วันถัดมา…
วันนี้น้ามินตราเขาให้ผมหัดใช้โปรแกรมช่วยออกแบบ 3D โปรแกรมใหม่ ก็โอเค ดูคูลดี ลูกเล่นเยอะมาก โปรแกรมที่แผนกป้าลินเคยใช้นี่เทียบไม่ติดเลย
ผมนั่งเรียนรู้โปรแกรมใหม่ทั้งวัน จะว่าสนุกก็สนุก จะว่าน่าเบื่อก็น่าเบื่อ เบื่อตรงที่ต้องนั่งจ้องแต่จอคอมพิวเตอร์นานๆและมือก็จับแต่เมาส์ขยับไปมา รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหุ่นยนต์ยังไงไม่รู้ แอบคิดไปถึงตอนทำงานป้าลินอีกแล้ว รายนั้นเขามาสายโบราณ ชอบเน้นใช้มือวาดเองระบายสีเอง ซึ่งผมก็ชอบดิ แม้ผมจะเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่โตมากับคอมพิวเตอร์ แต่เลือดสายติสท์ของย่าโทโมโกะคงอยู่ในตัวผมเยอะอยู่ ผมเลยยังชอบจับพู่กันวาดรูปมากกว่าจับเมาส์เหมือนคนโบราณ
เฮ้ย… คิดถึงคุณป้าอีกแล้วนะฮะมรึง คิดถึงทุกๆห้านาทีเลยเหรอวะครับเนี่ย
ผิดป่าววะที่ผมเป็นประเภทฝังใจจริงจัง ลิสาเคยบอกว่าผมเป็นมนุษย์ดิจิตอล ความสนใจในเรื่องต่างๆเป็นศูนย์กับหนึ่ง คือถ้าเกิดนึกสนใจอะไรขึ้นมาก็จะใส่ใจมาก แต่ถ้าไม่สนก็คือไม่สนเลย ผมว่าตรรกะการเปรียบเทียบของลิสาแปลกๆ แต่ก็จริง ในชีวิตของผมมีสิ่งที่ผมสนใจอยู่ไม่กี่เรื่อง นับนิ้วได้เลยว่ามีการ์ตูน เกม วาดรูป งานที่บริษัท พ่อ ปู่ คุณมะพร้าว แม่เล็ก ไอ้ไอซ์ ไอ้คิว ลิสา แล้วก็ป้าลิน แค่นั้น…
เดี๋ยวครัชคุณเรน แต่ตอนนี้มันเวลาทำงานนะครัช คุณจะคิดถึงเรื่องป้าเขามากไปแล้ว ผมเริ่มจะรำคาญคุณมากขึ้นเรื่อยๆแล้วครัช คุณไอ้เรนผู้พร่ำเพ้อตั้งแต่ต้นจนจบ จนป้าเขาออกไปได้เป็นเดือนแล้วเนี่ย
ไม่เอา ไม่เอา ตอนนี้มีสมาธิกับงานหน่อยครับ รอคืนนี้ก่อนครับคุณเรน
เดี๋ยวคืนนี้ค่อยสะสางกับพ่อเรื่องป้าลินกะเรื่องคุณฝน…
กว่าผมและพ่อจะออกจากโรงงานก็ทุ่มกว่า ถึงเราจะรู้สึกโคตรเหนื่อยด้วยกันทั้งคู่แต่เราก็ยังแวะกลับเข้ามาที่ออฟฟิศที่ทองหล่อก่อนจะกลับเข้าบ้าน เพราะพ่อเขาต้องเข้ามาเอาเอกสารของลูกค้าที่ลืมเอาไว้ที่โต๊ะทำงาน พรุ่งนี้เขามีประชุมกับลูกค้ารายนี้แต่เช้าที่แถวดอนเมือง ทีแรกเขาบอกจะไปแป๊บเดียวให้ผมรออยู่กับคุณตาสมานในรถหน้าประตูอาคารก็ได้ แต่ผมก็ตามลงมาจากรถด้วยเพราะอยากจะไปเข้าห้องน้ำ
หลังออกมาจากห้องน้ำที่ด้านหลังของโชว์รูมชั้นล่าง ผมมองทะลุประตูกระจกของตึกออกไปด้านนอกที่รถจอดรออยู่ ก็ยังไม่เห็นพ่อจะอยู่ในรถ มองไปไกลอีกหน่อยก็เห็นคุณตาสมานกำลังยืนคุยกับคุณตาประวิตรยามกะกลางคืนของเราที่ป้อมยาม
อ่อ พ่อคงยังไม่ลงมาสินะ สงสัยพ่อมีอะไรติดพันที่ต้องเคลียร์ เขาคงยังอยู่ในห้องทำงานใหญ่แหละ ผมเลยคิดว่างั้นนั่งรอพ่อเขาที่โซฟาข้างล่างนี่แหละ
แต่พอมองไปรอบๆ และถ้าสังเกตกลุ่มโซฟาที่วางอยู่สำหรับโชว์และเป็นที่นั่งรับแขกไปในตัว เป็นใครก็คงอดสะดุดตากับบรรดาโซฟาลายดอกไม้ที่ความสดใสของสีสันทะลุทะลวงโดดเด่นออกมานั้นไม่ได้ ฝีมือการจัดโชว์รูมนี้เป็นฝีมือของป้าคิตตี้เขาร่วมกับแผนกมาร์เก็ตติ้ง เขาวางคละๆกันไประหว่างโซฟาสีพาสเทลน่าเบื่อของแก๊งพี่มินตรากับโซฟาสีจัดจ้านของแก๊งป้าลิน ซึ่งแม้จะขายไม่ค่อยได้ แต่พ่อเขาก็ยังให้เก็บคอลเลคชั่นของป้าลินโชว์ไว้อยู่ เขาบอกว่ามันเป็นรุ่นคลาสสิคและทรงคุณค่า
ผมเห็นบรรดาโซฟาดอกไม้บานพวกนี้แล้วก็…
เปลี่ยนใจละ ไม่นั่งคอยพ่อละ…
ผมเปิดประตูเดินเข้าไปในห้องออกแบบที่คุ้นเคย เดินช้าๆพลางไล่มือไปตามอุปกรณ์ต่างๆที่วางอย่างเป็นระเบียบอยู่ชิดผนังรอบๆห้องนั้น พอลุงสุกรีไม่อยู่ ป้าลินไม่อยู่ ห้องนี้ดูเหงาลงไปถนัดตา แต่พ่อบอกว่าเดี๋ยวทีมของพี่มินตราคงจะย้ายจากโรงงานเข้ามาใช้ห้องนี้ในไม่ช้า
ในที่สุดผมก็หย่อนลงตัวบนเก้าอี้ที่โต๊ะใหญ่ใจกลางห้องนั่น พอมองไปรอบๆก็คิดถึงบรรยากาศสนุกสนานที่เคยมี คิดถึงตอนที่น้าเยลลี่กับลุงสุกรีเขาหยอกล้อกันอย่างรุนแรง ตอนป้าลินกับป้าคิตตี้เขาเต้นไปรอบๆห้องเวลาทำงานสำเร็จ ตอนผมกับพี่เอกแอบใช้คอมของบริษัทโพสต์เรื่องการเมือง…
นึกไปถึงงานเลี้ยงอำลาวันสุดท้าย กว่าครึ่งของคนในออฟฟิศเขาร้องไห้กันตอนที่ป้าลินขึ้นไปกล่าวคำอำลา วันนั้นผมกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้เพราะไม่อยากให้พนักงานในบริษัทเห็นว่าผมขี้แย ตอนนั้นหันไปมองพ่อ ก็เห็นเขาทำหน้าเฉยมากๆ
แต่วันนี้... พอมาเห็นห้องที่เงียบเหงาอย่างนี้ ผมก็น้ำตาซึมขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
เชี่ย! ไอ่คุณเรน! จะน้ำตาซึมทำไมวะเนี่ย!
ไอ่ติสท์ใจเสาะ! ไอ่ใจกากแต่ปากเก่ง! ไอ่วัยรุ่นเวิ่นเว้อ! ไอ่เทพแห่งการยืนงงในดงศิลปะ!
แต่… ก็ทุ่มกว่าแล้วปะวะ ไม่มีใครอยู่ในออฟฟิศแล้วเว้ย จะเหลือก็แต่พ่อที่ยังคงทำอะไรไม่รู้อยู่ในห้องทำงานใหญ่ พ่อที่ดูเหมือนจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย ปล่อยไป ตอนนี้มีผมคนเดียวในห้องนี้ เอาน่า จะปล่อยให้น้ำตามันไหลลงมาก็คงจะไม่มีใครเห็นหรอกวะ ไม่มีใครต้องให้เขินนี่หว่า
แม้จะเกลียดความอ่อนไหวในส่วนลึกของตัวเอง ไม่อยากเป็นผู้ชายสายเปราะบาง แต่ผมก็นั่งนิ่งปล่อยให้น้ำตาไหลอยู่อย่างนั้น คิดว่ามันคงไหลไม่นาน แต่ทำไมมันยังไหลได้เรื่อยๆไม่หยุดเลยวะ ยิ่งน้ำตาไหลก็ยิ่งจมดิ่งอยู่กับความคิดถึงป้าลิน ยิ่งเห็นกล่องสีไม้กล่องโปรดของป้าเขาก็ยิ่งหวั่นไหว
ผมเอื้อมมือไปเลื่อนเจ้ากล่องไม้นั่นเข้ามาใกล้ๆ เปิดฝาออกแล้วหยิบแท่งสีฟ้าออกมาระบายเล่นบนกระดาษเปล่าที่วางอย่างซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบอยู่บนโต๊ะ
แล้วเสียงของป้าลินดังแว่วมาจากไหนไม่รู้ไกลๆ…
'ลายเส้นแบบนี้! วิธีการลงสีแบบนี้! นี่มันอัจฉริยะชัดๆ!'
ภาพของป้าลินลอยเหนือกระดาษแผ่นขาวนั่นขึ้นมา ป้าที่กำลังนั่งตาโตเฝ้าดูผมวาดรูปลงสีแล้วคอยอวยคอยชื่นชม ถึงผมจะรู้ตัวเองอยู่แล้วว่าผมมันอัจฉริยะ ผมมีแฟนคลับในเว็บตูนอยู่มากมาย แต่ป้าเขาเป็นคนเผยแพร่ความอัจฉริยะของผมให้ผู้คนในโลกของพ่อได้รับรู้ …ซึ่งสำหรับผมแล้วมันมีค่ายิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
เอาจริงผมมันก็แค่เด็กง่อยๆที่อยากเป็นคนสำคัญในโลกของพ่อ!
อยากจะใช้เวลาอยู่กับพ่อให้บ่อยที่สุดและนานที่สุด!
'น้าไม่ต้องบอก เรนก็รู้เนาะ ว่าพ่อเซนเขาภูมิใจในตัวเรนแค่ไหน'
ใช่ ผมก็มองออกว่าพ่อกับปู่เขาภูมิใจในตัวผม สายตาของพวกเขามันแสดงออกมา แต่เขาไม่ได้พูดออกมาไงครัช ผมก็อยากได้ยินชัดๆกับหูบ้าง แม่งแค่ส่งสายตากันมันอาจไม่พอป่าววะ
เสียงแจ้วๆของคุณป้ายังคงดังตอกย้ำในความทรงจำ
'น้ารู้ว่าเรนเจ๋งในแบบของเรน เจ๋งที่สุด เรนไม่ต้องเหมือนพ่อเซน ไม่ต้องเหมือนคุณปู่ราเชนทร์ เป็นตัวของเรนเองนี่แหละเท่สุดแล้ว'
ป้าย้ำกับผมเป็นการส่วนตัวบ่อยๆยังไม่พอ ป้ายังย้ำอวยผมส่งตรงถึงคุณเซนประธานบริษัททุกครั้งที่มีโอกาส
'น้องเรนเป็นทรัพยากรที่ทรงคุณค่าในบริษัทนะคะคุณเซน ลินว่าเด็กสมัยนี้เค้าเก่งกว่าเราสมัยเด็กมากเลยอะค่ะ คุณเซนจำได้ไหมคะ สมัยเราเด็กเท่านี้วันๆเราก็ได้แต่วิ่งตามกรี๊ดพี่หนุ่ยไมโคร'
แม้ผมจะไม่รู้ว่าพี่หนุ่ยไมโครคือใคร แต่เอาเถอะ ฟังจากน้ำเสียงแล้วป้าเขาน่าจะกำลังเชียร์ผมอยู่
บ่องตง ผมรู้สึกดีจริงๆว่ะที่ตัวเองดูมีคุณค่า มันเหมือนวัยรุ่นอย่างเราก็สามารถมีส่วนร่วมในโลกของผู้ใหญ่ได้ การได้รับการยอมรับจากผู้ใหญ่มันทำให้เรามีความมั่นใจขึ้นอีกเยอะ
เอาจริงถึงผมจะรู้ตัวเองว่าหล่อมาก ว่าเป็นเทพด้านการวาดการ์ตูน ว่าบ้านรวย ว่าเล่นกีฬาเก่ง ว่าสาวกรี๊ด แต่มันก็อดไม่ได้ที่ผมจะไม่มั่นใจในเรื่องอื่นๆ เช่น ผมเรียนไม่เก่ง คิดเลขช้า เบื่อวิชาวิทยาศาสตร์โคตร คือก็รู้อะนะว่าคนเรามันเก่งไม่ได้ทุกอย่างหรอก แต่บางทีมันก็อดจิตตกไม่ได้ไง บางทีอยู่ดีๆก็นึกอิจฉาเพื่อนที่มันเรียนเก่งไง มันตอบคำถามครูกันได้ทุกวิชา ส่วนผมงี้นั่งเงียบหลังห้องเรียนตลอด ดูโง่ๆตลอด นั่งมองนาฬิกาทุกห้านาที รอแต่เวลาจะออกไปเตะบอลข้างนอก ปลอบใจตัวเองไปว่ายังไงเราก็เตะบอลเก่งว่าไอ้พิชิตศักดิ์ที่มันได้ท้อปวิชาเลข แต่พอหันไปเห็นลิสากำลังทำโจทย์เลขกับพิชิตศักดิ์อย่างสนุกสนาน ผมก็รู้สึกง่อยแดกขึ้นมาอีกครั้ง
โอ้ย! แม่ง! เซ็ง! นี่ชีวิตวัยรุ่นมันต้องสับสนยังงี้ทุกคนเลยป่าววะ แบบเดี๋ยวแอคคูล เดี๋ยวจิตตกอะ
แต่พอมาปรับทุกข์เรื่องนี้กับป้าลิน ป้าเขาก็พูดให้ผมรู้สึกดีขึ้น กล้าที่จะยอมรับในความเป็นตัวเราเองมากขึ้น
'น้าจะแอบบอกอะไรให้ คุณเซนพ่อของเรนน่ะ ถึงเขาจะหล่อฉลาดความจำดี แต่เขาก็ร้องเพลงไม่ไหวเลยนะ แล้วด้านศิลปะก็ไม่ได้เรื่องเลยด้วย'
อ่า พ่อของผมที่ดูเจ๋งดูคูลเป็นผู้นำเป็นประธานบริษัทก็มีมุมง่อยๆเหมือนกันแฮะ
'มันเป็นเรื่องปกตินะเรน เป็นเรื่องธรรมชาติมากๆที่คนเราจะเก่งบ้างหรือง่อยบ้างสลับกันไป หรืออันที่จริงน้าว่านะ มันไม่สำคัญเลยว่าจะเก่งหรือไม่เก่ง เราเป็นแค่คนธรรมดาก็ได้ ไม่เก่งอะไรเลยก็ได้ ง่อยๆก็ได้ ขอแค่ให้ตั้งใจทำในทุกๆสิ่งที่กำลังทำอยู่ให้สุดความสามารถ ก็แค่นั้น ไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับใคร'
'แล้วทำไมป้าต้องชอบอวยผมอะฮะ ถ้าป้าบอกว่าการเป็นคนเก่งมันไม่สำคัญ' จำได้ว่าผมแย้งเขาไปแบบนั้น
'ก็น้ารู้ว่าความเก่งของเรนมันเป็นผลมาจากการที่เรนเป็นคนมุ่งมั่นตั้งใจไงจ๊ะ ความจริงแล้วน้าอวยความตั้งใจของเรนต่างหาก หรือถึงเรนจะเป็นเด็กธรรมดาไม่ได้เก่งอะไรเป็นพิเศษ และง่อยมากในเรื่องวิชาคณิตศาสตร์ น้าก็มีเรื่องอื่นให้อวยเรนอยู่ดี เช่น เรนเป็นวัยรุ่นมีน้ำใจ น้าเห็นเรนช่วยน้าเยลลี่เก็บห้องออกแบบให้เป็นระเบียบทุกครั้งหลังเลิกงาน หรือช่วยคุณยายผ่องแม่บ้านของเราเก็บแก้วกาแฟตามโต๊ะทำงานไปไว้ในครัว หรือช่วยคุณตาสมานยกแฟ้มงานมาให้พ่อ'
เชี่ย! ป้าลินแอบสังเกตเห็นอะไรยิบย่อยยังงี้ด้วยเหรอวะ
'การที่เรนเป็นวัยรุ่นมีน้ำใจ ทำให้เรนเป็นวัยรุ่นที่น่ารักที่สุดในสายตาของน้า'
โอเค ป้าลินเขาเป็นคนชอบอวย เขาหาเรื่องเล็กๆน้อยๆมาอวยทุกคนได้ตลอดเวลา อวยกันตรงๆแบบไม่เกรงใจว่าผู้ฟังจะเขินหรือไม่ แรกๆผมก็ไม่ชิน รู้สึกรำคาญนิดหน่อย แต่นานๆไปพอเห็นว่าเขาอวยแบบจริงใจจริงๆ ผมก็กลับรู้สึกดี รู้สึกอบอุ่นใจ
…
โคตรคิดถึงเลย…
…
แล้วในที่สุดทำนบน้ำตาของผมก็พังทลาย ผมสะอื้นตัวโยน ซบหน้าลงกับโต๊ะ ปลดปล่อยความรู้สึกเศร้ารู้สึกอัดอั้นออกมาอย่างเต็มที่ ทั้งๆที่ผ่านมาหลายอาทิตย์ผมไม่ได้รู้สึกเศร้ามากมายนักเพราะคิดว่าตัวเองทำใจได้แล้ว และก็ตั้งใจเอาไว้แล้วด้วยซ้ำว่าการร้องไห้เรื่องป้าลินที่บ้านกับคุณมะพร้าวในวันนั้นจะเป็นครั้งสุดท้าย ผมจะไม่มีวันเสียน้ำตาให้เรื่องเล็กๆแบบนี้อีก แล้วผมดำเนินชีวิตตามปกติ พยายามจะไม่คิดถึงเรื่องนี้ และก็นึกว่าคงจะทำใจได้แล้ว…
แต่แม่งจริงๆแล้ว… ก็ทำใจไม่ได้เลยว่ะ! ผมไม่เคยลืมป้าเลย!
คำถามซ้ำซากวนเวียนเข้ามาในหัวอีก ทำไมป้าเขาทิ้งพวกเราไปวะ บริษัทนี้ไม่มีความหมายกับเขาเลยเรอะ ป้าคิตตี้กับน้าเยลลี่ไม่มีความหมายกับเขาเลยเรอะ แล้วผมกับพ่อล่ะ เขาทิ้งผมกับพ่อไปได้ไงวะ!
ป้าลินเขาชิงทิ้งพ่อไปก่อน ผมก็ยังหวังว่าพ่อคงรอได้ แต่ดูจากเมื่อวานที่พ่อเขาพาผมไปหาน้าฝน เหมือนพ่อเขาจะไม่รอป้าแล้ว พ่อแม่งจะเทป้าบ้างแล้ว!
โคตรเสียใจ ผมทำอะไรผิด ผมเป็นเด็กไม่น่ารักเหรอ ทำไมใครๆก็ทิ้งไป รู้สึกโคตรอ้างว้างเลย
แม่เค้าทิ้งผมไปคนนึงแล้ว นี่ป้าลินยังมาทิ้งผมอีก?
ผู้หญิงคนนึงให้กำเนิดผมแล้วก็จากผมไป ส่วนผู้หญิงอีกคนเข้ามาในชีวิตผม มาทำให้ผมผูกพัน
….มาทดแทนแม่ที่ผมไม่เคยมีมาก่อน แล้วก็มาจากผมไปอีก
ใจหนึ่งผมก็รู้สึกผิดที่คิดจะรั้งใครคนนึงไว้เป็นตัวแทนของแม่ แต่อีกใจผมก็เห็นแก่ตัวอะ ก็ถ้าป้าลินไม่คิดเอ็นดูผมเหมือนลูกจริงๆ แล้วป้าเขาเข้ามาทำดีมาทำอ่อนโยนกับผมทำไม มาทำเหมือนกับเป็นแม่ผมทำไม
โคตรสับสน เสียใจ…
อยู่ๆผมก็มีความรู้สึกโหยหาการมีแม่อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน…
แล้วผมก็จมดิ่งอยู่กับความรู้สึกนั้นอย่างโดดเดี่ยว จมอยู่กับกองน้ำตาที่กลบมิดใบหน้า ปลดปล่อยปมอ้างว้างลึกๆในใจเรื่องของแม่ออกมาอย่างไม่คิดจะเก็บไว้ จนไม่ทันได้สังเกตว่าบานประตูห้องออกแบบนั้นกำลังถูกใครบางคนแง้มออก
และเมื่อผมเงยหน้าขึ้นอีกทีแล้วเผอิญมองไปที่ประตู ใครคนนั้นยืนมองผมอยู่ที่นั่นด้วยดวงตาที่แดงช้ำเช่นกัน
เราสองคนจ้องตากันอยู่อย่างนั้นชั่วครู่ รับรู้ความรู้สึกที่ตรงกันที่กำลังส่งผ่านให้แก่กันและกัน มันเป็นความรู้สึกคิดถึงของเราที่มีต่อใครอีกคนที่เขาไม่ได้อยู่ตรงนี้
ความรู้สึกนี้มันนำพาผมไปสู่จุดจุดหนึ่งที่ผมคิดว่ามันถึงเวลาแล้ว ผมคงต้องเอ่ยปากถามในบางเรื่องที่ผมไม่เคยลืม แต่ไม่เคยกล้าถาม …เพราะกลัวคำตอบที่จะได้รับ
ในที่สุดผมก็เอ่ยขึ้นกับเขาด้วยน้ำตาคลอ
"พ่อฮะ พ่อเล่าเรื่องแม่ให้ผมฟังหน่อยได้ไหมฮะ…"
…