เจี้ยนเหวินศกปีที่ 4 เยียนอ๋อง จูตี้ เคลื่อนพลจากแคว้นเยียน (เป่ยจิง : ปักกิ่ง) เข้าสู่ราชธานีนครอิ้งเทียนฟู่ (หนานจิง) ยึดบัลลังก์จากจักรพรรดิเจี้ยนเหวิน (จูอวิ๋นเหวิน) สุดท้ายสามารถบุกเข้าเมืองและยึดอำนาจการปกครองได้ แต่ จูตี้ กลับรั้งรอที่จะเข้าวัง มีคนบอกว่าเขามีความเห็นใจจักรพรรดิผู้มีศักดิ์เป็นหลานอา แต่บางคนว่า เยียนอ๋องจู้ตี้เพียงไม่อยากเสียชื่อเสียงว่าเป็นผู้ล้างญาติชิงบัลลังก์ เขามั่นใจว่า จูอวิ๋นเหวิน มีทางเลือกเพียงสองทาง หนึ่งคือ ออกมายอมแพ้ยกราชบัลลังก์ราชวงศ์หมิงให้กับเขาด้วยตนเอง หรือ ทางที่สองพระองค์จะปลิดชีวิตตนเองลงด้วยความละอายที่พ่ายแพ้ สองทางนี้ไม่ว่าทางไหนมือเยียนอ๋องย่อมไม่แปดเปื้อน ทั้งสามารถวางท่าว่า จำต้องรับบัลลังก์ด้วยความจำเป็น แต่เหตุการณ์ไม่เป็นเช่นนั้น จูอวิ๋นเหวิน พลันสร้างทางเลือกที่สามให้ตนเอง เขาลงมือเผาพระราชวังแล้วหลบหนีออกไป !
ยามค่ำคืนแห่งความโกลาหล และแสงเพลิงกองมหึมาลุกโชนกลางราชธานีอิ้งเทียนฟู่ (หนานจิง) ณ เนินเขาเปลี่ยวร้างด้านทิศใต้ของเมือง ปรากฏรถม้าสีดำคันหนึ่งควบตะบึงมา รถม้าที่มืดมิดราวกับราตรีไร้ดาว เทียมม้าสูงใหญ่ขนดำสนิทคู่หนึ่ง ตัวรถมีขนาดกลาง ทาถูด้วยสีดำจนมิดทุกซอกทุกมุม แม้แต่ผู้บังคับรถก็แต่งกายด้วยชุดดำสวมผ้าคลุมหน้าสีดำเผยให้เห็นเพียงแค่ดวงตา หากว่ามันปรากฎในคืนไร้แสงเดือนย่อมยากที่จะพบเห็น คืนนี้แม้ไม่มืดสนิทแต่เมื่ออาศัยร่มเงาของต้นไม้สูงใหญ่สองข้างทางขึ้นเขานับว่าครึ้ม ทึบจนมองเห็นได้ยาก ผู้คนแทบไม่สามารถมองเห็นฝ่ามือตนเองในสภาพเช่นนี้ นี่ย่อมเป็นพาหนะที่เหมาะแก่การหลบเร้นไม่ให้ผู้คนสังเกตพบได้โดยง่ายอย่างแท้จริง หากแต่คืนนี้สถานการณ์ผิดไป รถม้านี้แม้เชื่อว่าจงใจจัดเตรียมเพื่อใช้เคลื่อนไหวอำพรางในยามค่ำคืน แต่สิ่งที่ทำให้มันเผยตนโดยง่ายกลับเป็นเสียง ! เสียงของกีบเท้าม้าที่ตะกุยกระแทกพื้นดังสนั่นปานจะให้พื้นถล่มทลาย เสียงฉาดๆ จากการฟาดแส้ระคนเสียงแผดร้องเร่งม้าอย่างบ้าคลั่งของคนบังคับรถผสานเสียงม้าคำรามดังลั่นไปทั้งหุบเขา ผู้คนต่อให้อยู่ห่างออกไปอีกหลายลี้ก็ยังสามารถรู้ถึงการเคลื่อนไหวของมัน
รถม้าห้อไปอย่างเร่งร้อน ม้ากำยำขนดำสนิทสองตัววิ่งเต็มฝีเท้าจนปากของมันปรากฏฟองน้ำลายพรั่งพรู แสดงให้เห็นถึงการวิ่งเต็มกำลังจนแทบสุดฝืน แต่ยังคงตะบึงต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งตามแรงแส้ของผู้บังคับรถที่ทั้งเฆี่ยนตีทั้งตะโกนเร่งเร้าด้วยดวงตาที่เบิกโพลง ภายในรถสีดำนั่งไว้ด้วยผู้คนอีก 3 ชีวิต หนึ่งในนั้นเป็นชายหนุ่มใบหน้าเกลี้ยงเกลาไร้หนวดเคราอายุราว 23 - 24 ปี สวมชุดสีขาวหรูหราราวคุณชายสูงศักดิ์ หากมิใช่เขาโดยสารมาในรถม้าที่เร่งรีบและมิได้มีสีหน้าหวาดวิตกจนเหงื่อหยดย้อยผมเผ้ารุงรังเช่นนี้ เชื่อว่าเขาย่อมนับเป็นชายรูปงามที่กรุยกรายคนหนึ่ง อีกสองคนที่อยู่ร่วมภายในรถแต่งกายชุดสีดำรัดรูปเช่นเดียวกับคนขับ คนหนึ่งหันมองไปด้านหลังรถด้วยดวงตาจ้องเขม็งแทบไม่กระพริบตา มือหนาใหญ่กุมอุปกรณ์ที่แขนกระชับมั่น อีกคนจับประคองร่างของคุณชายไม่ให้เสียหลักยามรถวิ่งกระแทกกระทั้น แม้จะอยู่คนละกิริยาแต่ทั้งสี่คนมีหนึ่งสิ่งที่เหมือนกัน นั่นคือพวกเขาดวงตาที่เบิกโพลง แสดงถึงความหวาดหวั่นจนลนลาน เห็นได้ชัดถึงความรู้สึกเร่งร้อนหมายจะไปให้พ้นจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ แต่เรื่องนั้นนับว่าไม่ง่าย เพราะที่ห่างไปไม่ไกลทางด้านหลังของรถสีดำ มีคนกลุ่มหนึ่งควบม้าห้อตะบึงตามมาอย่างเร่งร้อนไม่แพ้กัน
ขบวนที่ตามมามีจำนวน 8 คน ควบขี่ม้าสูงใหญ่ 8 ตัว ประกอบด้วย 2 นักพรต 2 หลวงจีน 3 ชาวยุทธ และอีกหนึ่งคนถึงกับแต่งชุดทหารองค์รักษ์แขวนป้ายทองติดกายสลักคำว่า "เยียน" ทุกคนพกพาอาวุธ สีหน้าทั้งเร่งร้อนและเดือดดาล นักพรตทั้งคู่สะพายกระบี่กลางหลัง หลวงจีนรูปหนึ่งพกดาบพระอีกรูปกวัดแกว่งไม้พลองยาว ชาวยุทธทั้งสามหนึ่งพกพากระบี่หนึ่งพกพาดาบใหญ่และอีกคนเหน็บขวานคู่ที่ข้างเอว ส่วนองค์รักษ์ห้อยไว้ด้วยดาบยาวหัวตัดที่ตัวดาบค่อนข้างแคบเล่มหนึ่ง
"เดรัจฉานดูว่าเจ้าจะหนีไปได้ถึงที่ใด !" ชาวยุทธที่พกขวานตะโกนกึกก้อง คนผู้นี้รูปร่างสูงใหญ่กลางศีรษะล้านเลี่ยนรอบๆ มีผมหยักสาก หนวดเคราชี้ชัน ดวงตาพองโต ลักษณะเป็นผู้ทรงพลังและอารมณ์เกรี้ยวกราด มันกระชากขวานด้ามหนึ่งออกมาจากหว่างเอว เงื้อง่าขึ้นทำท่าจะสะบัดขว้างออกไปยังรถม้า ในจังหวะที่รถม้าเริ่มชะลอช่วงทางโค้งไต่ขึ้นภูเขา
"ระวัง !" หนึ่งในสองนักพรตตะโกนเตือนพรรคพวก ดึงสติคณะไล่ล่าให้ตื่นตัว หลายคนเอียงร่างและบังคับม้าให้เบี่ยงข้างเล็กน้อย ฉับพลับเกิดเสียงดัง เคี้ยว ! ผ่านไป เป็นเกาทัณฑ์แขนเสื้อดอกหนึ่งพุ่งผ่าอากาศออกมาจากในรถ
"พวกเรารักษาระยะห่างระวังอาวุธลับ หุบเขานี้ไร้ทางออก พวกมันเฉกเช่นตะพาบเข้าไปในไหอย่าหวังจะหนีรอดไปได้" นักพรตคนเดิมกล่าวเสียงเข้ม คนที่เหลือต่างส่งเสียงรับคำ ดูจากท่าทางบุคลผู้นี้คงเป็นผู้นำของขบวนไล่ล่า เว้นแต่ผู้ที่แต่งชุดองครักษ์ กลับมีสีหน้าเย็นชาอยู่บ้างแอบแค่นเสียง "เฮอะ" ในลำคอเบาๆ
รถม้ายิ่งวิ่งเข้าไปในหุบเขาหนทางยิ่งคับแคบ สองฟากยืนด้วยต้นไม้โบราณสูงตระหง่าน หากไม่มีเสียงควบขับของม้าและเสียงล้อรถบดถนนเหล่านั้น ละแวกนี้นับได้ว่าวังเวงจนน่าหวาดหวั่น มันให้ความรู้สึกเก่าแก่โบราณจนแทบเป็นอาถรรพ์ศักดิ์สิทธิ์ ดุจเป็นแดนสิงสู่ของภูตผีที่เร้นกายมาอย่างยาวนาน...
การไล่ล่าเริ่มทิ้งระยะห่าง เนื่องจากฝ่ายไล่ล่าเริ่มมั่นใจว่าเส้นทางที่รถม้ามุ่งไปเป็นเส้นทางเข้าสู่ใจกลางหุบเขาที่ไร้ทางออก หากแม้ฝ่ายหลบหนีไม่ถึงกับจู่ๆ มีปีกงอกเงยขึ้นจากหลัง ย่อมไม่สามารถหนีพ้นออกไปจากหุบเขานี้ได้ ฝ่ายไล่ล่าจึงลดฝีเท้าม้ารักษาระยะห่างเพื่อระวังอาวุธลับ แต่ฝ่ายหลบหนีกลับไม่กล้าชะลอแม้ชั่วครู่ ยังคงห้อรถม้าไปตามทางอย่างรวดเร็ว ไม่กี่อึดใจต่อมาคนขับรถม้าพลันตะโกนเข้าไปในรถ
"ถึงแล้ว ! ทั้งหมดเตรียมตัวลงจากรถ !"
ขาดคำพลันกระชากดึงสายบังคับจนม้าทั้งสองยกขาหน้าขึ้นแผดเสียงร้องดังสนั่น ในรถปรากฎเงาวูบเป็นหนึ่งในผู้คลุมหน้าหอบฉวยเอาร่างของคุณชายชุดขาวกระโดดออกจากรถแล้วสาดตัวพุ่งขึ้นไปตามขั้นบันไดที่ทอดสู่เนินเขาอย่างรวดเร็ว ผู้คลุมหน้าอีกคนวิ่งตามติดไปด้านหลังในท่วงท่าระวังภัยขยับเกาทัณฑ์แขนเสื้ออย่างเตรียมพร้อม ส่วนคนขับรถม้ากระชากดาบขนห่านออกมากระชับมั่นหันไปมองเส้นทางที่ผ่านมาก่อนตามติดขึ้นเนินบันไดไปเป็นคนสุดท้าย ทิ้งระยะห่างช่วงหนึ่งในลักษณะเตรียมพร้อมสกัดขวางแต่ฝีเท้าหาได้หยุดยั้งยังคงวิ่งติดตามไป
ไม่กี่อึดใจต่อมาขบวนไล่ล่าควบขับม้าตามมาถึง นักพรตเฒ่าดึงรั้งหยุดม้าเป็นคนแรกพลางโบกแขนเสื้อยกมือขวาขึ้นเป็นเชิงให้ขบวนของตนหยุดตรงทางขึ้นบันได
"รั้งรออยู่ใยท่านนักพรต บุกขึ้นไปคร่ากุมคนเถอะ !" ชาวยุทธผู้พกขวานกระชากอาวุธออกมากระชับมั่นพลางร้องตะโกน
"ประมุขเหอโปรดระงับใจ บริเวณนี้อาถรรพ์รุนแรง ป่าไม้รกครึ้มเกรงจะมีคนซุ่มลอบทำร้าย"
นักพรตผู้นำขบวนร้องกล่าว ที่แท้ชายร่างสูงใหญ่พกขวานศีรษะล้านผู้นี้คือ "เหอลู่ฟาง" ฉายา ขวานวายุ ประมุขของค่ายโจรเทียนโย่ว (ฟ้าปกปัก) จากเมืองเกาโหยว เป็นทายาทนักรบของอดีตผู้เหี้ยมหาญ จางสื้อเฉิง อ๋องแห่งอาณาจักรต้าโจว ซึ่งอดีตเคยเป็นคู่ปรับคนสำคัญของปฐมกษัตริย์ราชวงศ์หมิง จูหยวนจาง ชื่อค่ายโจร "เทียนโย่ว" มาจากชื่อรัชศกของอาณาจักรต้าโจวนั่นเอง เหอลู่ฟาง สืบเชื้อสายนักรบมีความดุดันและทรงพลังมาแต่กำเนิด ฝึกวิชาขวานคู่และวิชาภูษาเหล็ก มีบริวารมากกว่า 2,000 คน ส่วนใหญ่เป็นทายาทของอาณาจักรต้าโจวที่ล่มสลาย ครั้งนี้ถึงกลับกล้าเข้ามาเคลื่อนไหวในราชธานีหนานกิงของราชวงศ์หมิง ถือว่ารุกเข้ามาถึงถิ่นคู่อาฆาต ชาวยุทธอีกคนที่พกดาบใหญ่ ใส่เสื้อเปลือยแขนเห็นกล้ามเนื้อเบ่งพองร่างกำยำ มีความสูงเกือบเท่าประมุขเหอ เป็นบริวารคู่ใจของมันนาม "อู๋ซ่าง" ฉายาพยัคฆ์ดุร้าย
"ท่านนักพรตลู่กล่าวถูกต้อง ยามนี้พวกมันขึ้นสู่อารามร้างกลางหุบเขา ทั้งสามด้านล้วนไม่มีทางออกนับเป็นจุดอับอย่างยิ่ง หากแต่สถานที่รกครึ้มตั้งสูง รุกยากตั้งรับง่าย ใช้ความระวังไว้ไม่เสียหาย"
ผู้แต่งชุดองครักษ์กล่าวเสียงทุ้มพลางยกมือทำท่าคาราวะนักพรตผู้นำขบวน ที่แท้นักพรตผู้นี้คือ "ลู่จือชิง" มีศักดิ์เป็นศิษย์น้องของเจ้าอาราม เหล่าจวินต้ง ในเมือง จุงกิง ภาคตะวันตกเฉียงใต้ ถือเป็นนักพรตเต๋าที่มีความสำเร็จในเชิงยุทธไม่น้อย โดยเฉพาะวิชากำลังภายใน มีลักษณะหยุ่นเหนียวยากต่อต้าน เมื่อใช้ร่วมกับกระบี่สนโบราณแทบจะกล่าวได้ว่าในยุทธภพมีเพียงไม่กี่คนที่กล้าประมือกับนักพรตลู่โดยตรง
"ใต้เท้าจางหย่วนพิเคราะห์รอบคอบสมเป็นผู้ชำนาญการศึก" นักพรตอีกคนกล่าว เขาผู้นี้เป็นศิษย์คนโตของนักพรตลู่จือชิง นาม หม่าเยว่ฟาง ชำนาญวิชากระบี่รับการถ่ายทอดมาจากอาจารย์ตั้งแต่วัยเยาว์ ว่ากันว่าเขาฝึกได้ถึง 7-8 ส่วนของผู้เป็นอาจารย์แล้ว
"มิกล้าๆ ตอนนี้พวกเราขึ้นสู่อารามกันเถอะ เชื่อว่าเหล่าตะพาบเข้าไปอยู่ในไหเรียบร้อยแล้ว" จางหย่วนออกความคิดเห็น แท้จริงแล้วเขาผู้นี้คือ หนึ่งในหัวหน้ากององครักษ์ขั้นสี่ของ เยียนอ๋อง จู้ตี้ พระเจ้าอาของจักรพรรดิ์เจี้ยนเหวิน (จูอวิ๋นเหวิน) ผู้กรีฑาทัพจากเป่ยจิงแดนเหนือรุกเข้ามาจนถึงราชธานีหนานกิงเพื่อชิงบัลลังก์ในเวลานี้...
ชาวยุทธหนุ่มอีกคนหนึ่งสวมชุดสีเทาท่าทางสุภาพแต่ในตาหลุกหลิก พกพากระบี่รีบลงจากหลังม้าของตนเข้ามาจับม้าประคองม้าให้จางหย่วนลง ผู้นี้แท้จริงเป็นองครักษ์ในสังกัดของมัน นาม "อี้จง" ก่อนรับราชการเคยเป็นชาวยุทธถนัดใช้กระบี่และเพลงเตะ ในยามถูกเรียกใช้มันอยู่ในห้วงแฝงตนสืบเสาะหาข่าว จึงไม่ได้แต่งชุดขุนนาง แต่ท่วงท่ายังดูวางตนสูงส่งอยู่บ้าง ทั้งไม่เหลือบแลผู้ใดนอกจาก จางหย่วน ผู้เป็นนายเหนือ
กล่าวจบทั้งหมดลงจากหลังม้ากระชับอาวุธในมือ ทยอยตามกันขึ้นบันไดที่ทอดสู่อารามร้าง ตลอดทางเงียบงันจนผิดปกติ ทั่วบริเวณไม่มีแม้แต่เสียงแมลงและสัตว์กลางคืน บรรยากาศเย็นเยียบรกร้างวังเวงยิ่งนัก เชื่อว่าในยามปกติแม้แต่เวลากลางวันก็ยากที่จะมีผู้คนขึ้นมายังสถานที่เช่นนี้ เมื่อเดินขึ้นไปใกล้ถึงลานปากประตูที่แหว่งเว้าและผุพังของอารามร้าง นักพรตลู่จือชิง ยกมือเป็นสัญญาณให้แยกย้ายกันไปทางซ้ายขวาเพื่อโอบล้อมกันการหลบหนี เสร็จแล้วพยักหน้าให้ศิษย์คนโตนักพรตหม่าเยว่ฟางเข้าไปดูในอาราม
การเคลื่อนไหวที่มีท่าทีลับล่อๆ เช่นนี้ออกจะขัดใจประมุขเหอที่เป็นจอมโจรอยู่ไม่น้อย แต่ที่ยังไม่กล้าส่งเสียงออกมา เนื่องจากเมื่อครู่ตนเองแทบพลาดท่าให้เกาทัณฑ์แขนเสื้อมาก่อน จึงได้แต่พาพยัคฆ์ดุร้ายบริวารคู่ใจเข้าไปยืนคุมเชิงอยู่บริเวณด้านนอกของลานประตูทางเข้า สองโจรยืนอยู่เบื้องหลังของนักพรตหม่าที่เดินเข้าไปช้าๆ มือกระชับขวานคู่และดาบหัวตัดหยาบใหญ่เตรียมพร้อมจะเข้าไปอาละวาดให้สมใจอยาก
ในอารามเงียบสงัด ป้ายชื่อด้านหน้าวัดร้างที่อยู่เหนือประตูผุพังจนมองไม่เห็นตัวหนังสือ หากแต่ที่พื้นด้านในกลับปักตั้งไว้ด้วยป้ายหินสูงหนึ่งวา สภาพยังใหม่ มีตัวหนังสือสลักเอาไว้ว่า "อาศรมปีศาจ"
"อาศรมปีศาจ... " นักพรตหม่าพึมพำเบาๆ พลางขมวดคิ้วครุ่นคิด สิ่งที่สะกิดใจเขามาตลอดทางคือ เหตุใดขบวนหลบหนีจึงเลือกเส้นทางปิดตายเช่นนี้... เป็นไปได้หรือที่ว่าผู้หลบหนีโง่เขลาจนเตลิดหนีอย่างไร้จุดหมายเข้ามาหาสถานที่เช่นนี้... ประการนี้ยิ่งคิดยิ่งน่าสงสัย เนื่องจากทั้งคนทั้งม้าและรถ มีการจัดเตรียมอย่างดีทั้งสีสันและขนาด ในตอนที่พวกเขาพบเห็นขบวนรถแม้ช่วงแรกมีสภาพหลบลี้ลัดเลาะในเมืองอย่างวกวน แต่มั่นใจว่ามันพุ่งเป้าเพื่อมาเส้นทางนี้อย่างแน่นอนไม่คลาดเคลื่อน การเตลิดหนีจนหลงมาในจุดอับไร้ทางออกดูเชื่อได้ยากกว่าการจงใจเดินทางมายังที่นี่ แต่...พวกมันมาที่นี่ด้วยเหตุใด ที่นี่ใช่มีสิ่งคุ้มภัยที่ผู้หลบหนีเชื่อมั่นหรือไม่ หากมี มันเป็นใครหรือสิ่งใด... อย่างไรก็ตาม ด้วยพลังฝีมือของอาจารย์กับผู้ร่วมคณะไล่ล่า เขาไม่เชื่อว่าจะมีใครสามารถต้านทานหรือแม้แต่สามารถจะหลบหนีไปได้... นั่นทำให้เขาอุ่นใจ แต่...ส่วนลึกในจิตใจกลับกำลังสั่นไหวด้วยความหวาดหวั่นแปลกๆ ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นเมื่อเขาเห็นป้ายหินสลักคำ "อาศรมปีศาจ" อันนั้น หม่าเยว่ฟางพลันรู้สึกถึงความอัปมงคลจนอดหลั่งเหงื่อออกมาที่ใจกลางฝ่ามือและหน้าผากไม่ได้...
ทันใดนั้นดาบขนห่านเล่มหนึ่งฟาดจากบนลงล่างเข้าใส่นักพรตหม่าอย่างหักโหม ! ที่แท้ชายคลุมหน้าที่ทำหน้าที่ขับรถม้ายังแอบซุ่มอยู่เหนือซุ้มประตูทางเข้า ฉวยจังหวะที่ผู้ไล่ล่าเยี่ยมหน้าเข้ามามัวเพ่งมองตัวอักษรบนศิลาจู่โจมออกหนึ่งดาบอย่างฉับพลัน เป็นดาบสังหารที่เบ็ดเสร็จตรงไปตรงมา ฟันลงในสภาวะที่แสดงอานุภาพของดาบขนห่านได้รุนแรงที่สุด หมายผ่าร่างแยกสังขารในทีเดียว
หากเป็นผู้อื่นการลอบโจมตีเช่นนี้ย่อมสำเร็จไม่ผิดพลาด ผู้เข้าประตูมาคนแรกย่อมกลายเป็นซากศพสองซีกอย่างไม่ต้องสงสัย น่าเสียดายดาบนี้แม้ใช้ออกได้ดี หากแต่นักพรตหม่าเป็นถึงศิษย์เอกผู้ได้รับการถ่ายทอดยอดวิชาจากนักพรตลู่จือชิง มิใช่ชนชั้นสามัญ ในพริบตาที่เกิดวูบอัปมงคลร่างกายพลันตื่นตัว เมื่อดาบแหวกอากาศลงมาร่างของเขาถึงกับดีดตัวพุงขึ้นเป็นแนวขวางม้วนตวัดตัวไปขวา พลางใช้กระบี่ในมือสาดแทงจากด้านข้างทิ่มไปยังบริเวณลำคอของผู้ฟาดดาบ กระบี่เดียวหมายเอาชีวิต ! แต่คนคลุมหน้าก็มีฝีมือมิใช่ชั่ว พลันหันหลบได้อย่างฉับพลัน รั้งดาบตั้งขึ้นคุ้มครองกาย สภาวะดาบสามารถปัดป่ายปลายกระบี่ออกไป เสียงดาบกระบี่ปะทะกันดังเคล้งหนึ่งกระแทกทั้งคู่แยกจาก
"มาได้ดี !" ประมุขค่ายโจรเหอลู่ฟางคำรามหนวดเคราชี้ชัน ยกขวานขึ้นกางกั้น อู๋ซ่าง เป็นสัญญาณให้หยุดรอคุมเชิง ส่วนตัวมันกระโจนเข้าร่วมวงต่อสู้ พลันเหวี่ยงฟาดขวานคู่รวดเร็วปานจักรผัน บุรุษคลุมหน้าได้แต่ใช้ดาบปัดป่ายไม่กล้าปะทะกับขวานอันหนาหนักโดยตรง เพียงใช้จุดเด่นของดาบที่มีความยาวข่มขวานที่เป็นอาวุธสั้นเอาไว้ จึงยังไม่ถึงกับพลาดท่า และในเวลาเดียวกันก็อาศัยความหนาหนักของดาบขนห่านฟาดปะทะกระบี่เอาไว้ บุรุษชุดดำผู้นี้นับได้ว่าเป็นผู้ทักษะยุทธผู้หนึ่ง สามารถใช้ปมเด่นของอาวุธชนิดเดียวเข้าต่อสู้หักหาญกับอาวุธที่แตกต่างกันสองชนิดที่ใช้โดยยอดฝีมือได้ อย่างไรก็ตามเมื่อการหักหาญผ่านไปชั่วครู่ ในสภาพตั้งรับที่ต้องเผชิญสองขวานหนึ่งกระบี่ ผู้ใช้ดาบขนห่านเริ่มตกเป็นรอง แต่ยังไม่ถึงกับเพลี่ยงพล้ำเนื่องจากสามารถอาศัยท่าเท้าอันรวดเร็วพาเขาออกจากจุดอับได้หลายครั้ง ทำให้รอดพ้นจากความพ่ายแพ้ ซึ่งในที่นี้หากพ่ายแพ้ย่อมหมายถึง ตกตาย !
"ท่าเท้าท่องเมฆา ยอดวิชาราชสำนัก" นักพรตลู่จือชิงเอ่ยขึ้นเบาๆ สายตาจับจ้องไปยังการต่อสู้ที่อยู่ห่างไปสิบกว่าวา พลันรู้สึกข้างกายมีคนเคลื่อนเข้ามา นักพรตเฒ่าถึงกับตกใจอยู่บ้างที่มีผู้สามารถเข้าใกล้ตัวเขาได้อย่างแผ่วเบาถึงปานนี้
"มันอาจอยู่ที่นี้..." เสียงทุ้มต่ำกล่าวขึ้นแผ่วเบา
"ท่านมั่นใจหรือ ?" นักพรตลู่จือชิงเอ่ยถามพยายามรักษากิริยาให้สงบแน่วนิ่ง สองตายังจับจ้องไปที่การต่อสู้เบื้องหน้า
ผู้ที่กล่าวเป็นหนึ่งในสองหลวงจีนที่ร่วมขบวนมา ท่านนี้มีนามว่า เสินหนง เป็นมหาสมณะสูงศักดิ์จากวัดหวงเจวี๋ยสื้อ ตำบลเหาโจว มณฑลอันฮุย ซึ่งเป็นวัดในละแวกบ้านเดิมของปฐมกษัตริย์ราชวงศ์หมิง ว่ากันว่าแม้แต่ตัวของหมิงไท่จู่ จูหยวนจาง เอง เมื่อครั้งตกยากยังถึงกับเคยเข้าบวชเพื่ออาศัยข้าววัดนี้กินประทังชีวิต วัดนี้จึงผูกพันกับราชวงศ์หมิงอยู่ไม่น้อย
มหาสมณะผู้นี้อายุราว 50 ปีเศษ หนวดเครายาวจรดอกเริ่มมีสีขาวแซม ร่างกายแม้ไม่สูงใหญ่เท่าเหอลู่ฟาง แต่นับว่ามีลักษณะอันเข้มแข็ง ฝ่ามือหนาใหญ่ใบหน้าอิ่มเอิบเชื่อว่ามีพลังภายนอกกล้าแกร่งยิ่งนัก
"อาตมาไม่ถึงกับมั่นใจ แต่มีเค้าลางอันน่าสังเกต โปรดส่งสัญญาณพาผู้ตรวจสอบรุดมา" หลวงจีนเสินหนงพนมมือกล่าว แล้วถอยกายออกไป หันไปกล่าวกับ หลวงจีนเสินขู่ ผู้เป็นศิษย์น้องสองสามคำแล้วพากันพริ้วกายไปทางด้านข้างของอารามร้าง ที่กลางหลังของหลวงจีนเสินขู่ยังสะพายห่อผ้าใส่ของใบหนึ่งติดตัวไปด้วย
"เยว่ฟางถอย !"
นักพรตลู่จือชิงตะโกนเสียงดังกังวาล ขณะสะบัดมือยิงพลุดาวเงินขึ้นสู่ท้องฟ้า แต่ช้าไปวูบหนึ่ง นักพรตหม่าเยว่ฟาง ในวงต่อสู้ที่กำลังชิงเป็นฝ่ายมีเปรียบสะกิดร่าง เสือกกระบี่แทงเข้าใส่ไหล่ด้านซ้ายของคนคลุมหน้าในจังหวะที่เขาต้องขวางดาบรับแรงกดอันมหาศาลจากขวานคู่ของเหอลู่ฟาง จังหวะวูบที่นักพรตหม่านึกยินดีว่าสามารถทิ่มกระบี่เข้าสู่ร่างคู่ต่อสู้ได้ พลันเกาทัณฑ์สั้นดอกหนึ่งแหวกฝ่าอากาศมาจากเงามืดภายในตัวอารามร้างที่ผุพัง ดีที่นักพรตหม่าได้ยินเสียงอาจารย์ร้องเตือนทำให้ตื่นตัว จึงสามารถถอนรั้งร่างกลับ แต่ยังคงโดนลูกเกาทัณฑ์ปักตรึงแขนขวาจนต้องหงายร่างล้มลงก่อนจะสามารถสะบัดพลิกตัวลุกขึ้นนั่งชันเข่ากับพื้นได้
ประมุขเหอถึงกับตกตะลึงเมื่อเหตุการณ์แปรเปลี่ยนพลันถ่ายทอดพลังผ่านขวานกระแทกเอาชายชุดดำผละออกไป ควงขวานคู่หมุนวนคลุมครองกายป้องกันการถูกลอบโจมตีด้วยเกาทัณฑ์อีกราย นักพรตหม่าเยว่ฟางพลันยันตัวดีดร่างถอยปราดราวกับถูกกระชากไปทางด้านหลัง สองนิ้วปาดจี้สกัดจุดห้ามเลือดที่บาดแผลแต่ยังไม่กล้าถอนลูกศรออกจากร่าง จังหวะเดียวกันชายชุดดำก็ค่อยๆ ถอยหลังในท่าระวัง หายร่างเข้าไปในเงามืดของตัวอารามร้าง
หัวหน้าองครักษ์จางหย่วนขมวดคิ้ว ปลายหนวดกระตุกเบาๆ เดินเอามือไพล่หลังก้าวผ่านประตูทางเข้ามาในบริเวณลานของอารามช้าๆ ก่อนจะยกมือทั้งคู่ขึ้นประสานในท่าคาราวะก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยเสียงอันนุ่มนวล
"ผู้กล้าทั้งหลาย... ยามนี้ฟ้าเปลี่ยนสี แผ่นดินมีผู้ปกครองใหม่ พวกท่านก็เป็นชนชั้นยอดฝีมือมีประโยชน์ต่อแผ่นดินไปภายหน้า ใยเราท่านต้องหักหาญ ขอเพียงพวกท่านยอมวางอาวุธ ติดตามพวกเรากลับไป ข้าพเจ้าจางหย่วนรับประกันจะเบิกทางสะดวกและทูลเจ้าชีวิตเว้นโทษทั้งยังขอตำแหน่งพร้อมบำเหน็จรางวัลให้พวกท่านได้เสพสุขชั่วลูกสืบหลาน เช่นนี้ไม่ดีกว่ามาเสี่ยงชีวิตในที่นี้หรือ..."
จางหย่วนมิเพียงเอ่ยเสียงอันนุ่มนวลออกมา แม้แต่สีหน้ายังถึงกับสามารถมีรอยยิ้มเผยกว้างเสมือนเอ่ยอย่างจริงใจขึ้น แต่... แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการล่อลวง ก่อนที่คำสุดท้ายจะหลุดออกจากปากจนจบประโยค จางหย่วน พลันถลันกายไปด้านข้างหลีกทางให้ อี้จง สมุนของมันสาดพุ่งลูกกลมที่คละคลุ้งด้วยควันสีเหลืองกลิ่นเหม็นฉุนเฉียวเข้าไปในตัวอาคารอย่างเร่งร้อน ประสิทธิภาพของควัน เป็นพิษทำลายประสาทสามารถทำให้ที่ผู้สูดดมเข้าไปมีอาการสำลักปวดแสบปวดร้อนภายในโพรงจมูกและลูกนัยน์ตา เชื่อว่าหากถูกรมด้วยควันนี้จะไม่มีใครสามารถทนซ่อนอยู่ภายในต่อไปได้ ต้องทุรนทุรายออกมาให้ครากุมด้านนอก
คนที่หลบซ่อนภายในแม้มีจำนวนน้อยกว่า แต่เชื่อว่าเป็นผู้มีฝีมือไม่ต่ำทรามและจัดเจนในการต่อสู้ระวังภัย จังหวะที่ลูกกลมควันเหลืองลอยเข้าไป ใกล้จะล่วงล้ำเข้าภายในตัวอาราม ปรากฎแรงกระแทกมันออกมาได้อย่างทันท่วงที จังหวะนั้นเองที่นักพรตลู่จือชิงรอคอย ! ร่างนักพรตสาดทะยานเข้าไปราวลูกศรหลุดจากแล่ง วูบเดียวถึงตัวคนชุดดำที่กระแทกลูกกลมควันพิษนั้น นักพรตเฒ่ากางฝ่ามือแสดงท่าคว้าจับแฝงพลังหยุนเหนียวของสถาบันพรต ออกแรงกระชากข้อมือข้างที่ติดตั้งเกาทัณฑ์แขนเสื้อของชายชุดดำออกมาจากที่ซ่อน นี่จึงเป็นเป้าหมายที่แท้จริง ! เพื่อกำจัดอาวุธลับที่ยากปิดป้องของคู่ต่อสู้
พลังรั้งกระชากของนักพรตลู่ไม่ธรรมดา ทอดตาทั่วยุทธภพคงมีไม่กี่รายที่เชื่อว่าต้านทานได้ แต่กำลังข้อของชายชุดดำกลับทำให้ต้องประหลาดใจ เขาถึงกับสามารถดึงรั้งหยุดร่างไว้ได้เมื่อเคลื่อนออกมาภายนอกเพียงสองสามก้าว แสดงถึงพลังการฝึกปรือที่ไม่ธรรมดา เกิดสภาพยื้อยุดกันอยู่บริเวณหน้าตัวอาราม แต่นักพรตลู่เป็นชนชั้นใดแล้ว เมื่อกระชากต่อไม่ได้ก็แผ่พลังขับกระบี่ในฝักที่กลางหลังให้พุ่งออกมา ใช้ปลายนิ้วอีกข้างตวัดกวัดไกว ควงกระบี่สนโบราณกรีดหมุนพัวพันแขนของชายชุดดำเป็นวงกลมซ้ำรอยเดิมอยู่หลายรอบก่อนตวาด
"หลุด !"
สิ้นเสียงแขนข้างที่ติดอาวุธเกาทัณฑ์ของชายชุดดำพลันหลุดออกจากร่างตามแรงดึง โลหิตสาดกระจาย ร่างและแขนผละหลุดจากกันกระเด็นไปคนละทางท่ามกลางเสียงร้องอย่างเจ็บปวด นักพรตลู่แม้ได้ทีแต่ไม่ละการระวังป้องกัน พลันดีดร่างพุ่งถอยหลังราวลูกหนังเด้งกลับ หลุดรอดจากดาบขนห่านของชายชุดดำอีกคนที่ฟาดสวนเข้ามาระดับศีรษะไปได้อย่างรวดเร็ว ชายชุดดำเกร็งกำลังดันส่งเพื่อนที่บาดเจ็บให้เข้าไปภายในอารามจากนั้นยืนขวางดาบกางกั้นระหว่างกลุ่มผู้ไล่ล่ากับทางเข้าตัวอารามเอาไว้
ประมุขค่ายโจรเทียนโย่ว เหอลู่ฟาง และสมุนต้องการผลงาน เมื่อเห็นฝ่ายตนชิงเป็นฝ่ายมีเปรียบอีกทั้งเกาทัณฑ์แขนเสื้อที่เป็นอาวุธลับถูกขจัดไป ก็หมดข้อกริ่งเกรง พากันโถมร่างหมายจัดการให้เด็ดขาด เหอลู่ฟาง เกร็งกำลังฟาดขวานคู่เข้าใส่ดาบขนห่านอย่างหักโหม คนชุดดำบาดเจ็บจากปลายกระบี่อยู่ก่อนไม่กล้าปะทะ เพียงใช้ดาบปัดป่าย แผ่พลังใส่สันดาบด้านที่หนากว่ารับแรงปะทะ พลันฉวยโอกาสยืมแรงเบี่ยงร่างออกด้านข้าง เอนตัวหมุนวนแฉลบไปกับพื้นอาศัยจังหวะในชั่วพริบตาฟาดดาบเข้าใส่ท่อนล่างของสมุนโจรที่กระโจนเข้ามาหมายซ้ำเติมเข้าเต็มเหนี่ยว ! ถึงกับฟันขาซ้ายของอู่ซางจนขาดเสมอเข่า พยัคฆ์ดุร้ายร้องขึ้นอย่างเจ็บปวดแต่ยังมีสติรีบทิ่มดาบลงกับพื้นค้ำยันไม่ให้ร่างพลิกหงายหลัง คนชุดดำลงมือปรากฎผลแต่สภาวะพลังยังไม่สิ้น เขายันแขนกดประทับลงกับพื้นม้วนตัวกลับหมายจะเตะศีรษะอู๋ซางที่ขาขาดให้สิ้นชีวิต แต่คนน้อยไม่อาจต้านมือเท้ามาก จังหวะจะพลิกม้วนตัวกลับลอยขึ้นกลางอากาศ ร่างของเขาถูกนักพรตหม่าเยว่ฟางที่ลอบเร้นมาทางด้านข้างเสือกกระบี่แทงเข้าที่ชายโครงแล้วกรีดกระชากลง ชายชุดดำถึงกับหน้าท้องเปิด เลือดและตับไตไส้พุงพรวดกระเด็นออกมาร่าง ล้มกระแทกหงายลงกับพื้น ดวงตาเบิกโพลง ลำคอยกเกร็งส่งเสียงร้องอู้อี้กระอักเลือกออกมาได้คำหนึ่งก็สิ้นใจไปอย่างน่าอนาถ
"กรีดได้ดี !" นักพรตลู่พยักหน้าร้องชมศิษย์ของตน
............................