะหนาหาสาวเจ้าผมเทาเข้มอย่างช้า พาเจ้าตัวเลิกคิ้วกับเอนคอเล็กน้อยด้วยความสงสัย ก่อนเอ่ยถามออกไปด้วยเสียงเบาบางอย่างเคย

"ท่านกำลังทำอะไรหรือ?"

นักรบสวมเกราะยังยื่นมือหาคู่สนทนาอยู่อย่างนั้น พาให้เธอเผลอยิ้มกับส่งเสียงหัวเราะเล็กน้อยออกมา

"ท่านช่างประหลาดจริง ข้ารับว่านั่นคือคำตอบรับของท่านนะ สิ่งที่ข้าปรารถนาอยู่นี่"

จูโนหยิบแผ่นกระดาษขนาดเล็กยื่นให้ผู้มาเยือนรับไว้ อีกฝ่ายจึงนำมาอ่านให้เข้าใจว่าคืออะไร

"หินปูน งาช้าง หยาดสมุทร ไข่นกเอี้ยง เบอร์รี่ฟ้า ถ่านไม้ ทองคำ และแมลงเกล็ดแดง คือสิ่งที่ข้าต้องการใช้วาดภาพ ข้ามีงาช้าง ถ่านหิน เบอร์รี่ฟ้า และแมลงเกล็ดแดงที่ถูกทำเป็นเม็ดสีแล้ว ข้าอยากให้ท่านช่วยข้า ตามหาสิ่งที่เหลือได้ไหม?"

จอมดาบชุ่มเลือดเก็บใบรายชื่อวัตถุดิบเอาไว้ เป็นการยอมรับสัญญาจากคู่สนทนา

"เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ ช่วยอยู่เคียงข้างข้าในการเดินทางที"

เจ้าเท้าปุยวางเท้าประทับขาสวมเกราะของนักดาบเป็นจังหวะ เสมือนฝากฝังให้ดูแลสหายแทนตน ก่อนเดินหายไปในที่ลับตา พร้อมกับที่จูโนพาเดินสู่ทางออกจากหอศิลป์ต่อไป จนเผชิญหน้าทางเข้าอาคารที่มีแสงส่องเข้ามาจึงหยุดลง

"ข้าไม่รู้ทิศทางนอกหอศิลป์เท่าไร ได้โปรดระวังอันตรายให้ข้าด้วย ท่านผู้ชมที่แสนดี"

สาวใหญ่ร่างสูงในชุดคลุมเดินบนถนนอิฐเรื่อย โดยมีไม้เท้าในมือแตะพื้นนำทาง นักรบใต้ผ้าคลุมที่เดินข้างกันจึงไม่ทำอะไรมากไปกว่ามองซ้ายขวาหาอันตราย กระนั้นก็มีเพียงความงดงามของผืนหญ้าและดอกไม้ในสายตาให้เห็น เป็นความสวยงามที่ถูกสายลมพัดพา ขณะนำพานักวาดให้ไปด้วยกัน

หลังจูโนเดินไปได้พักหนึ่ง ไม้เท้าของเธอก็สะดุดเข้ากับหินข้างทางก้อนหนึ่ง ซึ่งมีขนาดเล็กพอประมาณ จึงหยุดลงแล้วหยิบขึ้นพิจารณา เป็นหินสีขาวขุ่นขนาดเล็กกว่ากำมือ คือหินปูนอย่างเธอต้องการไว้ใช้เอง

"สัมผัสของหินนี่ ช่างคุ้นเคยเสียจริง"

ทว่าด้วยความแคลงใจ เธอจึงหันหานักดาบที่นั่งลงไม่ห่างจากเธอเท่าไร

"ช่วยดูให้ข้าที ว่านี่คือหินปูนที่ข้าตามหาหรือไม่"

ตัวตนปริศนารับหินไว้พิจารณา เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแปลกตา จึงยื่นคืนให้สาวเจ้ารับไว้ในเวลาไม่นาน

"ขอบคุณที่ช่วยข้านะ ท่านผู้มาเยือน"

จูโนยิ้มพอใจให้นักรบสวมเกราะที่อยู่ใกล้ พร้อมเก็บก้อนหินในมือเข้าใต้เสื้อทับ ก่อนลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือหาอัศวินปริศนา ผู้กำลังนั่งที่แหงนมองขึ้นมาอย่างเงียบงัน

"ไปกันเถอะ ท่านผู้ชมที่แสนดี นำพาข้าไปหาสีสันของภาพวาดต่อที"

นักดาบสวมผ้าคลุมยื่นมือสวมเกราะจับมือสาวเจ้าไว้ แล้วลุกขึ้นยืนอย่างช้าไม่ให้ดึงอีกฝ่ายมากเกินไป ในที่สุดทั้งคู่ก็ยืนเคียงกัน ก่อนจะพากันก้าวไปบนถนนอิฐกลางผืนหญ้าและสายลมพัดพา

ทั้งสองเดินเรื่อยถึงทางเข้าป่าใหญ่ พร้อมได้ยินเสียงหนึ่งซึ่งดังไกลออกไป เป็นดนตรีประหลาดที่ดังเรื่อยเป็นบทเพลงบรรเลงให้ได้ยิน ชวนให้ชื่นชมหลงใหลและอยากฟังต่อเรื่อยไป จนดวงตาสีเพลิงของจูโนเบิกกว้างอย่างใส่ใจ

"สิ่งนั้น เสียงเพลงหรือ?"

นักดาบปริศนาชักอาวุธประจำตัวออกมาอย่างช้า เพราะรู้ดีว่ามีอะไรเกิดขึ้นในป่าตรงหน้า คือการฆ่าและนองเลือดของทหารที่นอนเป็นกองซาก แต่ก็ไม่แสดงทีท่าใดมากไปกว่านั้น

"ช่วยคุ้มกันข้า พาไปหาเสียงนั้นที ข้าอยากรู้ว่ามีสิ่งใดรออยู่"

ยิ่งนักวาดกับนักดาบเหยียบย่ำบนถนนในพงไพร แสงตะวันก็ส่องลงมากระทบพวกเขาน้อยลง จนรู้สึกถึงร่มเงาจากแมกไม้ได้ไม่ยาก ขณะเสียงบรรเลงดังชัดขึ้นตามเวลา จนในที่สุดพวกเขาก็พบว่าเสียงนั้นมาจากอะไร

ต่อหน้าสองนักเดินทางในป่าใหญ่ คือชายในเชิ้ตขาวกับเสื้อกั๊กและโค้ตดำ พร้อมหมวกสามเหลี่ยมทับผมหยิกสีน้ำตาล และผ้าโพกหน้าสีเดียวกัน กำลังบรรเลงสีซอให้เสียงเพลงไพเราะ ผู้กำลังนั่งพิงต้นไม้ใหญ่อย่างสบายใจ ใกล้เขามีม้าดำกับรถลากจอดอยู่ไม่ไกลกัน ทันใดนั้นเขาก็หันหาทั้งสองหลังรู้ว่าใครมาเยือน พร้อมขยับปีกหมวกเล็กน้อยแทนการทักทาย

"อา ท่านคงเป็นนักเดินทางสินะ? และข้ารู้ดีว่าท่านไม่ได้หมายฆ่าเอาชีวิตเรา สนใจสิ่งใดเป็นพิเศษไหม?"

"หือ? ท่านเป็นใครหรือ?"

จูโนถามกลับไป ด้วยสงสัยใคร่รู้ในตัวตนคนหน้าตน

"นามคือแอนคู ข้าพาผู้ปรารถนาควบรถไปยังปลายทางและค้าสิน ส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่ข้าเก็บเกี่ยวมา หากต้องการสิ่งใดหรือมีข้อสงสัยก็ถามได้ เพียงไม่ถามว่าได้มาอย่างไรถือเป็นอันพอใจ"

"ท่านค้าสิ่งใดบ้างเล่า?"

"หลายหลากมากมาย เชิญท่านชมตามสบาย"

บุรุษชุดดำคลายถุงผ้ามัดไว้ เผยให้เห็นของด้านนี้หลากชนิดที่ใส่รวมไว้ กระจายออกมาให้ได้ชม

"ขออภัย ดวงตาข้ามองไม่เห็น ช่วยบอกได้ไหมว่ามีสิ่งใดบ้าง?"

"โอ้ เอาเถอะ ท่านลองบอกสิ่งต้องการมาก่อน เผื่อข้าหาให้ได้"

"หยาดสมุทร ไข่นกเอี้ยง และทองคำน่ะ"

"หยาดสมุทร คงหมายถึงมณีสีน้ำทะเลเช่นนี้ ใช่ไหม?"

แอนคูหยิบหนึ่งในของจากกองเหนือผืนผ้าขึ้นมา เป็นหินจรัสสีฟ้าครามอย่างงามทว่าขรุขระ กระนั้นก็ไม่ทำให้สีสันอันสดใสหายไปแต่อย่างไร ให้แม่สาวผมกระเซิงรับสัมผัสไว้ในมือ

"ใช่แล้ว ราคาเท่าไรกัน?"

"ห้าสิบออรัม ไม่ขาดไม่เกิน"

จูโนหยิบเหรียญเงินตราที่เก็บใต้เสื้อออกมา ให้คู่ค้าตามราคาตกลงไว้ ก่อนลุกขึ้นแล้วโค้งให้เล็กน้อย

"ขอบคุณที่ขายมณีนี้แก่ข้า ท่านวาณิชย์"

"มิเป็นไร ไข่นกเอี้ยง หากท่านหมายถึงไข่นกสีฟ้าเขียว ออกจากถนนอิฐไปทางเหนือไม่ไกลจะมีลานหญ้า ถ้าข้าไม่พลาดในเขตนั้นมีต้นไม้ใหญ่ พร้อมรังนกกับไข่ที่ว่าในนั้น ส่วนทองคำ ข้าเสียใจที่ไร้คำแนะนำใดให้ท่าน"

ระหว่างแอนคูพูด เขาก็หันมองอัศวินเคลือบเลือดผู้ยืนแน่นิ่งไม่ไหวติง ทว่าเมื่อเห็นดังนั้น เขากลับเผยรอยยิ้มใต้ผ้าโพกหน้าออกมา มากพอให้ใครก็ตามที่อยู่ใกล้เห็นได้ว่ากำลังแสดงอารมณ์แบบใด

"อย่างน้อยข้ามั่นใจ ว่านักรบผู้นี้คงพาให้ท่านปลอดภัยได้เป็นแน่แท้ ลาก่อนนักเดินทาง จนกว่าเราพบกันอีกครา"

เมื่อเห็นว่าสิ้นธุระใด นักค้าจึงหยิบซอมาบรรเลงเสียงเพลงไพเราะอีกครา พานักวาดหันมองอัศวินที่อยู่ใกล้ เพื่อถามตามความคิดต่อไป

"ท่านช่วยนำพาข้าไปยังลานหญ้าที่ว่าได้ไหม? ท่านอัศวิน"

เมื่อได้ยินดังนั้น อัศวินสวมผ้าคลุมจึงเป็นฝ่ายก้าวนำอย่างช้า เรียกให้นักวาดขยับไม้เท้าตามไม่ไกลกัน

จอมดาบไร้นามหยุดนิ่งต่อหน้าลานหญ้าอีกครา สถานที่เขาคร่าชีวิตไปเป็นจำนวนมากไม่นานนี้ จนพื้นกลายเป็นสีเลือดจากร่างทหารที่กระจายทั่ว กระนั้นก็ไม่หันเหมองสิ่งใด เพียงรอให้สาวเจ้าที่มาด้วยกันได้อยู่ข้างตนเท่านั้น

"นี่หรือ คือลานหญ้าที่ท่านวาณิชย์ว่าไว้?"

จูโนเดินเข้าไปในพื้นที่โล่ง แม้นักดาบจะไม่ได้เดินนำทางให้ เธอ็ก้าวเดินเรื่อยด้วยท่าทีสบายใจ ถึงรอบข้างจะเต็มไปด้วยเศษซากไม่น่าอภิรมย์ ด้วยไม้เท้าหรือฝีเท้าเธอไม่จมลงในอะไรเหล่านั้น ทำให้เขาเดินตามเข้าไปโดยไม่แสดงท่าทีอะไรให้อีกฝ่ายแคลงใจ ในที่สุดเขาก็หยุดก้าว ต่อหน้าต้นไม้ใหญ่ที่นักวาดกำลังวางมือทาบ

ทว่าหลังเธอพิจารณาต้นไม้ได้ไม่นานเท่าไร เสียงร้องของวิหคก็ดังขึ้น จากคู่นกสีดำน้ำตาลในรังไม้ พร้อมนกน้อยอีกหลายตัวที่อยู่ใกล้เปลือกไข่แตก พาเธอหันหาด้วยความแปลกใจ ก่อนยิ้มในเวลาไม่นานเพราะรู้ว่าพบอะไร

"เป็นเรื่องจริง สิ่งที่ข้าต้องการอยู่ตรงนี้"

ไม่นานเธอก็ขยับมือหาคู่นกตัวจ้อยที่กำลังหันมา แล้วส่งเสียงร้องตามประสาสัตว์ ก่อนยื่นมือขวาหาแล้วเอ่ยถาม

"ท่านวิหค ข้าขอเปลือกไข่ของลูก ๆ ท่านได้ไหม? ข้าต้องการใช้รังสรรค์งานศิลป์น่ะ"

คู่นกส่งเสียงร้องออกมา ก่อนพากันคาบเปลือกไข่สีฟ้าเขียว ที่ยังไม่แตกละเอียดเสียทีเดียว วางลงบนมือนักวาดที่ยืนหา หาเธอยิ้มกับหัวเราะเบาบางในลำคอด้วยความพอใจ พร้อมเก็บไว้ใต้เสื้อร่วมกับของชิ้นอื่นที่เธอได้มาแล้วตอบกลับไป

"ขอบคุณนะ ท่านวิหค"

ทว่าก่อนพวกเขาจะทำอะไร เสียงหนึ่งก็ดังจากเขตไม่ไกลนัก เป็นเสียงโลหะขยับที่ดังเป็นระยะ อัศวินไร้นามนึกได้ในเวลาไม่นานว่านั่นเป็นเสียงใด ขณะจูโนหันไปตามแหล่งเสียง

"ท่านได้ยินเหมือนข้าไหม? เสียงของโลหะนั่น เหมือนบางสิ่งถูกลากตามทาง"

ความสงสัยพาให้สาวตาบอดเดินออกไป ตามหาที่มาขอเสียงลาก ขณะอัศวินสวมผ้าคลุมเพียงแค่ก้าวตามอย่างไม่กังขาอะไร และในที่สุดทั้งคู่ก็หยุดลง เมื่อเสียงหญิงสาวอีกคนดังขึ้น

"ใคร ก็ได้ ช่วยข้าด้วย"

นักฆ่าผู้ปิดบังใบหน้าหันหาที่มาของเสียง จึงเห็นว่าผู้เอ่ยคำนั่นหาใช่ใคร นอกไปจากทหารหญิงผู้บาดเจ็บที่มีชีวิตรอด และถูกเขาโจมตีเป็นคนสุดท้ายไม่นานนี้ ที่พยายามลากร่างชุ่มเลือดของตนหนีไกลจากพงไพร

"หืม?"

จูโนส่งเสียงขึ้นมาด้วยความสนใจ ก่อนก้าวหาผู้บาดเจ็บที่กำลังไถลหนี ขณะนักดาบกระชับอาวุธที่มีมั่น แล้วเดินเข้าไปอย่างเชื่องช้าดังตั้งท่ารอปะทะ ขณะเธอผู้มีรอยแผลบนร่างแสดงความกลัวออกมา เมื่อเห็นว่าใครกำลังเข้าหา

"ไม่ อย่าเข้ามา"

เธอส่งเสียงอันสั่นระริกและเบาบางออกมา เมื่อเห็นว่านักฆ่าผู้ซ่อนใบหน้าใต้ผ้าคลุมอยู่ตรงหน้า พร้อมดาบที่ฆ่าทุกคนที่มาด้วยกัน กระนั้นเธอก็ลากร่างหนีไปได้ไม่ไกล ด้วยสภาพที่ไม่สมประดีเท่าไร

"ขอร้องล่ะ อย่า"

ก่อนผู้บาดเจ็บจะพูดอะไรมากไปกว่านี้ แม่สาวนักวาดก็นั่งลงไม่ไกลจากเธอเท่าไร แล้ววางมือแตะไหล่อย่างช้าให้รู้สึกวางใจ พร้อมเผยรอยยิ้มเบาบางอันเป็นเอกลักษณ์ให้เห็น

"ไม่ต้องกังวล ไม่มีสิ่งใดทำอะไรท่านได้หรอก"

"ไม่ สัตว์ประหลาดนั่น มันฆ่าพวกของข้าทุกคน"

"ข้าบอกแล้วไง ไม่มีสิ่งใดทำอะไรท่านได้"

จูโนหัวเราะเล็กน้อย ก่อนหยิบของออกมายื่นให้ ได้เป็นขวดแก้วขนาดเล็กกับของเหลวสีแดงบรรจุด้านใน แม้จะแสดงสีหน้าไม่มั่นใจ ทหารผู้บาดเจ็บก็รับไว้ในมือ

"น้ำยารักษาน่ะ ข้าพกเอาไว้เผื่อว่าใครต้องใช้ รสชาติไม่ต่างจากน้ำผลไม้เท่าไร ดื่มเถิด เพื่อให้แผลท่านได้สมาน"

ทหารหญิงแม้ยังลังเลกับสิ่งที่จะทำจากนี้ ก็ตัดสินใจดื่มน้ำยาจากขวดแก้วในมือ ไม่นานรอยแผลที่เธอมีก็สลายไป ทิ้งไว้เพียงรอยฉีกของเกราะโซ่กับเสื้อผ้า และความแปลกใจบนใบหน้าเท่านั้น

"แผล หายแล้ว?"

"ใช่แล้ว บัดนี้ ไปเถิด ทำสิ่งที่ท่านควรทำ"

"ข ขอบคุณ"

เธอผู้หายดีพยายามใช้กำลังที่มีลุกขึ้น แล้วรีบวิ่งหนีทันทีโดยไม่เหลียวหลังกลับมา จนเผลอทำบางสิ่งตกระหว่างทาง

"ช้าก่อน! ท่านทำของตกไว้!"

แม้จูโนจะเอ่ยทัก ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่หยุดชะงัก วิ่งออกไปจากลานหญ้าแห่งพงไพร ไกลจากกองซากทหารและอัศวินที่ถูกสังหารเหนือแอ่งสีชาด จนเสียงฝีก้าวเบาบางตามเวลาและหายไป

"เด็กหลงทางนั่น คงเผชิญอะไรที่น่ากลัวเหนือสิ่งใดที่เคยเผชิญในชีวิตมา ไม่บ่อยนักที่ข้าจะเห็นใครแสดงท่าทีแบบนั้น สงสัยเหลือเกินว่านางเผชิญเรื่องใดในพงไพร จึงได้หวาดกลัวมากเพียงนั้น"

แม่สาวตาบอดหยิบของที่ผู้วิ่งหนีทิ้งไว้ ได้เป็นแท่งโลหะที่มีสีของทองคำ ทว่าสีสันกลับเปล่งประกายยิ่งกว่า และน้ำหนักเบาจนน่าประหลาดใจ เธอจึงรู้ในทันทีว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เธอตามหาแต่แรก

"หืม? ศิลาเพลิงนี่ ยังมีคนใช้อีกหรือ? ไม่สิ เป็นแท่งหลอมเช่นนี้ คงถูกลวงว่าเป็นทองคำให้ซื้อเป็นแน่"

แต่หลังเธอได้มันไว้ในมือไม่นาน ก็เผลอยิ้มออกมาด้วยความดีใจ

"จริงสิ ศิลาเพลิงนี้ใช้แทนทองคำได้ อาจเป็นโชคดีของข้า ทว่าน่าเสียดาย ที่เป็นโชคร้ายของเด็กคนนั้น"

เมื่อนักวาดได้ทุกสิ่งที่ต้องการไว้กับตัว ก็หันหานักดาบแล้วยิ้มให้ พร้อมผงกหัวเล็กน้อยแทนการขอบคุณ

"ข้าขอบคุณท่านที่นำพาข้าให้มาหาของเหล่านี้ หากไม่มีท่านช่วยไว้ ข้าคงไม่อาจได้สีสันดังปรารถนาเป็นแน่"

ทว่าขณะเธอกำลังผงกหัว ก็ถูกอัศวินไร้นามวางมือซ้ายแตะไหล่ไว้ จับไม่ให้ขยับไปมากกว่านี้ จนสาวเจ้าที่กลับมายืนเป็นปกติรู้สึกฉงนสงสัย และแสดงความคิดออกมาผ่านแววตา

"ท่านไม่ต้องการคำขอบคุณจากข้าหรือ? ทำไมล่ะ?"

จอมดาบสวมผ้าคลุมไม่พูดอะไร ก่อนขยับมือที่จับอีกฝ่ายไว้ลง ตอบสนองทีท่าด้วยความเงียบงันเท่านั้น

"เช่นนั้น ท่านอยากเชยชมภาพที่ข้ากำลังจะวาดไหม? อย่างน้อยที่สุด ท่านก็เป็นคนช่วยข้าหาสีสันเหล่านี้ ข้าอยากแบ่งปันมันกับท่าน สิ่งที่ท่านช่วยให้ข้าได้รังสรรค์ ท่านว่าอย่างไรกันล่ะ?"

อัศวินไม่พูดอะไร เพียงเก็บดาบในมือขวาเข้าปลอกข้างกายแล้วยืนนิ่ง เสมือนรอให้อีกฝ่ายเอ่ยพูดต่อ

"ไปกันเถอะ ท่านผู้ชมที่แสนดีของข้า ข้าจะนำพาท่านไปยังเพิงนักวาดเอง"

จูโนเป็นฝ่ายเดินนำออกจากลานหญ้าของป่า จอมดาบจึงก้าวตามในเวลาไม่นาน พาให้เธอยิ้มและหัวเราะเล็กน้อยด้วยความดีใจ พากันกลับสู่ถนนอิฐเส้นหลัก ผ่านบรรยากาศอันน่าชมของป่าใหญ่ สู่สถานที่พวกเขาจากมาอีกคราหนึ่ง

ไม่นานนักทั้งสองก็อยู่ต่อหน้าอาคารขาวหอศิลป์ ทว่านักวาดไม่หยุดเพียงนั้น เธอเดินต่อไปจนเลยอาคารใหญ่ พาให้อัศวินที่เดินตามมาหยุดชะงัก จนอีกฝ่ายที่เดินไปได้พักหนึ่งรับรู้ว่าผู้ติดตามหาได้อยู่ใกล้ และตัดสินใจหันกลับมา

"มีอะไรหรือท่านอัศวิน? ตามข้ามาสิ"

นักวาดเอ่ยถามด้วยความสงสัย นักดาบปริศนาจึงก้าวตามสาวเจ้าต่อ กระทั่งได้เห็นว่าเธอพามายังสถานใด

สิ่งที่รอต่อหน้าคู่ผู้มาเยือน คือเพิงอิฐสีขาวขนาดไม่เล็กใหญ่เกินไป ซึ่งให้ความรู้สึกสบายตา ที่มีช่องลมจำนวนหนึ่งให้ความเย็นพัดผ่านด้านใน และกำลังรอให้พวกเขาเดินเข้าไป

"นี่คือเพิงนักวาด สถานที่เจ้าของหอศิลป์เดิมใช้วาดภาพ ภาพทั้งหลายในหอศิลป์ล้วนถูกวาดที่นี่ หวังว่าท่านจะได้พบความสบายใจในสถานนี้"

ทั้งสองพากันเข้าไปด้านในเพิงอิฐ ที่มีผืนผ้าใบพร้อมขาตั้งอยู่ด้านใน ณ ฟากหนึ่ง ใกล้กันเป็นจุดเก็บอุปกรณ์สำหรับวาดภาพที่แตกต่าง ตั้งแต่พู่กัน ขวดเก็บเม็ดสี จานสี จนถึงสิ่งที่ไม่คุ้นตาสำหรับผู้มาเยือน อีกฝั่งเป็นเขตสวนไม้ดอกขนาดเล็กบนโต๊ะที่ถูกจัดเรียงเอาไว้ ให้สีสันสวยงามแก่ใครที่ได้เห็น รอบข้างเป็นหน้าต่างช่องลมที่เปิดให้แสงและลมผ่านเข้ามา ให้ความเย็นสบายแม้เข้ามาได้ไม่นาน แล้วนักวาดก็เข้าหาบริเวณเก็บอุปกรณ์ต่อไป

"ขวดแก้ว ขวดแก้ว ขวดแก้ว ขวดแก้ว"

จูโนพึมพำกับตัวเอง พลางวาดมือควานหาขวดแก้วเปล่าจากโต๊ะเก็บของ มาตั้งไว้บนโต๊ะเตรียมของ เมื่อเห็นดังนั้นนักดาบชุ่มเลือดจึงช่วยหยิบให้จนครบตามจำนวนวัตถุดิบที่มี ก่อนเธอผงกหัวพร้อมยิ้มให้แทนการขอบคุณ

นักวาดหยิบเปลือกไข่สีฟ้าเขียวออกมา ไม่นานนักเธอก็วางมันบนแผ่นผ้าซึ่งมีครกกับสากวางไว้ ให้อัศวินไร้ชื่อเห็น

"ข้าอยากฝากท่านทุบเปลือกไข่ให้เป็นผุยผง สำหรับเก็บเป็นเม็ดสีในขวดแก้ว ต้องรบกวนท่านด้วย"

อัศวินสวมผ้าคลุมจับหยิบสากกับจับครกถือไว้ ก่อนออกแรงทุบเปลือกไข่ลงไปเรื่อย ทำตามเจ้าของเพิงขอให้ลุล่วงตามเวลา พลางสังเกตการกระทำของอีกฝ่ายต่อไป

สาวใหญ่ในชุดคลุมม่วงถือหินปูนกับหยาดสมุทรไว้ในสองมือ ก่อนกำแน่นจนเกิดเสียงเปราะดัง กระนั้นจอมดาบชุ่มเลือดก็ไม่ใส่ใจ ยังทุบเปลือกไข่ให้เป็นชิ้นเล็กลงไป

ท้ายที่สุด จูโนก็ถือศิลาเพลิงสีทองคำไว้ในมือ แล้วจับมั่นไว้ไม่ให้ขยับไปไหน แล้วมองด้วยสายตาไม่น่าพอใจเท่าไร

"ช่างน่าเสียดาย เจ้าไม่ใช่สิ่งที่ข้าตามหาแต่แรก"

ทว่าแม้จะพูดอย่างนั้น ใบหน้าอันน่ารักของเธอก็เผยรอยยิ้มอันจริงใจออกมา ขณะแววตาแสดงอารมณ์ไม่ต่างกัน

"แต่ก็ขอบคุณที่มาเติมเต็มสีสันแก่ข้านะ"

นักวาดบดขยี้ศิลาสีทองในมือจนเกิดเสียงแหลกสลาย พร้อมกับที่เปลวเพลิงลุกโชนขึ้นจากมือพันผ้า เกิดเป็นภาพอันน่ากลัวที่ทำให้อัศวินไร้นามตั้งท่าระวัง กระนั้นไม่นานเพลิงนั่นก็ดับไป เมื่อเธอเทเศษผงศิลาในมือลง

"ให้เจ้าได้เป็นสีสันที่ข้าต้องการเถิด"

แขกแห่งเพิงนักวาดยังคงท่าทีไม่วางใจ จ้องมองแม่สาวผมยุ่งยาวไม่หันเหไปไหน เสมือนเกรงกลัวในสิ่งที่เกิด จนเธอผู้บดขยี้ศิลารับรู้และหันหา ก่อนยิ้มให้ด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนจากเดิมเท่าไร

"อย่าได้กังวล ข้าเพียงเปลี่ยนศิลาให้เป็นผงสำหรับทำสีวาดรูป นั่นเป็นศิลาเพลิง ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีประกายไฟ"

อัศวินปริศนาหยุดนิ่งอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ ก่อนเบนความสนใจหามือขวาของสาวเจ้าที่บดขยี้ศิลาเป็นผงจนเพลิงลุก ทว่ามือเธอกลับไร้อาการบาดเจ็บใด ไม่แม้แต่รอยไหม้เล็กน้อย ผ้าที่พันไว้ก็ยังคงอยู่ในสภาพดีจนน่าประหลาดใจ แต่เขาก็ไม่ปริปากพูดอะไร แค่จ้องมองอยู่อย่างนั้น จนเธอส่งเสียงหัวเราะเบาบางออกมา

"เชื่อมั่นในข้าเถิด ท่านผู้ชมที่แสนดี มิมีสิ่งใดให้ห่วงเลย"

เมื่อได้รับคำยืนยันดังนั้น จอมดาบก็กลับไปทุบเศษเปลือกไข่ให้เป็นผงละเอียดต่อเรื่อย ขณะเจ้าของเพิงตระเตรียมวัสดุที่ตนไม่เข้าใจว่าคือสิ่งใด แต่ก็ตั้งหน้าทำตามอีกฝ่ายขอไว้ จนในที่สุดทุกสิ่งก็เรียบร้อย เป็นผงไข่ในขวดแก้ว แล้วเขาก็ยื่นให้เธอที่เพิ่งจัดการบางอย่างบนจานสีเสร็จเรียบร้อยพอดี

"โอ้ ขอบคุณท่านมาก ที่เหลือข้าจัดการเอง"

จูโนรับขวดใส่ผงไข่สีเขียวฟ้าเอาไว้ ใช้ช้อนตักส่วนหนึ่งลงช่องของจานสี ก่อนหยิบอีกขวดที่ใส่ของเหลวใสเทลงไปเล็กน้อย แล้วประสมให้เนื้อรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เช่นวัสดุอื่นที่กลายเป็นสี ทว่ากลับมีสีเทาอ่อนประสมมาด้วย แต่นักดาบที่สังเกตเห็นก็ไม่ทักท้วงแต่อย่างใด เพียงรอดูว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร

นักวาดผมยุ่งจัดเตรียมเก้าอี้นั่งไว้หน้าผ้าใบเหนือขาตั้งไม้ พร้อมจานสีในมือซ้ายกับพู่กันในมือขวา เธอทำท่าเสมือนกำลังมองผ้าใบตรงหน้า แม้ว่าดวงตาที่ล่องลอยจะมองไม่เห็นก็ตามที แล้วแววตากับสีหน้าตั้งมั่นของเธอก็กลับมาอีกครา

"ข้าอยากแบ่งปันความงดงามของภาพวาดนี้ร่วมกับท่าน ได้โปรด เชยชมให้สาสมดังท่านปรารถนาเถิด"

อัศวินปริศนาขยับดาบสวมปลอกออกจากข้างเอว วางสองมือบนกำบังดาบแทนไม้เท้าค้ำยืน มองสาวใหญ่นักวาดสะบัดพู่กัน ลงสีดำเป็นพื้นของภาพไว้ ก่อนเอ่ยทักผู้ชมด้านหลังอย่างเบาบาง

"ท่านนำเก้าอี้มานั่งชมให้สะดวกได้นะ ข้าไม่ว่าอะไรท่านหรอก"

แม้นักวาดจะพูดเช่นนั้น นักดาบก็ไม่ยอมขยับไปไหน มองนักวาดลงสีเรื่อยไป จนเห็นเป็นร่างสวมเกราะโลหะหมองหม่นหุ้มร่าง ประทับตราวงกลมสีทอง มือซ้ายขวาวางเหนือดาบยาวอันปักพื้น และเริ่มเป็นรูปร่างมากขึ้นเรื่อย

สิ่งต่อไปที่ถูกวาดลงผืนผ้าใบ คือผ้าคลุมสีฟ้าเขียวที่คลุมตั้งแต่ไหล่ถึงหลัง มันใหญ่และหนาพอให้เห็นได้ว่าขนาดแท้จริงเป็นอย่างไร ทำให้นักรบสวมเกราะเริ่มรู้สึกถึงความประหลาดบางอย่าง

ทันทีที่สาวเจ้าลงสีที่ทำจากงาช้าง ความคิดของอัศวินไร้นามก็หายไปในทันใด จนเธอลงสีจากหยาดสมุทรอันมีเพียงเพียงน้อยนิด กับหินปูนที่ถูกลงน้ำหนักสีแตกต่าง จนในที่สุดก็เหลือเพียงสีเลือด ที่เธอกำลังจะลงเป็นอย่างสุดท้าย

ทว่าก่อนเธอจะได้ทำอะไร แมวดำขนปุยก็กระโจนขึ้นมาหานักวาดบนตัก จนเธอเผลอร้องอุทาน ขณะจานสีในมือกระเด็นเล็กน้อยก่อนหล่นตกพื้น จนสีที่ยังเหลือกระเซ็นเปื้อนภาพวาดบนผืนผ้าใบ

"นิลกาฬ! เจ้าทำอะไรน่ะ?"

จูโนออกเสียงดุใส่สหายตัวน้อยของเธอเล็กน้อย ก่อนนิลกาฬหลับตาแล้วส่งเสียงร้อง พลันหันมองภาพวาดอันสมบูรณ์ดี ที่วัสดุทุกชิ้นถูกใช้เป็นสีสันของภาพนี้ แล้วทะยานลงไปนั่งตามประสาสัตว์สี่เท้า

"แต่เอาเถอะ อย่างน้อยภาพนี้ก็สมบูรณ์แล้ว"

ภาพที่จูโนวาดออกมา เป็นอัศวินสวมเกราะสีหม่นที่มีคราบเลือดเปรอะเปื้อนประทับตราทองคำ ผู้วางมือสองข้างไว้เหนือดาบสีเงิน โดยบางส่วนของร่างถูกคลุมโดยผ้าคลุมสีฟ้าเขียว

สิ่งที่เด่นชัดสุดของภาพ คือใบหน้าสีขาวอ่อนของอัศวิน ที่เป็นของหนุ่มน้อยวัยแรกรุ่นผู้มีสเน่ห์พอประมาณ ทว่าใบหน้าอันน่ารักนั้น กลับแสดงออกมาเพียงความเคร่งเครียดแลเย็นชา คู่ดวงตาสีน้ำทะเลไร้ประกาย มองไปยังข้างหน้าอย่างว่างเปล่าไร้จุดหมาย โดยสิ่งที่เด่นชัดไม่ต่างกัน คือผมกระเซิงสีขาวราวหิมะที่ยาวประต้นคอ ดังเป็นผู้มาจากเทพนิยาย

"ข้าให้ชื่อภาพวาดนี้ว่านักฆ่าไร้หน้า ข้าวาดเขาจากอัศวินคนหนึ่ง ผู้ซึ่งร่อนเร่พเนจรเรื่อยไป เสมือนตามหาสิ่งใดที่ตนไม่รู้จัก เขาพยายามแยกตัวเองออกจากโลกนี้ ดังไม่คู่ควรกับสิ่งใดที่ได้เผชิญ โอบรับเพียงความรุนแรงแลเลือด เพื่อให้ได้รู้สึกถึงบางสิ่งที่คิดว่าควรค่า บางอย่างที่ทำให้ไม่ต่างอะไรจากสัตว์ร้ายไร้สติ แม้จิตส่วนลึกจะร้องหาบางสิ่งก็ตามที แต่เสียงนั้นกลับไม่มีใครได้ยิน ไม่แม้แต่มีใครเห็น จึงยอมรับสภาพนักฆ่าเลือดเย็น และเลือกที่จะเป็นเช่นนั้นต่อไป"

แล้วในที่สุดจูโนก็ลุกขึ้น ก่อนก้มมองอัศวินไร้นามตรงหน้าที่เตี้ยกว่าตนพอประมาณเพื่อเอ่ยถาม

"นั่นคือท่าน ใช่ไหม?"

นักดาบไม่ยอมตอบอะไร ยังยืนนิ่งไม่ตอบสนองอย่างนั้นเรื่อยไป กระนั้นนั่นก็มากพอให้นักวาดเข้าใจ

"ให้ข้าได้เชยชมใบหน้าของท่านอย่างเต็มแก่ จะได้ไหม?"

แม้อีกฝ่ายจะมิยอมปริปาก สาวเจ้าร่างใหญ่ก็ยื่นมือพันผ้าหาอัศวินตรงหน้า ขยับผ้าคลุมที่ปิดบังศีรษะกับใบหน้าออก ให้เห็นใบหน้าอันงามงดไร้อารมณ์ แววตาอันว่างเปล่าประสมความเยือกเย็นที่แหงนมองนักวาด กับผมอันเงางามโบกสะบัดตามสายลม ทุกอย่างเป็นไปตามภาพวาดบนผืนผ้าใบ ไม่มีจุดต่างใดให้เห็นแม้แต่น้อย

เธอวางมือสัมผัสใบหน้าของอัศวินหนุ่มอย่างเบาบาง พลางขยับเรื่อยให้ได้รู้ว่าอีกฝ่ายมีรูปลักษณ์เช่นไร ในตอนนั้นเองที่เธอเผยยิ้มออกมา เพราะความสุขที่เกิดในใจ

"ใบหน้าท่าน ช่างเลิศเลอเสียกระไร งดงามตามคิดไว้เลย"

นักดาบหนุ่มรู้สึกถึงความประหลาดบนใบหน้าตน คือความอบอุ่นอันประหลาด ที่ทำให้อารมณ์ความรู้สึกไม่เหมือนเดิม จนขยับมือจับแขนอีกฝ่ายไว้ กระนั้นกลับไม่ดันออกไป เพราะบางสิ่งที่ติดค้างในใจ

"ผู้มาเยือนที่แสนดี ท่านมีนามว่าอะไรหรือ?"

แม้จะรู้ว่านักวาดตาบอด บางสิ่งก็พาให้นักดาบหนุ่มเบนตาสีน้ำทะเลหลบ หลีกจากแววตาสีเพลิงที่จ้องลงมา ซึ่งว่างเปล่าไม่ต่างจากตนเท่าไร แต่ในที่สุดเขาก็พูดประโยคแรกออกไป ด้วยน้ำเสียงหนุ่มวัยแรกรุ่นอันเย็นชาไม่ต่างจากสายตา

"นามนั้น ข้าไม่มีหรอก"

"หากเช่นนั้น ข้าขอเรียกท่านว่าอิโระได้ไหม? อัศวินและวีรชนของข้า"

จูโนยิ้มถามด้วยความสงสัย ต่อหนุ่มไร้ชื่อตรงหน้าในฝ่ามือเธอ เขาใช้เวลากับตัวเองพักใหญ่ เพราะความกังวลและสับสนในใจ แต่ในที่สุดก็ตอบกลับไป

"ได้สิ"

เมื่อได้สัมผัสจนพอใจ จูโนก็ขยับมือลงมา วางลงบนไหล่เด็กหนุ่มผู้ได้นามว่าอิโระ แล้วถามต่อด้วยโทนเสียงคงเดิม

"แท้จริงแล้วท่านเป็นใครหรือสิ่งใด ไฉนใยมาเยือน ณ สถานนี้?"

"ข้า ก็ไม่รู้เหมือนกัน"

อิโระตอบด้วยเสียงที่เบากว่าก่อนหน้า ดังไม่รู้ว่าตนควรตอบเช่นไร แต่นั่นก็ทำให้จูโนหัวเราะออกมาเล็กน้อย และเผยรอยยิ้มเบาบางอย่างเธอทำมาตลอดออกมา เสมือนว่ามีสุขกับบางสิ่งที่ได้รับรู้

"เช่นนั้น เรามาตามหามันด้วยกันเถิด อัศวินของข้า"


next chapter
Load failed, please RETRY

Weekly Power Status

Rank -- Power Ranking
Stone -- Power stone

Batch unlock chapters

Table of Contents

Display Options

Background

Font

Size

Chapter comments

Write a review Reading Status: C2
Fail to post. Please try again
  • Writing Quality
  • Stability of Updates
  • Story Development
  • Character Design
  • World Background

The total score 0.0

Review posted successfully! Read more reviews
Vote with Power Stone
Rank NO.-- Power Ranking
Stone -- Power Stone
Report inappropriate content
error Tip

Report abuse

Paragraph comments

Login