มื้อกลางวันผ่านพ้นไปด้วยดีตามที่ผมได้คาดการณ์ไว้ หลังจากกินข้าวเสร็จก็นั่งพักท้องกันครึ่งชั่วโมงจากนั้นพนักงานได้เอาเสื้อผ้ามาให้พวกผมผลัดเปลี่ยน
ควินซ์ดูอารมณ์ดีและท่าทางปกติมากซึ่งผมก็ควรจะดีใจแต่ลึกๆ กลับหงุดหงิดใจขึ้นมา
นี่ควินซ์ไม่ได้ใส่ใจกับคำว่าชอบของผมเลยเหรอวะ
น้อยใจแล้วนะ
"เดี๋ยวถ้านวดเสร็จแล้วมึงจะไปไหนต่อ" ผมถามในขณะเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ทางสปาเตรียมมาให้
ควินซ์ที่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าข้างๆ ผม "ว่าจะไปซื้อของสดแล้วก็กลับบ้าน"
"มึงจะทำอาหารกินเอง?" ตาของผมเป็นประกายเล็กน้อย
"อืม" ควินซ์พยักหน้าแล้วเหล่มองผม "มึงก็อย่าลืมกลับไปจัดกระเป๋า คืนนี้ไฟล์ทบินตีสองนะ"
อา จริงด้วย ยังไม่ได้จัดเลยแฮะ
"งั้นเอางี้" สมองของผมคิดแผนการอย่างรวดเร็ว "เดี๋ยวกูพามึงไปซื้อของสดแล้วกลับบ้านมึงก่อน มึงจัดกระเป๋าเสร็จก็ไปบ้านกูต่อ รอกูเก็บกระเป๋าแล้วเราค่อยไปสนามบิน"
"ทำไมต้องทำอะไรยุ่งยาก" ควินซ์ถามอย่างงงๆ "แยกกันกลับแล้วเจอที่สนามบินดีกว่ามั้ย"
กูจะอยู่กับมึง เก็ทมั้ยฮะ!
"อีกอย่างกูเอารถมา"
ผมยังไม่ยอมแพ้ "ก็นี่ไง กลับไปบ้านมึงก่อนแล้วมึงก็ทิ้งรถไว้บ้าน จะได้ไม่ต้องเอารถจอดไว้สนามบิน ยังไงบ้านกูก็มีคนขับรถอยู่แล้ว"
"แต่กูเก็บเสื้อผ้าช้า มึงก็รู้" อีกฝ่ายว่าพลางผูกเชือกกางเกง "รอกูเดี๋ยวก็ตกเครื่องพอดี"
"กูให้พ่อบ้านเก็บให้ก็ได้" ผมกัดฟันกรอด
"แต่"
"กูอยากกินข้าวฝีมือมึง จบ!" ใบหูของผมร้อนฉ่าเลยหลังจากพูดโพล่งออกไปตามที่ใจคิด คนอุตส่าห์อ้อมโลกไม่อยากพูดตรงๆ ก็ดันทำให้ต้องพูดอีก
ผมก็หน้าบางอยู่นะ เขินเป็นอายเป็น
บ้าเอ๊ยยย
ควินซ์ทำตาโตก่อนจะหัวเราะเบาๆ แล้วยิ้มมีเลศนัยใส่ผม "แหม พูดอ้อมโลกตั้งนานที่แท้อยากกินข้าวฝีมือกู?"
"เออ!" ผมกระแทกเสียงใส่หน้าตึงแต่ใบหูยังคงแดงก่ำ "แล้วทำไมกูจะกินไม่ได้ ปกติมึงก็ทำอาหารให้กูบ่อยจะตาย"
อีกฝ่ายยักไหล่ "ก็ไม่ได้ว่าอะไร อยากกินก็แค่บอกตรงๆ อ้อมทำไม"
ควินซ์ก้มหน้าสำรวจตัวเองว่าใส่ชุดเรียบร้อยดีรึยังก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องเพื่อไปยังห้องสปาเพื่อนวดแผนไทย ผมยังคงแต่งตัวไม่เสร็จกำลังผูกเชือกกางเกงอยู่ก็ไม่ได้รีบร้อนตามไปแต่...
"อันที่จริง...อยากกินข้าวฝีมือมึงก็สักสี่สิบเปอร์เซ็นต์"
"..."
"อีกหกสิบเปอร์เซ็นต์คือกูอยากอยู่กับมึง"
เมื่อควินซ์อยากให้ผมพูดตรงๆ
ก็จัดให้สิครับ!
แบบนี้ควินซ์ต้องเขินผมแน่ๆ หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์!
ควินซ์ชะงักเท้าแล้วหันหน้ากลับมาและพยักหน้านิ่งๆ
"แต่กูอยากกลับบ้านคนเดียวหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์"
"..." ผม
"ล้อเล่นนะ เพื่อน"
อยากกลับคนเดียวก็เจ็บแล้ว
คำว่าเพื่อนนั้นสาหัสกว่าอีก
ผมขอร้องไห้สักสิบนาทีได้มั้ย
----------
[ควินซ์]
บอกเลยว่าตอนนี้
ผมกำลังอารมณ์ดีสุดๆ ไปเลย
ทำไมเหรอ... ก็... นั่นไง
"อ๊ากกกก เจ็บๆๆ เบา โอ๊ยยยย"
"พอแล้วๆๆ เจ็บ ควินซ์!"
เสียงโวยวายสลับร้องเจ็บของนับหนึ่งทำเอาผมยิ้มเบิกบานมากขึ้น ตอนนี้ตัวผมกำลังนอนคว่ำหลับตาพริ้มผ่อนคลายด่ำดื่มไปกับแรงนวดบริเวณหลัง
นั่งทำงานหลังขดหลังแข็งมานาน
ตอนนี้หลังของผมได้รับการเยียวยาสักที
"ควินซ์เว้ยยย"
"อะไรกัน นวดแค่นี้ร้องอย่างกับถูกเชือด" ผมลืมตาข้างหนึ่งแล้วมองไปทางนับหนึ่งเห็นใบหน้าหล่อเหลาซีดเซียวชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อแล้วยิ่งหลุดยิ้ม "อ่อนว่ะ"
"มึงว่าใครอ่อน!" ท่าทางจะเป็นจะตายหายไปแทบจะทันที "มึงพูดอีกที!"
"มึงมันอ่อน" อยากให้พูดก็พูดซ้ำให้แล้วส่งยิ้มกวนตีนไป "เขานวดให้เบาขนาดนั้นแล้วยังจะเจ็บอีกเหรอ อดทนน่ะเป็นมั้ย ร้องเป็นผู้หญิงไปได้"
"ไอ้ควินซ์!" นับหนึ่งเรียกชื่อผมเสียงดังลั่นอย่างโมโหแต่ยังพยายามอดทนอดกลั้น "กูไม่ได้อ่อน!"
"อ้อเหรอ" เลิกสนใจแล้วหลับตาทิ้งตัวไปกับการนวดแผนไทย
"ถ้ากูไม่ร้องสักแอะ มึงต้องทำหลนเต้าเจี้ยวให้กูกิน!" เสียงทุ้มต่ำว่าอย่างฉุนเฉียว
ผมลืมตาขึ้นแล้วมองหน้าแดงก่ำของคนตัวโตเล็กน้อยก่อนจะกลอกตาไปมาอย่างครุ่นคิด "ได้ ถ้ามึงร้องแหกปากอีก เย็นนี้มึงทำอาหารเองแล้วกัน"
แบบนี้สิถึงจะแฟร์ขึ้นมาหน่อย อันที่จริงแล้วนับหนึ่งก็ทำอาหารเป็นแต่อาหารง่ายๆ ส่วนพวกอาหารที่ใช้เครื่องแกง วัตถุดิบเยอะๆ วิธีการซับซ้อนจะทำไม่เป็น
ผมเองก็จำไม่ได้แล้วเหมือนกันว่ารสชาติฝีมือการทำอาหารของนับหนึ่งเป็นยังไง เพราะไอ้คนคลั่งน้องมันดันทำแต่อาหารให้น้องกิน เพื่อนฝูงเหรอ อย่าหวัง พี่ชายเหรอ ฝันไปก่อน
แค่มันรินน้ำให้ผมแก้วน้ำด้วยตัวเองไม่ใช้พ่อบ้านก็ซาบซึ้งจนน้ำตาไหลแล้ว
นับหนึ่งได้ยินแบบนั้นก็เหวอไปนิดแล้วก็หน้าบึ้ง พอหน้าบึ้งเสร็จก็ตาโตและพยักหน้ายอมรับอย่างรวดเร็วจนผมงงกับร้อยแปดอารมณ์ในสามนาทีของมันจริงๆ
เอาเถอะ ยังไงไอ้หนึ่งมันก็สติไม่ค่อยจะมีอยู่แล้ว
"ได้! มึงรอเตรียมทำมื้อใหญ่ให้กูเลย!" มั่นหน้าจริงๆ
"ถ้ามึงไม่ร้องอะนะ"
ความจริงผมแอบเงี่ยหูรอฟังนับหนึ่งหลุดร้องเจ็บอยู่นะ แต่ผ่านไปเกือบสิบนาทีแล้วยังไม่ได้ยินเสียงร้องจึงแอบผิดหวังหน่อยๆ เมื่อลืมตาชำเลืองมองแล้วก็เห็นบอสหนุ่มของเรากำลังฟุบหน้ามือจิกกัดเตียงเป็นพักๆ
หลุดส่ายหัวขำๆ แล้วปิดเปลือกตาอีกครั้ง เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วไม่นานก็มาถึงช่วงสุดท้ายของการนวด ตอนนี้เราเปลี่ยนมาเป็นนั่งขัดสมาธิแล้วหมอนวดกำลังนวดคอบ่าไหล่อยู่
ตั้งแต่ที่ท้าพนันกันจนถึงตอนนี้ ไอ้หนึ่งมันยังไม่ร้องสักแอะ ดูท่าวันนี้ผมคงต้องทำมื้อเย็นให้มันแล้วแหละ เอาเถอะ ก็ไม่ได้ลำบากอะไรมาก
ในขณะที่ผมกำลลังคิดเมนูอาหารอยู่เพลินๆ...
กร๊อบบ
"โอ๊ยย!" เสียงกระดูกลั่นพอกับเสียงร้องโหยหวนทำเอาผมสะดุ้งหลุดจากห้วงภวังค์ความคิดเมื่อหันไปทางต้นเสียงก็เห็นนับหนึ่งกำลังโดนจับบิดคอหมุนคออยู่ "เจ็บๆๆ!"
อือหือ ดูท่าคอจะตึงจะแข็งสุดๆ เลยนะนั่น
อีกสิบนาทีต่อมาการนวดแผนไทยวันนี้ก็จบลงด้วยความสบายตัวหายปวดเมื่อยเป็นปลิดทิ้งเลย ในขณะที่ผมกระปรี้กระเปร่าขึ้นแต่อีกคนดูจะหมดสภาพเลย
"เป็นไง สบายตัวขึ้นมั้ย" ผมขยับนั่งหันไปทางนับหนึ่งแล้วถามยิ้มๆ
"กูระบมทั้งตัวแล้ว ฮือ จะไม่นวดอีกแล้ว!" หมดกันภาพลักษณ์ท่านประธานสุดเข้มงวด ตอนนี้เหลือแต่ชายหนุ่มตัวโตกำลังคร่ำครวญนอนหงายเหงื่อแตกทั้งตัว
"นวดครั้งแรกก็งี้แหละ สักพักก็ชิน" แรกๆ ผมก็แบบนี้แหละ โอดโอยร้องลั่น
"กูจะไม่นวดแล้ว!" นับหนึ่งยืนยันเสียงแข็งแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งอย่างทุลักทุเล "มึงทนนวดไปได้ไงวะ"
"กูเก่ง"
"..." นับหนึ่ง
ผมยิ้มให้แล้วลุกเดินไปหยิบน้ำชาที่ทางสปาเตรียมไว้ให้มาดื่มและส่งอีกแก้วให้กับนับหนึ่ง มันรับไปแล้วเป่าสองสามทีก็ดื่มหมดแก้ว
"มึงแพ้นะ อย่าลืม" ผมไม่ลืมที่จะเตือน "ทำอาหารกินเอง ห้ามงอแง"
"รู้แล้ว!" นับหนึ่งถลึงตาใส่ผมอย่างเอาเรื่อง "มึงว่าใครงอแง กูเคยงอแงที่ไหน!"
"สาบานว่าไม่เคยงอแง?"
"..." นัยน์ตาคมกริบลอกแลกเล็กน้อย "สาบงสาบานอะไร ไปเปลี่ยนชุดดีกว่า"
ร่างสูงลุกพรวดหนีออกจากห้องไปด้วยใบหน้างอๆ ผมอมยิ้มแล้วดื่มน้ำชาให้หมดก่อนแล้วถึงจะเดินตามออกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าบ้าง หลังจากจัดการอะไรๆ เสร็จแล้วพวกเราก็ออกจากโรงแรมดัง
"จะไปซื้อของที่ไหน" นับหนึ่งเอ่ยถามในตอนที่เดินไปยังลานจอดรถ
"ขับตามมา" ไม่รู้จะอธิบายยังไงเลยบอกไปแบบนั้น
นับหนึ่งพยักหน้ารับรู้แล้วทำตามผมอย่างว่าง่าย พวกเรามาถึงห้างซุปเปอร์มาร์เก็ตตอนห้าโมงกว่าๆ นับหนึ่งมองซ้ายมองขวาเหมือนเด็กไม่เคยมาเดินห้างเล็กๆ ด้วยความสนใจ แน่สิ มันไปเดินแต่เซ็นทรัล ไอคอนสยามตลอด
"รออยู่ตรงนี้นะ" กำชับก่อน "กูไปเอารถเข็นแป๊บ"
"มึงเห็นกูเป็นเด็กรึไง"
"ก็เหมือนอยู่" ตบไหล่ปุๆ "อย่าซนล่ะ"
หัวเราะและยักคิ้วให้ก่อนจะหมุนตัวไปเอารถเข็นอีกด้านหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล ผมมาที่นี่บ่อยเลยรู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหนแล้วที่ให้นับหนึ่งรอตรงนั้นเพราะมันจะได้ไม่ต้องเดินเยอะเดินอ้อม เพิ่งนวดมาดูสะบักสะบอมเลยไม่อยากให้มันเดินมาก
อันที่จริงพูดแล้วว่าให้มันกลับบ้านไปพักผ่อนก่อนก็ไม่ยอม จะตามผมมาบ้านให้ได้ พอจะไม่ให้มาก็ขู่จะตัดเงินเดือน
ผมล่ะอยากจะบ้าตาย
หลังจากเอารถเข็นมาแล้วจึงเดินกลับไปหานับหนึ่ง ตอนกลับมาก็ขมวดคิ้วนิดหน่อยเมื่อเห็นนับหนึ่งกำลังยืนคุยกับสาวสวยคนหนึ่งอยู่ ผมจ้องนิ่งๆ ยืนมองเงียบๆไม่ได้เข้าไปรบกวนจนนับหนึ่งหันมาเห็นผมก็รีบเดินมาหา
"ไปซื้อของกัน" อ้าว มันไม่คิดจะลาสาวสวยคนนั้นหน่อยเหรอ "ไปเร็ว"
นับหนึ่งคว้ารถเข็นไปเข็นเองด้วยมือข้างเดียวแล้วอีกมือก็จับมือผมไว้ เดินมาได้สักพักก็เพิ่งรู้ตัวว่าถูกจับมือเลยจะดึงออกแต่อีกฝ่ายแรงเยอะกว่าผม ยิ่งดึงยิ่งจับแน่นกว่าเดิม
"จับทำไม ปล่อย" ผมว่าเสียงเข้ม
"ไม่ปล่อย"
"คนมองหมดแล้ว" คิดว่าผู้ชายตัวโตสองคนจับมือกันมันเป็นภาพที่น่าดูนักรึไง
นับหนึ่งมองไปรอบๆ แล้วหันมาพูดกับผมหน้าตายสนิท "สงสัยเขามองเพราะกูหล่อ"
"..." เอาที่มึงสบายใจเลย
"แล้วไม่ถามหน่อยเหรอว่าผู้หญิงเมื่อกี้ใคร"
ผมขมวดคิ้ว "ไม่เห็นมีอะไรน่าถาม"
"ไม่หึงหน่อยเหรอ" มันถามเสียงอ่อย
"ถ้าจะละเมอก็ไปนอนนะ" ส่ายหัวไปมาแล้วจะเดินไปเลือกของสดแต่กลับถูกคนตัวสูงดึงไว้ "อะไร ปล่อย กูจะไปเลือกของ"
จับกันอยู่แบบนี้ก็ไม่ได้เลือกไม่ได้ซื้อของกันพอดี
"เดี๋ยวกูเลือกเอง"
"ฮะ"
"มึงบอกเองไม่ใช่เหรอ ถ้ากูแพ้ กูต้องเป็นคนทำอาหาร"
ก็ใช่ แต่ผมหมายถึงมันทำส่วนของมัน ผมส่วนของผม ไม่ใช่...
"เย็นนี้กูจะทำอาหารให้มึงเอง"
"..."
"มึงรอชิมนะ!"
เอาจริงดิ?
มันจะทำข้าวให้ผมจริงเหรอ?
ตึกตัก ตึกตัก
บ้าฉิบ!