บรรยากาศที่เป็นใจแสงแดดส่องสดใส มีลมพัดเย็นเป็นระยะๆช่างเหมาะสมในการเดินทางครั้งใหม่ยิ่งนัก ทั้งๆ ที่ควรจะเป็นแบบนั้น...
"นี่อีกไกลไหมกว่าจะถึงเมืองถัดไปน่ะ?" เซเลน่าถามขึ้นมาด้วยท่าทีที่เหนื่อยหอบจากการเดินมาเป็นเวลานานกว่า 3 ชั่วโมงแล้วโดยที่ไม่หยุด
"ถ้าให้เดินไม่หยุดอย่างต่อเนื่องก็น่าจะถึงที่โน่นในเวลาเย็น"
"อะไรนะ! เย็นเลยงั้นหรอ?" หลังจากที่ได้ยินแบบนั้นเซเลน่าก็เริ่มหมดกำลังใจทีจะเดินต่อ "อย่างน้อย...ตอนนี้ ขอพักสักเดี๋ยวจะได้ไหม?" เธอนั่งลงกับพื้นเหยียดขาออกด้วยท่าทีสบายๆ
"ข้าไม่แนะนำให้ท่านค้างแรมแถวนี้หรอกนะ เพราะว่าข้ารู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ ตั้งแต่ที่พวกเราเดินกันมา ข้าไม่ยักกะเห็นว่าจะมีรถม้าขนสินค้าผ่านไปเลย"
"นั่นสินะ! จริงอย่างที่นายพูดนั่นแหละ...ทั้งๆ ที่เมืองข้างหน้านี้มันแหล่งค้าขายชั้นยอดที่ใกล้เมืองหลวงแท้ๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็แทบไม่เห็นรถม้าวิ่งผ่านเลย ถ้าเป็นอย่างที่นายพูดจริง ก็คงต้องรีบ..."
เซเลน่าพยายามพยุงตัวเองลุกขึ้น แต่เหมือนว่าขาของเธอจะไม่เป็นใจเลยทำให้เธอนั้นล้มลงกระแทกก้นจ้ำเบ้า "ไม่ไหวๆ เหมือนว่าขาฉัน...จะไม่มีเรี่ยวแรงเหลือเลยนี่สิ!"
แมม่อนที่เห็นว่าทางเซเลน่านั้นไม่สามารถที่จะเดินต่อไปไหว จึงเข้าไปอุ้มเธอขึ้นมา ทางเซเลน่านั้นตกใจถึงกับร้องออกมาเสียงหลง
"ว๊าย!!! นี่นายจะทำอะไร?" เธอพยายามดิ้นขัดขืนอย่างสุดแรง แต่ก็ไม่สามารถที่จะขัดขืนได้
แมม่อนยกร่างของเซเลน่าขึ้นวางไว้บนไหลของตนเอง แล้วก้าวเดินต่อไปโดยที่ไม่พูดอะไร ดูเหมือนว่าการกระทำทั้งหมดของเขาจะเป้นการช่วยให้สามารถเดินทางต่อได้
"ขอบคุณนะ" เธอพูดขอบคุณด้วยสีหน้าที่เขินอาย
"นั่นเองก็เป็นหน้าที่ของข้า ไม่จำเป็นต้องขอบคุณแต่อย่างใด"
ใช้เวลาสักพักทั้งสองก็เดินกันมาจนถึงที่หน้าเมืองแพริออท เมืองที่ถูกล้อมด้วยกำแพงหินขนาดใหญ่ตั้งกั้นจากภายนอก ด้านหน้ามีทหารยามคอยรักษาความปลอดภัยและดูแลตรวจคนเข้าภายในเมืองอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อไม่ให้คนแปลกหน้าหรือว่าอาชญากรเข้าไปก่อความวุ่นวายภายในเมือง ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องเข้าแถวเพื่อตรวจสอบและซักประวัติ
ซึ่งทางของแมม่อนและเซเลน่าเองก็เข้าแถวเพื่อรับการตรวจสอบแต่โดยดี ในระหว่างนั้นเองที่ทางเซเลน่านั้นได้สังเกตเห็นว่าประชากรที่เข้าแถวนั้นมีน้อยกว่าปกติ และในตอนนั้นเธอก็ได้เห็นภาพใบประกาศหน้าของตัวเอง
"เร็วขนาดนี้เลยหรอเนี่ย!?"
"ไม่แปลกหรอกนะ! ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนหายตัวไปทั้งคน จะทำแบบนี้ก็ไม่แปลก แต่ดูเหมือนว่าจะมีรางวัลสำหรับคนที่หาตัวพบและนำไปส่งที่ราชวังด้วย น่าสนใจจริงๆ ถ้าข้าเป็นคนนำท่านไปส่งจะได้รางวัลไหมนะ?"
"เดี๋ยวเถอะ...!" เซเลน่าแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาจนทางแมม่อนพูดแก้ตัวกลับไปว่า
"ใจเย็นสิ! ข้าแค่ล้อเล่นน่ะ อีกอย่างข้าก็พูดไปแล้วนิว่าถ้าเกิดกลับไปอีกก็ไม่รู้ว่าจะหนีออกมาได้อีกหรือเปล่า ฉะนั้น...วางใจได้นายท่านของข้า"
ในขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่นั้นเอง ทางทหารที่กำลังเฝ้ายามอยู่ก็สังเกตเห็นว่าพวกเขาดูท่าทีที่มีพิรุธ
"เฮ้ยพวกแกสองคน!! ออกมาข้างนอกแถวเดี๋ยวนี้!!" แล้วก็ชี้หอกมาที่ทั้งสอง
ทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกดังนั้นพวกเขาทั้งสองก็ออกไปแต่โดยดี พร้อมกับยกมือขึ้นเหนือหัวเพื่อแสดงว่าตนเองไม่คิดจะต่อสู้ หรือว่าต่อต้าน
ทางแมมม่อนั้นก็ได้เอนตัวลงกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูของเซเลน่า พูดจาเหน็บแนมไปว่า...
"รู้สึกอย่างไรบ้าง? ทั้งที่เป็นองค์หญิงของประเทศนี้แท้ๆ แต่กลับมาโดนทหารของตัวเองเอาหอกชี้หน้า แบบนี้ต้องลงโทษ ตัดหัวเสียบประจานแล้ว"
"หนวกหูน่า!"
"พวกแกซุบซิบอะไรกัน? ฉันบอกให้ยืนอยู่เฉยๆ เข้าใจไหม!?" ทหารยามคนนั้นตะคอกใหลังจากที่เห็นทั้งสองพูดคุยซุบซิบกัน
ต่อมาก็มีทหารอีกคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับใบประกาศหาคนหายที่อยู่ในมือ
"มีอะไรกัน?"
"พอดีผมเห็นสองคนนี้ดูท่าทางมีพิรุธบางทีอาจจะเป็นพวกอาชญากรที่กำลังหลบหนีก็ได้ เลยเรียกพวกเขาออกมา..."
ทหารยามคนนั้นจ้องมองไปที่หน้าพวกของเซเลน่ากับแมม่อน พร้อมกับดูในใบประกาศที่หนาเป็นปึกเพื่อเปรียบเทียบ ใช้เวลาสักพักก็ไม่พบว่ามีประวัติทางอาชญากรรมแต่อย่างใด
"ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ที่ลูกน้องของผมปฏิบัติเสียมารยาทแบบนี้ ว่าแต่ท่านพี่ชายที่รูปร่างใหญ่โตคนนั้นเป็นใครกัน ทำไมถึงได้ปกปิดใบหน้าล่ะ? ข้าเองก็ไม่อยากจะเสี่ยงเหมือนกัน เป็นไปได้ได้โปรดถอดหน้ากากนั่นออกจะได้ไหม?"
"ต้องขอโทษด้วยจริงๆท่านหัวหน้าอัศวิน พอดีระหว่างที่ข้าเดินทางกับนายท่านของข้าเกิดเหตุสุดวิสัยโดนคำสาปที่ไม่สามารถถอดหน้ากากออกได้ ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหากถอดมันออกจะเกิดอะไร แต่ในจิตใต้สำนึกของข้าพูดในใจว่าไม่ควรถอดมันจะดีกว่า..."
ในขณะที่แมม่อนกำลังพูด เซเลน่านั้นก็ได้มองมาด้วยสายตาที่นิ่งเฉยไร้อารมณ์ สื่อเป็นนัยน์ทางสีหน้าว่า สิ่งที่เขาได้พูดออกไปนั้นมันมีตัวอักษรที่เขียนว่าโกหกและหลอกลวงลอยอยู่รอบๆตัว
"(ใครมันจะไปเชื่อเรื่องราวพรรณนั้นกันเล่า ถ้าจะหาข้อแก้ตัวก็หาอะไรที่มันดีๆหน่อยสิ แบบนี้เดี๋ยวความก็แตกหรอก)" เธอได้แต่คิดในใจ...
"อย่างนั้นเอง...หรอ? ท่านเองก็คงลำบากมากสินะ? พวกเราทำการตรวจสอบดูแล้วว่าพวกท่านไม่เป็นผู้ต้องสงสัยแต่อย่างใด เชิญพวกท่านทั้งสองเข้าเมืองได้"
"ห๊ะ!" ทางเซเลน่าได้ยินแบบนั้นถึงกับตกใจ ว่าจะคนเชื่อเรื่องแต่งที่แมม่อนด้นสดสร้างขึ้นมาจริงๆด้วย
ในขณะทั้งสองเดินผ่านเข้าประตูมาแล้ว เซเลน่าได้ถามกับทางแมม่อนไปด้วยท่าทีที่สงสัยเรื่องราวตะกี้นี้
"นี่นายทำอะไรลงอย่างนั้นหรอ?"
"ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยทั้งนั้น..."
ถึงแม้ว่าทางแมม่อนจะตอบมาอย่างนั้น ทางเซเลน่านั้นก็สัมผัสได้ว่าเขากำลังพูดโกหกอยู่ แต่ก็ไม่อยากจะซักไซ้มากเลยปล่อยมันไป...
"ช่างเถอะ! อย่างไงพวกเราก็ผ่านด่านตรวจมาจนได้ แต่ว่ามันก็แทบจะค่ำแล้วนี่สิ...ที่นายมาที่นี่ต้องการหาอะไรอย่างนั้นหรอ?"
"แผนที่น่ะ พวกเราต้องเดินทางอีกไกล ฉะนั้นแล้วแผนที่จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก"
"หาอะไรกินก่อนไม่ได้หรอ? ฉันหิวจนไส้กิ่วแทบจะไม่มีแรงเดินแล้วนี่"
"ทั้งที่แทบไม่ได้เดินเลยแท้ๆ นี่นะ... แต่ก็ช่วยไม่ได้ถ้าเป็นของกินรองท้องที่สามารถเดินไปกินไปจะช่วยได้มากเลย"
"ไชโย!"
พอแมม่อนอนุญาตแล้วเซเลน่าจึงวิ่งออกไปด้วยท่าทีที่ดีใจ เธอเดินไปตามร้านอาหารข้างทางต่างๆ นาๆ หลายร้านด้วยกัน จนอาหารนั้นเต็มมือเธอไปหมด ซึ่งทั้งหมดนั่นแมม่อนเป็นคนจ่าย...
"นายท่านของข้าจะกินข้าก็ไม่ว่าอะไรหรอก แต่ช่วยใช้เงินข้าอย่างระมัดระวังได้ไหม? ค่าเดินทางมันจะไม่พอเอานะ"
เซเลน่านั้นไม่ได้สนใจสิ่งที่แมม่อนพูดแต่อย่างเธอกินอาหารที่ซื้อมาอย่างเอร็ดอร่อย....
"อูดอ่าอะไออะ? (พูดว่าอะไรนะ?)"
"ช่วยกินให้หมดก่อนพูดจะได้ไหมนายของข้า มารยาทแบบผู้ดีหายไปไหนเสียล่ะ?"
"เอาหน่อยไหม?" เซเลน่ายื่นอาหารมาให้กับทางแมม่อนเป็นเนื้อเสียบไม้ย่างไฟ
"ไม่เป็นไรนายท่านพวกข้านั้นไม่จำเป็นต้องกินอาหาร" พอได้ยินแบบนั้นเธอจึงรีบดึงอาหารที่ยื่นให้เข้าปากตัวเองเกินอย่างเอร็ดอร่อย
"จะว่าไปแล้ว...ฉันแทบจะไม่เห็นเผ่าอื่นนอกจากมนุษย์กับบีสท์เลย เผ่าเอลฟ์ และดวอร์ฟ ไม่มีให้เห็นเลย ฉันล่ะอยากจะเห็นพวกนั้นตัวเป็นๆสักครั้งจังเลย..."
"นั่นเองอาจจะยากสักหน่อย เพราะเมื่อเทียบจำนวนทุกเผ่าบนโลกแล้ว มนุษย์นั้นมากที่สุด และอีกอย่างที่นี่เป็นเมืองของมนุษย์ บีสท์พอจะเห็นอยู่บ้างก็จริง ดวอร์ฟนั้นมักจะอยู่ในเมืองที่ใหญ่ๆ และมีอุตสาหกรรมเหมืองเยอะๆ แต่ถ้าเป็นเอลฟ์นี่อาจจะยากหน่อย เพราะพวกเขานั้นมันจะปลีกวิเวกอยู่ในที่ยากจะเข้าถึงเละลึกลับ บางทีในอนาคตนี้ ท่านอาจจะได้ห็นเอลฟ์ตัวเป็นๆ ในระหว่างเดินทางนี่ก็ได้..."
"ถ้าอย่างนั้นก็จะมาอยู่หยุดอยู่ที่นี่นานไม่ได้แล้วสิ รีบไปหาซื้อของที่จำเป็นแล้วออกเดินทางกันต่อเถอะ"
"น้อมรับบัญชา นายท่านของข้า..."
...และในที่สุดพวกเขาก็เดินกันมาจนถึงที่ร้านขายแผนที่แมม่อนเปิดประตูเข้าไปอย่างทันที เจ้าของร้านถึงกับตกใจกับรูปร่างอันมหึมาของแมม่อนจนถึงกับพูดอย่างตระกุกตะกักออกมา
"มะ...ไม่ทราบว่าต้องการให้พวกเราช่วยอะไรครับ?"
"ข้ามาเพื่อขอซื้อแผนที่สักอัน มีอยู่หรือเปล่า?"
"ระ...รับทราบแล้วครับ เดี๋ยวผมจะรีบไปนำ-"
ในขณะนั้นเองก็มีเสียงชายผมสีน้ำตาลผิวกายสีแทนเข้มพูดขึ้นมาจากด้านหลังของเคาน์เตอร์
"ต้องขอโทษด้วยจริงๆคุณลูกค้า แผนที่ทางร้านเราหมดแล้ว!"
"...หมดแล้วอย่างนั้นหรอ?" แมม่อนแสดงท่าทีเหมือนใม่เชื่อในสิ่งที่ชายผิวสีน้ำตาลนั้นพูด
"อับราฮัมลูกพูดอะไรน่ะ? แผนที่ยังมีอยู่..." ชายแก่เรียกชายอีกคนว่าอับราฮัมดูเหมือนว่าสองคนนั้นจะเป็นพ่อลูกกัน
"เมื่อกี้ผมไปดูมาแล้วน่ะ ดูเหมือนว่าหนูมันจะเข้ามาแทะจนขาดเป็นรูเบ้อเริ่มเลย"
"ในเมื่อแผนที่ไม่มีพวกเราก็คงต้องขอตัวไปซื้อที่ร้านอื่นแล้วล่ะ"
ในขณะที่แมม่อนกำลังก้าวขาออกไปนั้นทางอับราฮัมนั้นก็ได้พูดขึ้นมาว่า...
"ข้าเกรงว่าท่านคงจะหาไม่ได้หรอก เพราะว่าร้านเราเป็นร้านเดียวที่ขายแผนที่ในเมืองนี้"
"แล้วข้าต้องทำอย่างไรถึงจะมีแผนที่"
"ก็น่าจะใช้เวลาทำใหม่สักวันหรือสองวันนั่นแหละ ถ้าพวกท่านรอได้อะนะ แต่ว่าข้ามีข้อเสนอที่ดีกว่านั้น ถ้าหากว่าท่านอยากจะได้มันแบบฟรีๆ ในเวลาเพียงแค่ 1 วัน เพียงแค่รับคำขอของข้าในการกำจัดสัตว์อสูร ณ หมู่บ้านทางใต้"
แมม่อนครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่ทางเซเลน่านั้นจะเข้ามาขัดระหว่างแมม่อนกับอับราฮัมว่า...
"สัตว์อสูรอย่างนั้นหรอ? คงจะเป็นพวกก็อปลิน หรือไม่ก็พวกออร์คละมั้ง เพราะเขตแถวที่ชาวบ้านอยู่อาศัยก็มักจะเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยๆอยู่เหมือนกัน แต่ว่าทำไมถึงไม่ปล่อยให้ทางอัศวินจัดการล่ะ"
"ถ้าเรื่องนั้นฉันเองก็เข้าไปพูดแล้วเหมือนกัน แต่เหมือนว่าทางนั้นจะยุ่งๆ กับการตามหาองค์หญิงที่หายไปอยู่น่ะ พวกท่านเองก็น่าจะสังเกตเห็นจากใบประกาศได้นิ?"
"ยะ...อย่างนี้นี่เอง" เซเลน่าพยายามหลบสายตาหลังจากที่อับราฮัมพูดเรื่องเกี่ยวกับตน เลยหันไปทางแมม่อนที่กำลังครุ่นคิดอยู่
"นี่ๆเรารับงานนี้เถอะนะ ได้แผนที่ฟรีประหยัดเงินตั้งเยอะ นายเองก็เป็นคนบอกด้วยนิว่าการเดินทางยังอีกไกลน่ะ"
"...ก็ได้! แต่ว่านะข้ามีสิ่งที่ต้องการอย่างอื่นเพิ่มนอกจากแผนที่"
"ว่าแต่...ท่านอยากจะได้อะไรเพิ่มอย่างนั้นหรอ?" อับราฮัมถามกลับมา...
"สมุดบันทึก...สำหรับนายของข้า พอจะทำได้ไหม?"
"อะไรกัน! ถ้าเรื่องนั้นไม่มีปัญหาแต่อย่างใด"
"ในเมื่อทางนั้นพูดว่าได้...ข้าเองขอรับงานนี้"
"ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ตอนเช้าเจอกันที่หน้าประตู ข้าจะรออยู่ที่รถม้า" อับราฮัมที่ได้ยินดังนั้นก็เผลอยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ
"เข้าใจแล้ว!" พอพูดจบทางแมม่อนและเซเลน่าก็เดินออกจากร้านไป
พ่อของอับราฉัมได้เข้ามาคุยอย่างทันทีหลังจากที่เห็นทั้งสองเดินออกจาร้านแล้ว
"นี่ลูกแน่ใจแล้วหรอ? ว่าจะทำอย่างนี้จริงๆ บางทีพวกเขาอาจจะตายได้เลยนะ" พ่อเขาพูดมาด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด
"...ถ้าไม่ทำอย่างนี้ก็ไม่มีวิธีอื่นแล้วครับ อีกอย่างในใจผมรู้สึกว่าชายคนนั้นเขาไม่ใช่คนธรรมดา น่าจะพอใช้ประโยชน์จากเขาได้"
ณ ทางด้านของแมม่อนและเซเลน่าที่กำลังเดินอยู่ภายในเมืองเวลาใกล้พลบค่ำ
"ขอบใจนะ" เซเลน่าพูดขอบคุณเรื่องที่ช่วยเรื่องสมุดบันทึก
"ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ถ้าสมุดบันทึกสำหรับเขาแล้วน่าจะเป็นเรื่องกล้วยๆ แล้วอีกอย่างที่ข้าทำทั้งหมดนี่มันก็เป็นหน้าที่ในฐานะข้ารับใช้ของท่าน"
"แล้วทีนี้พวกเราจะเอายังไงต่อ?"
"ข้าว่าจะหาโรงเตี๊ยมพักอยู่ที่นี่สักหนึ่งคืน พรุ่งนี้ทันทีที่ได้แผนที่พวกเราจะเดินทางกันต่อ"
....
ทั้งสองเดินมากันได้สักพักก็มาหยุดอยู่ที่หน้าโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ซึ่งภายดูจากภายนอกแล้วไม่ได้หรูหราอะไรมากนักเป็นแค่โรงเตี๊ยมธรรมดาๆ แมม่อนเดินเปิดประตูเข้าไปอย่างทันทีแล้วเข้าไปสอบถามกับทางพนักงานชายวัยกลางคนท่านหนึ่งที่ดูแล้วน่าจะเป็นเจ้าของ
"ไม่ทราบว่ามีห้องว่างไหมเถ้าแก่?"
ทันทีที่เจ้าของโรงเตี๊ยมหันมาเห็นต้นตอของเสียงก็ถึงกับตกใจกับร่างกายที่ใหญ่โตของแมม่อน เขาพูดตอบกลับอย่างตระกุกตระกัก
"มะ...มีอยู่แล้วครับ ไม่ทราบว่าต้องการจะพักกี่คืน"
"หนึ่งห้องสำหรับสองคน ราคาเท่าไหร่?"
"สะ...สองเหรียญเงินครับ"
ชายเจ้าของโรงเตี๊ยมยื่นมือมารับเงินด้วยอาการที่ยังสั่นกลัว ในวินาทีนั้นมือของเขาก็ถูกคว้าอย่างรวดเร็วโดยแมม่อนและยื่นหน้ามาใกล้ๆเขา ก่อนกระซิบมาว่า...
"...เก็บสัตว์เลี้ยงของเจ้าให้ดี ถ้าเกิดนางคนนี้เห็นเข้า ฉันจะฉีกพวกแกทั้งสองเป็นชิ้นๆแน่!"
"ขะ เข้าใจแล้วครับ! นะ...นี่คือกุญแจสำหรับห้องของท่านทั้งสอง เป็นห้องที่ดูชั้นด้านบนชั้นในสุด ขะ...ขอให้พักผ่อนให้สบาย"
แมม่อนรับกุญแจมาและกำลังจะเดินขึ้นไปชั้นบน ในขณะนั้นเองที่จู่ๆเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นมาพร้อมกับชายใส่ชุดคลุมสีดำสามคนเดินเข้ามาข้างใน
"ยะ ยินดี ตะ ต้อนรับ คะ ครับ"
ทันใดนั้นบรรยากาศก็เย็นลงอย่างเห็นได้ชัด กลิ่นคาวราวกับสัตว์ป่าโชยออกมาจากคนเหล่านั้น ทำเอาเจ้าของโรงเตี๊ยมนั้นขาสั่นแทบจะยืนไม่อยู่ ใบหน้าบ่งบอกถึงความกลัวอย่างเห็นได้ชัด เหงื่อตกออกมาเป็นเม็ดๆจนท่วมทั้งใบหน้า แต่ดูเหมือนอาการนั้นจะไม่ใช่แค่เขาคนเดียว ทางเซเลน่านั้นก็มีอาการแบบเดียวกัน ขาสั่นพับๆจนแทบจะยืนไม่อยู่ มีอาการผวาออกมาเช่นเดียวกัน ทางแมม่อนนั้นเห็นท่าไม่ดีเลยเอาตัวเข้าบังเธอพร้อมกับค่อยๆพยุงขึ้นบันไดไปอย่างช้าๆ
"มะ...มะ...ไม่...ทราบวะ...ว่ามีอะไรให้ช่วยไหมครับ?" เจ้าของโรงเตี๊ยมถามด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดี
หนึ่งในกลุ่มชายเดินเข้ามาหยุดที่เคาน์เตอร์ก่อนจะพูดขึ้นว่า... "พอดีพวกเรา อยากจะถามอะไรสักหน่อย พอจะตอบพวกเราได้ไหมครับ?"
เจ้าของโรงเตี๊ยมรีบพยักหน้าตกลงอย่างรวดเร็ว ด้วยใบหน้าที่ตื่นตระหนกเหงื่อไหลเต็มใบหน้า
"คะ ครับ!!!"
"ช่วงนี้มีอะไรที่มันผิดปกติไหมครับ? อย่างเช่นพวกคนที่จู่ๆก็หายตัวไปอะไรอย่างนี้"
เจ้าของโรงเตี๊ยมรีบส่ายหน้าปฏิเสธว่าเขาไม่รู้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น "ไม่รู้ครับ ไม่ทราบเลยว่าแถวนี้เรื่องแบบนั้นด้วย ไม่รู้ๆ"
....
....
"อย่างนั้นหรอครับ ขอบคุณที่ให้ความช่วยเหลือนี่เป็นค่าตอบแทนครับ" ชายคนนั้นยื่นเงินเหรียญทองมาให้กับเจ้าของโรงเตี๊ยมเพื่อเป็นการขอบคุณที่ช่วยเหลือเขา และกำลังจะเดินออกจากโรงเตี๊ยมไป จังหวะนั้นเองที่ชายคนนั้นสังเกตเห็นแมม่อนกับเซเลน่าที่กำลังขึ้นบันไดเลยเดินเข้าไปทักเช่นเดียวกัน
"กระผมขอรบกวนเวลาพี่ชายร่างบึกบึนสักเดี๋ยวจะได้ไหมครับ?"
"ต้องขอโทษด้วยจริงๆ พอดีพวกข้าก็เป็นเพียงแค่นักเดินทางที่บังเอิญผ่านมาเท่านั้น ไม่รู้เรื่องที่ท่านอยากรู้หรอก" ซึ่งในวินาทีที่เขาหันกลับมาตอบนั้นเหมือนว่าทางกลุ่มชายจะมีอาการตกใจขึ้นมาเล็กน้อย
"ยะ...อย่างนั้นหรอครับ ถ้าไม่เป็นการเสียมารยาทไม่ทราบว่าใบหน้าของท่านเป็นอะไรทำไมถึงได้ปกปิดด้วยละครับ"
"เรื่องมันค่อนข้างยาว ถ้าจะให้พูดสั้นก็คือคำสาปน่ะ"
"ลำบากเอาเรื่องเลยนะครับ" ในตอนนั้นเองที่เขาได้สังเกตเห็นว่าเซเลน่าที่อยู่ข้างหน้ามีอาการสั่นกลัว เลยถามไปว่า... "ไม่ทราบว่าท่านหญิงคนนั้นเป็นอะไรหรือเปล่าครับดูอาการไม่ค่อยดีเลย"
"เธอก็แค่เหนื่อยจากการเดินทางก็เท่านั้นไม่ได้มีอะไรมากมายหรอก พวกเรากำลังจะไปพักแล้วน่ะ...ขอตัวก่อน"
"ต้องขอโทษที่รั้งท่านเอาไว้" ชายคนนั้นก้มหัวขอโทษทางแมม่อนก่อนที่จะเดินออกจากโรงเตี๊ยมไป...
หลังจากที่ทางแมม่อนพยุงเซเลน่ามาถึงยังห้องพัก จนอาการของเธอค่อยดีขึ้นเป็นไปตามลำดับ เหมือนว่าถ้ายิ่งห่างจากกลุ่มคนนั้นจะยิ่งทำให้อาการดีขึ้นจนแทบเกือบกลับมาปกติ
เซเลน่าพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่สะอิดสะเอียนเหมือนกับคนที่กำลังจะอ้วกได้ทุกเมื่อ
"บรรยากาศแบบนั้น ความรู้สึกนี้ เมื่อตะกี้นี้มันคืออะไร แล้วกลุ่มคนเมื่อตะกี้นี้เป็นใครกัน?"
"นั่นสินะ...! พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่คอยทำให้เส้นกั้นระหว่างสองสิ่ง เพื่อไม่ให้ก้าวข้ามผ่านหากัน เรียกว่า "สเลเยอร์"
"สเลเยอร์?" เหมือนว่าทางเซเลน่านั้นยังหายใจไม่ทั่วท้องยังมีอาการคลื่นไส้หลงเหลืออยู่
"พวกเขาเป็นหน่วยองค์กรที่ขึ้นตรงกับทางศาสนจักร คอยกำจัดเหล่าปีศาจที่แฝงกายอยู่ในเหล่ามนุษย์ พวกเขาทุกคนจะสัญลักษณ์สามขีดสีดำขึ้นอยู่บนฝ่ามือเพื่อเป็นการบ่งบอกว่าตัวเองนั้นผ่านการทดสอบ นอกจากนั้นขีดสามขีดยังหมายถึง การเสียสะ การสูญเสีย และก็การล้างแค้นอีกด้วย และทุกคนที่มีฝีมือระดับหนึ่งจะได้รับมอบอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างขึ้นจากเศษเสี้ยวที่แตกหักของหอกลองกินุส ซึ่งอาวุธนั้นเองที่จะสามารถทำให้ฆ่าปีศาจได้ สิ่งนั้นสำหรับข้าแล้วมันค่อนข้างอันตรายถ้าหากโดนแทงเข้าที่หัวใจเต็มๆก็คงไม่รอด เป็นไปได้ก็ไม่อยากจะไปมีเรื่องกับพวกนั้นหรอก"
เซเลน่ายังถามต่ออีกว่า... "ว่าแต่ทำไมพวกเขาถึงต้องทำอย่างนั้นด้วยล่ะ? เท่าที่ฉันอยู่กับนายมาก็ไม่เห็นจะเป็นอันตรายตรงไหนเลย"
"ทุกเผ่านั้นก็ล้วนมีทั้งคนดีและคนชั่วปะปนกันไป แน่นอนพวกเราเผ่าปีศาจก็เช่นกัน"
"แล้วอาการที่เกิดกับฉันและเจ้าของโรงเตี๊ยมเมื่อตะกี้นี้ล่ะมันคืออะไร?"
"ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อตะกี้นี้มันคืออะไร แต่ถ้าจะให้เดาก็คงจะเป็นพลังอำนาจของอาวุธที่เขาถือละมั้ง?"
"ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆแล้วทางนายไม่เห็นเป็นอะไรเลยล่ะ? ทั้งที่เป็นปีศาจแท้ๆ"
"ข้าเองก็ไม่ใช่เผ่าปีศาจชั้นต่ำ แรงกดดันแค่นั้นทำอะไรข้าไม่ได้หรอก" เหมือนว่าทางแมม่อนจะภูมิใจเป็นอย่างมากขนาดที่ปกปิดใบหน้าเอาไว้เซเลน่ายังรับรู้ได้
"นี่ฉันได้ทำอะไรผิดไปหรือเปล่านะ?" ตัวเธอเองก็ดูเหมือนว่าตัวเองรู้สึกผิดขึ้นมาเพราะได้เผลอไปปลดปล่อยตัวอะไรที่อันตรายออกมาเสียแล้ว
"เอาล่ะ! ได้เวลาพักผ่อนแล้วนายท่านของข้า พรุ่งนี้พวกเราจะต้องไปทำตามคำขอที่ชายหนุ่มคนนั้นได้ขอร้องเอาไว้"
"นั่นสินะ!" แล้วเธอก็เอนตัวลงนอนและหลับลงไปอย่างรวดเร็วเพียงไม่กี่วินาที
....วันนี้ทั้งวันเองก็เหนื่อยจากการเดินทางและไหนจะอีกทั้งเรื่องราวต่างๆมากมายที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันแบบที่ไม่ทันตั้งตัว เรื่องเผ่าปีศาจเอย เรื่องของสเลเยอร์อีก และเรื่องที่จะต้องทำในพรุ่งนี้ คิดถูกจริงๆแล้วสินะที่ตัดสินใจออกเดินทางมา ถึงแม้ว่าจะลำบากไปบ้างก็เถอะ...
...
ณ เวลาเที่ยงคืน เซเลน่าตื่นขึ้นมาเพราะว่าเธอยังไม่ชินกับการนอนในสถานที่ต่างถิ่นมากนัก เธอพยายามมองไปรอบๆห้องก็เห็นแมม่อนนอนอยู่อีกเตียงถัดข้างๆกัน ในสภาพที่ใส่หน้ากากอยู่
"ขนาดนอนอยู่ยังจะใส่หน้ากากอยู่อีกหรอ?"
ในตอนนั้นใจเธอคิดอยากจะแกล้งแมม่อนเสียหน่อย เลยย่องเบาๆเข้าไปใกล้เตียงที่เขานอนเอื้อมมือออกไปอย่างช้าๆจับไปที่หน้ากากและค่อยๆขยับมันออกทีละนิด...ทีละนิด...
"ข้าขอเตือนอะไรไว้หน่อย!"
เสียงแมม่อนดังขึ้นมาอย่างกะทันหันจนทำเอาทางเซเลน่านั้นตกใจร้องเสียงหลงปล่อยมือออกจากหน้ากาก
"ถ้าหากท่านยังอยากที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อเชยชมโลกใบนี้ต่อละก็...อย่าได้เปิดหน้ากากข้าเด็ดขาด!"