"เออ ยอมให้จับง่ายๆเลยแฮะ"
ผมจับหนอนชาเขียวตัวอ้วนขนาดเท่าท่อนขาได้โดยไร้การต่อต้าน ที่อาจจะเป็นเพราะว่าเลเวลห่างกันมากก็ได้ เพียงแต่การลากหนอนตัวใหญ่ขนาดนี้เป็นระยะทางกว่าสามกิโลเมตร มันก็ทุลักทุเลเอาการ
"เอาละ ทีนี้ก็ลองทำเหมือนเวลาตกปลาดูสิ"
ผมเข้าป่าไปหาเถาวัลย์มาใช้แทนเชือก ซึ่งยังดีที่หาได้ง่ายและไม่ต้องเข้าป่าไปลึกมาก ก่อนจะนำมาผูกกับท่อนไม้สามท่อน เพื่อใช้แทนเบ็ดตกปลา แล้วมัดหนอนชาเขียวที่ดิ้นไปมาอยู่เหนือแอ่งน้ำ
แต่ผมก็ไม่รู้ว่าในแอ่งน้ำนี่จะมีสัตว์มายารูปแบบสัตว์น้ำชนิดอื่นอยู่รึเปล่า เพราะการจะหวังให้เป้าหมายมาติดกับตลอดคงไม่ง่าย ดังนั้นสิ่งสำคัญของแผนการนี้ก็คือ การรักษาเหยื่อให้ได้นานที่สุด เพราะถ้าต้องกลับหาหนอนทุกรอบคงไม่ไหว
ซูม ซ่า
เสียงวัตถุแหวกผิวน้ำดังขึ้นให้ได้ยิน ซึ่งสัตว์มายาตัวแรกที่ติดกับไม่ใช่ปลาเสือลายเมฆ แต่เป็นปลามีเขาหน้าตาดุร้าย แถมยังมีขนาดตัวไม่แพ้หนอนชาเขียว ตกลงขนาดของสัตว์มายาในมิตินี้มันใหญ่ยักษ์เหมือนกันหมดสินะ
ฉึก
หอกไม้แทงเข้ากลางลำตัวที่มีเกล็ดหนาของปลามีเขา ซึ่งการที่หอกไม้แทงทะลุผ่านเกล็ดของมันได้ก็เป็นเพราะผมใช้พลังจิตช่วย และด้วยพลังงานไฟฟ้าที่ปล่อยผ่านหอกไม้ ปลามีเขาก็สิ้นชีพลงในเวลาไม่นาน
"อึบ ตัวหนักเป็นบ้าเลยโว้ย"
ผมลากปลามีเขาขึ้นจากน้ำ และจากข้อมูลของระบบก็พบว่ามันคือ ปลาศฤงคมัสยา วัยเยาว์ ห๊ะ นี่ตัวลูกเรอะ งั้นตัวเต็มวัยไม่เท่าฉลามหรือปลาวาฬเลยเหรอเนี่ย ว่าแต่ชื่อมันอ่านว่าไงนะ สะ-หลิง-คะ-มัด-สะ-หยา มั้ง อ่านยากฉิบ
แล้วจากนั้นผมก็ใช้วิธีเดิมจัดการปลาในแอ่งน้ำที่ถูกล่อด้วยหนอนชาเขียว จนเวลาผ่านไปราวสามชั่วโมง ผมก็สามารถทำภารกิจได้สำเร็จ
-ท่านทำภารกิจ กำจัด ปลาเสือลายเมฆ วัยเยาว์ จำนวนสิบตัวสำเร็จ ได้รับโล่หนังปลาลายเมฆ-
เมื่อสิ้นเสียงจากระบบ โล่ขนาดกลางก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าผม ซึ่งเท่าที่ลองยกดูก็ไม่ได้หนักอะไร แต่การใช้โล่มันไม่เข้ากับนิสัยผมซะด้วยสิ ถึงค่าสถานะของผมจะเหมาะกับสายป้องกันก็เถอะ แต่มันก็ไม่จำเป็นต้องเลือกตามนั้นสักหน่อย
เพราะผมถือคติว่า ต้องลองเลือกในสิ่งที่อยากจะเป็นก่อนสิ่งที่เหมาะจะเป็น เหมือนสมัยเรียนที่อาจารย์หลายคนบอกว่าผมเหมาะกับสายศิลป์ภาษา แต่ผมอยากเรียนสายวิทย์ และหลังจากได้เรียนผมก็พิสูจน์ให้ครูทุกคนเห็นว่าผมเรียนได้
แต่ก็ต้องยอมรับว่าผลการเรียนสายวิทย์ของผมไม่ได้ดีอะไร แค่อยู่ในระดับพอใช้ ต่างจากคะแนนด้านภาษาต่างประเทศที่อยู่ในระดับสูง และนั่นส่งผลให้ผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้สักแห่ง
ทว่าผมก็ไม่เคยเสียใจที่เลือกเรียนสายวิทย์ เพราะผมสนุกไปกับมัน และเชื่อว่าหากไม่ยอมแพ้มันจะต้องมีสักวันที่ผมทำสำเร็จ โอ๊ะ คิดออกทะเลไปไกลซะแล้วสิ รีบออกจากมิติก่อนดีกว่า น่าจะใกล้เที่ยงแล้วละมั้ง
แต่ก่อนที่ผมจะได้ออกจากมิติปิดกั้น ยัยผู้หญิงน่ารำคาญก็ดันโผล่มาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
"นายเก่งดีนี่น่า"
"นี่เธอ แอบตามคนอื่นมันเสียมารยาทนะ"
"ไม่ได้แอบตามสักหน่อย ฉันเดินตามหาอาวุธที่ทำตก แล้วบังเอิญเห็นนายพอดีต่างหาก"
ยัยเตี้ยแถสีข้างเข้าถูจนน่าจะถลอกแล้วมั้ง แต่ยังไงก็ช่าง ผมเสร็จธุระในตอนนี้แล้ว ดังนั้นจึงไม่คิดจะอยู่เสวนาด้วย แต่ไม่ทันที่ผมจะได้ใช้คำสั่งออกจากมิติปิดกั้น ยัยนี่ก็ยื่นสิ่งหนึ่งมาให้
"เอ้านี่ ของตอบแทนที่ช่วยฉัน"
สิ่งที่อยู่ในมือของเธอคือ ตุ้มหูที่มีหน้าตาเหมือนอมยิ้ม และแน่นอนว่าให้ตายยังไงผมก็ไม่คิดจะใส่ของแบบนี้ แถมผมก็ไม่ได้เจาะหูและไม่คิดจะเจาะด้วย
"ไม่ต้องหรอก แล้วผมไม่ใส่ตุ้มหู"
"เห หายากนะเนี่ย"
"เสร็จเรื่องแล้วใช่ไหม งั้นไปก่อนนะ"
"เดี๋ยวสิ แล้วปลาพวกนี้นายไม่เอาเหรอ"
ผมมองปลาที่นอนตายเรียงรายอยู่เกือบสามสิบตัว และสิ่งนี้ทำให้ผมแปลกใจ เพราะปกติสัตว์มายาที่ถูกกำจัดในมิติปิดกั้นจะหายไปเองเมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง แต่ปลาพวกนี้กลับยังอยู่ ซึ่งน่าจะมีเหตุผลบางอย่าง
แล้วถ้าจะให้ผมแล่ปลาละก็มันคงเป็นไปไม่ได้ และมันไม่ใช่แค่ผมทำไม่เป็น แต่ไม่คิดจะทำด้วย เพราะผมไม่ชอบอะไรที่มันเหม็นคาวหรือน่าขยะแขยง จนนึกแปลกใจเหล่าตัวเอกในนิยายที่แล่เนื้อเถือหนังได้จริงๆ
"ไม่ล่ะ ผมแล่ปลาไม่เป็น"
"งั้นเดี๋ยวฉันทำให้ ถือว่าตอบแทนที่ช่วยไง"
แล้วยัยเตี้ยนี่ก็ถือวิสาสะเดินมาจัดการแล่ปลาเองทันที สงสัยจะเป็นประเภทที่ทำอะไรตามใจสินะ แบบนี้ผมยิ่งไม่ชอบเข้าไปใหญ่
ว่าแต่ยัยนี่พกมีดทำครัวมาเป็นอาวุธงั้นเหรอ บังเอิญดีชะมัด แล้วก็ต้องยอมรับว่าฝีมือแล่ปลาของยัยเตี้ยนั้นรวดเร็วสวยงามราวกับมืออาชีพ หรือว่ายัยนี่จะเป็นลูกแม่ค้าขายปลากันนะ
จากนั้นปลาเกือบสามสิบตัวก็ถูกแล่จนหมดในเวลาไม่ถึงชั่วโมง แต่ผมก็ได้ปัญหาใหม่คือ จะเอาเนื้อกับหนังพวกนี้กลับไปยังไง
"เสร็จแล้ว ถ้าเอาไปขายน่าจะได้หลายแสนเลยนะเนี่ย"
"ก็น่าจะ แต่ผมไม่มีช่องทางขายหรอก น่าจะเก็บไว้กินเองมากกว่า"
"เอ๋ นายไม่ได้ลงทะเบียนกับราชการเหรอ"
ยัยเตี้ยทำท่าทางตกใจเหมือนเห็นตัวประหลาด แต่ผมว่ายัยนี่ที่ไปลงทะเบียนต่างหากที่แปลก หรือจะเป็นพวกไม่ตามข่าวสารจนไม่รู้ถึงผลเสียของการลงทะเบียน แต่ไม่ว่าจะอย่างไหนมันก็ไม่เกี่ยวกับผมละนะ
"ผมชอบอิสระมากกว่า แล้วเธอก็น่าจะรู้ไม่ใช่เหรอว่าถ้าลงทะเบียนแล้วจะเป็นยังไง อย่างที่เธอโดนบังคับให้เข้ามิติปิดกั้นนี่ไง"
"ก็นะ แต่ผลประโยชน์มันก็เยอะกว่าในความคิดฉันนะ ทั้งได้บ้าน ได้เงินเลี้ยงดู แถมได้ฝึกกับทหารอีก ดีกว่ามาเสี่ยงตายโดยไม่ได้อะไรเลย"
อืม ฟังดูมีเหตุผลจนผมชักจะลังเลซะแล้ว แต่ความสามารถของผมมันก็ไม่ควรให้ใครรู้อยู่ดี ดังนั้นไม่ว่าจะยังไง เรื่องลงทะเบียนผมก็ขอผ่าน
"เรื่องแบบนี้มันอยู่ที่คนละนะ แต่เอาเป็นว่าขอบใจที่แล่ให้ก็แล้วกัน"
ผมปิดการสนทนาเพื่อจะได้ออกจากมิตินี้ซะที แต่ยัยเตี้ยนี่ก็ยังวุ่นวายไม่เลิก
"เดี๋ยวสิ จะเย็นชาไปไหนละนายนี่ก็ ไหนๆก็เป็นผู้ถูกเลือกเหมือนกัน มาสนิทกันไว้ไม่ดีกว่าเหรอ"
"เธอนี่ได้ตามอ่านข่าวเกี่ยวผู้ถูกเลือกห้ารุ่นก่อนหน้าพวกเราบ้างไหมเนี่ย แล้วถ้าเกิดผมคิดร้ายขึ้นมาเธอจะเอาตัวรอดได้ยังไง"
"ก็เพราะคนที่พูดว่าตัวเองเป็นคนไม่ดีน่ะ ไม่มีทางเป็นจริงอย่างที่พูดหรอก แล้วฉันว่านายเองมากกว่าที่ยังเกรงฉันอยู่"
ยัยเตี้ยนี้ดูจะไม่โง่สมองกลวงอย่างที่คิด แต่ในเมื่อรู้แล้วยังดันทุรังอีกแบบนี้มันยิ่งน่าสงสัย
"แล้วรู้ตัวรึเปล่าว่า ที่พูดออกมาเมื่อกี้มันยิ่งทำให้เธอน่าสงสัยนะ"
"เพราะงั้นถึงจะให้ช่องทางติดต่อกับนาย แต่นายไม่ต้องให้ฉันก็ได้ แล้วถ้าอยากรู้จักกันก็ติดต่อมานะ"
ยัยเตี้ยหยิบสมาร์ทโฟนออกมาเปิดแอปพลิเคชันสำหรับสนทนาเพื่อแลกการติดต่อ แต่ถึงจะเปิดใช้งานได้มันก็ยังเชื่อมต่อไม่ได้อยู่ดี เพราะในมิติปิดกั้นสัญญาณสื่อสารและคลื่นวิทยุไม่สามารถเข้ามาได้
ดังนั้นถึงผมจะรับแลกการติดต่อ แต่ถ้าออกไปจากมิติปิดกั้นแล้วผมไม่กดตกลง มันก็ไม่มีทางเชื่อมต่อกันได้อยู่ดี ดังนั้นการที่ยัยเตี้ยทำแบบนี้ก็แสดงให้รู้ว่าไม่คิดจะบังคับให้ผมรับแลกการติดต่อกับเธอ
และเมื่อคิดได้ดังนั้นผมก็เอามือถือของผม ไปรับแลกช่องทางติดต่อไว้ตามที่ยัยเตี้ยต้องการ แต่เรื่องจะกดรับไหมนี่คงต้องขอเวลาคิดดูก่อน
"โอเค แล้วถ้ามีอะไรก็ติดต่อมาได้นะ ฉันชื่อ เมริสา เรียก เม ก็ได้"
"ผมวี"
"นายนี่ขี้ระแวงจังนะ แต่เอาเถอะ แค่ชื่อเล่นก็ยังดี แล้วเจอกันวี"
แล้วยัยเตี้ยที่บอกว่าตัวเองชื่อเมริสาก็ใช้คำสั่งออกจากมิติปิดกั้นไป เหลือเพียงผมกับกองเนื้อปลาหลายสิบกิโลกรัม กับหนังปลาสภาพดีอีกหลายสิบผืน แต่ผมก็ยังแปลกใจอยู่ดี ว่าแค่มีดทำครัวมันแล่ปลาจากป่าหิมพานต์ได้ด้วยงั้นเหรอ
สงสัยยัยเตี้ยนี่จะแอบซ่อนทักษะไว้แน่นอน แถมยังต้องเป็นทักษะที่ช่วยให้มีดทำครัวตัดผ่านเกล็ดและหนังของปลาจากป่าหิมพานต์ได้อีกด้วย เห็นที่แบบนี้ผมต้องไปนั่งศึกษาทักษะของระบบอย่างจริงจังซะแล้วสิ
"ว่าแต่ จะเอายังไงกับของพวกนี้ดีเนี่ย"
ตอนนี้เลเวลของผมเพิ่มขึ้นเป็นยี่สิบสามแล้ว ทำให้มีแต้มทักษะหนึ่งร้อยสิบหน่วย ที่ถึงจะไม่พอแลกทักษะฟื้นฟูขั้นสูง แต่ทักษะช่องเก็บของต่างมิติขั้นต้นนั้นสามารถแลกได้เลย
"จะทิ้งก็เสียดายแฮะ"
ด้วยนิสัยประหยัดและใช้ของอย่างรู้คุณค่า ทำให้ผมตัดสินใจแลกทักษะช่องเก็บของต่างมิติขั้นต้น แล้วพอเริ่มเก็บของเข้าทักษะ ผมก็ได้รู้ประโยชน์ที่คาดไม่ถึงของทักษะนี้
"เนื้อปลาเสือลายเมฆยี่สิบกว่ากิโลกรัมใช้แค่ช่องเดียว หมายความว่าของชนิดเดียวกันใส่รวมกันได้สินะ เป็นทักษะที่ดีกว่าที่คิดแฮะ"
และด้วยเหตุนี้ ผมก็ได้ของกลับไปเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่ชิ้นส่วนของปลาเสือลายเมฆ ที่ประกอบด้วยเนื้อ หนัง และกระดูก เช่นเดียวกับปลามีเขา ทำให้ใช้ช่องเก็บของไปเพียงหกช่อง ก็สามารถเก็บเนื้อปลาเกือบร้อยกิโลกรัมได้ทั้งหมด
แถมยังมีปลาควายอีกสองตัว ทำให้ช่องเก็บของเกือบเต็ม แต่ผมก็ยังสงสัยนิดหน่อยถึงชื่อปลาพวกนี้ เพราะหน้าตามันก็เหมือนปลาอยู่หรอก แล้วทำไมชื่อมันถึงเป็นปลาเสือ ปลาควายกันนะ
และด้วยความสงสัยผมจึงค้นหาข้อมูลสัตว์มายาจากระบบ แล้วทำให้รู้ว่าปลาพวกนี้ยังเป็นเด็ก ที่พอโตเต็มวัยแล้ว ปลาเสือลายเมฆจะวิวัฒนาการท่อนบนเป็นเสือแถมมีขาหน้าด้วย ส่วนปลาควายก็จะมีท่อนบนเป็นควาย
จะมีก็แต่ปลาชื่ออ่านยาก ที่มีเขาเท่านั้นที่มีหน้าตาเหมือนเดิม แต่ขนาดตัวนี้เรียกได้ว่ามหึมา เพราะตัวเต็มวัยมีขนาดใหญ่กว่าปลาวาฬสีน้ำเงินซะอีก จนผมชักจะสงสัยแล้วสิว่า ไอ้มิติปิดกั้นนี่มันกว้างขนาดไหน
"ไว้ช่วงบ่ายค่อยสำรวจเพิ่มละกัน ตอนนี้ออกไปกินข้าวเที่ยงก่อนดีกว่า ชักหิวแล้วด้วย"
ผมตรวจสอบสิ่งของที่นำติดตัวมาด้วยว่าอยู่ครบรึไม่ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าควรจะเก็บดาบหนอนชาเขียวไว้ในทักษะช่องเก็บของ ทำให้ช่องเก็บของต่างมิติเต็มพอดี ส่วนโล่หนังปลาเสือลายเมฆก็สะพายไว้ด้านหลัง และเมื่อแน่ใจว่าไม่ลืมอะไรแล้ว ผมก็ใช้คำสั่งออกจากมิติปิดกั้น
"หวนคืน"
-ทำการส่งผู้ถูกเลือกออกจากมิติปิดกั้น-
*****
(มุมมองบุคคลที่สาม)
"เมริสา ทำไมออกมาเร็วนัก"
ชายในชุดทหารร้องทักเด็กสาวที่ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ แต่เมื่อเด็กสาวยื่นตุ้มหูที่มีลักษณะเหมือนอมยิ้มให้ ชายคนดังกล่าวก็กลับมามีสีหน้าชื่นชมยินดี
"ดี ทำภารกิจสำเร็จแล้วก็ไปพักได้ อีกหนึ่งชั่วโมงเธอต้องกลับเข้าไปใหม่"
"ค่าๆ"
เมริสาตอบแบบขอไปที ก่อนจะเดินออกจากสถานที่เหมือนกับห้องทดลอง ที่มีแผ่นกระจกใส่รอบด้าน พร้อมกับกล้องวงจรปิดแบบสามร้อยหกสิบองศาที่เพดาน และสถานที่แห่งนี้ก็คือ สำนักงานสนับสนุนผู้ถูกเลือกของรัฐบาล
โดยสถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ภายในกองทัพ และแฝงตัวอยู่ในอาคารหลังหนึ่งในบรรดาอาคารมากมาย ซึ่งหากไม่มีผู้นำทางแล้วละก็ จะไม่สามารถหาสถานที่แห่งนี้พบได้อย่างแน่นอน
ซึ่งผู้ถูกเลือกที่ลงทะเบียนกับรัฐบาลจะถูกส่งตัวมายังสถานที่แห่งนี้ แล้วถูกตัดขาดจากครอบครัวและมิตรสหาย โดยแลกกับเงินสนับสนุนจำนวนมหาศาล พร้อมกับจัดหาที่อยู่อาศัยในพื้นที่ปลอดภัยให้อีกด้วย
และสิ่งเหล่านี้คือราคาที่รัฐบาลยอมจ่าย เพื่อแลกกับการเข้าควบคุมผู้ถูกเลือก ให้ปฏิบัติตามแผนการของภาครัฐ ซึ่งแน่นอนว่าผู้ได้ประโยชน์ตัวจริงจากสิ่งนี้ก็คือ ครอบครัวของผู้ถูกเลือกนั่นเอง
"เฮ้อ ทำวนเวียนอยู่แต่เข้ามิติปิดกั้นกับพักผ่อน ไม่มีอย่างอื่นให้ทำบ้างรึไงนะ"
เมริสาบ่นหลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วกำลังนั่งเล่นอินเทอร์เน็ต เพื่อรอเวลากลับเข้าไปฝึกฝนในมิติปิดกั้นอีกครั้ง ซึ่งระหว่างนั้นเธอก็เฝ้ามองการแจ้งเตือนถึงผู้ติดต่อใหม่ ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปแค่ไหนก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
"หมอนั่นขี้ระแวงชะมัด แต่เอาเถอะ ในยุคนี้มันก็คงไม่แปลก"
สาเหตุที่เมริสาอยากแลกช่องทางการติดต่อกับชายหนุ่มที่บอกแค่ชื่อเล่น เป็นเพราะความเหงาส่วนหนึ่ง อีกส่วนคืออยากได้สหายร่วมต่อสู้ เพราะรู้ดีว่าตัวเองไม่แข็งแกร่งพอจะผ่านบททดสอบของพระเจ้า
ซึ่งในความเป็นจริงยังมีผู้ถูกเลือกอีกหลายคนที่อยู่ในความดูแลของรัฐบาล แต่กว่าทุกคนจะได้เจอกันก็ต้องเป็นช่วงเวลาที่จะเข้ารับบททดสอบแล้ว ดังนั้นระหว่างฝึกฝนทุกคนจึงถูกแยกจากกันอย่างเด็ดขาด
ส่วนสาเหตุมาจากพวกรุ่นก่อนที่ก่อเรื่องไว้ ซึ่งเมริสาเองก็ไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นเรื่องอะไร แต่มันต้องเป็นเรื่องใหญ่และร้ายแรงพอจะทำให้รัฐบาลไม่กล้าเสี่ยงอีก แต่ส่วนตัวแล้วเมริสาไม่ค่อยจะสนใจเท่าไหร่ และอย่างหาความสุขใส่ตัวมากกว่า
"ชักหิวแฮะ สั่งอาหารจากโรงแรมมากินดีกว่า เอาเป็นอาหารจีนละกัน มื้อก่อนเป็นอาหารญี่ปุ่นนี่เนอะ"
และหนึ่งในสิ่งที่เมริสาชอบก็คือ การได้ทานอาหารระดับโรงแรมห้าดาวทุกครั้งที่ต้องการ ที่หากเป็นก่อนหน้านี้ การจะได้กินอาหารเหมือนคนกินนั้นช่างยากลำบาก และนี่เป็นหนึ่งในสาเหตุที่เมริสาเลือกที่จะมาอยู่ในความดูแลของรัฐบาล
"อีตาคนที่ชื่อวี ท่าทางจะมีตัง ถึงได้ไม่รับความช่วยเหลือจากรัฐบาล แต่ฉันที่มีโอกาสแบบนี้ ก็ขอหาความสุขใส่ตัวดีกว่า"
แล้วเมริสาก็ล้มตัวลงนอนบนที่นอนหนานุ่ม ที่ไม่ได้สัมผัสความรู้สึกเช่นนี้มาหลายปีแล้ว