ตั้งแต่ที่แรกคือร้านเป่าแก้ว พนักงานกำลังถือไฟร้อนจ่อกับแก้วใสให้ขึ้นเป็นรูปอย่างขะมักเขม้น ผลงานในมือของผู้เชี่ยวชาญดูราง ๆ ว่ากำลังจะเป็นดอกกุหลาบ ดวงตาที่เคยมองสนใจเครื่องแก้วหรี่ลงอย่างระแวงเมื่อได้ยินเสียงคนข้างตัว
"ชอบเหรอครับ"
"ก็เขาทำสวยดี"
"แล้วให้นาวีชอบผมต้องทำไง"
อยู่เฉย ๆ ก็ชอบแล้ว…
"คราวหน้ามาให้ตรงเวลานัด"
"อุก-เจ็บ" ฉัตรส่งเสียงกระอักเลือดเกินจริง มือยกกุหลาบแก้วเป็นพร็อพประกอบน้ำเสียงร้าวรานที่ไม่ได้มีความเป็นธรรมชาติเลยแม้แต่น้อย "แก้วร้าวยังซ่อมได้ แต่ใจร้าวไปจะมีใครรับผิดชอบ"
"เฮ้อ" คนโดนหยอดกุมขมับปวดหัว ความเสี่ยวเป็นเชื้อเพลิงให้อาการเครียดทวีหนักขึ้นทันตาเห็น เขารู้สึกอยากแวะเข้าโบสถ์ไปทำบุญทำทาน บางทีชาติที่แล้วสร้างกุศลมาน้อยไปถึงได้เจอสัมภเวสีตามก่อไมเกรน
จะแวะเข้าไปไหว้พระตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว วิญญาณตามติดมันแจกรอยยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยกับคำรักไร้สาระไปตลอดทาง
"อีกนาทีได้น้ำอัญชัน อีกกี่วันได้ใจคุณครับ"
"บนแผงเนื้อไก่ย่าง แต่ข้าง ๆ ผมเนื้อคู่"
"บนเตาขนมถังแตก แต่ผมน่ะใจแตก"
"ขนมสายไหม แต่ไม่รู้คุณรักผมไหม"
มันเข้ากันตรงไหน??
นาวีได้แต่ส่ายหน้าเบื่อ ๆ กระทั่งร้านตัดผมที่เก็บของปิดไปแล้วเขายังหาทางเล่นได้ โชคดีที่ประตูเหล็กหน้าร้านปิดตายและไม่มีเจ้าของเฝ้าอยู่ ไม่งั้นเขาก็จะต้องมาร่วมได้ยินกับอะไรแบบนี้
"ตัดผมไปทางซ้าย แล้วตัดใจนี่ไปทางไหนครับ"
"เมรุ"
การล้อเล่นหยุดชะงักเมื่อผ่านสถานที่เผาศพ สีหน้าฉัตรก้ำกึ่งระหว่างหวาดผวากับดีใจ เมื่อกี้นาวีพึ่งขู่กลาย ๆ ว่าเลิกรักเท่ากับตายใช่ไหม? เท่ากับ— "ยอมรับแล้วสินะว่าชอบ"
"แวะร้านปาโป่งกัน" คนปากหนักพาเปลี่ยนเรื่องเดี๋ยวนั้น ถูกหลายร้อยเหตุผลที่จริงบ้างคิดไปเองบ้างกันไว้จากการพยักหน้ายอมรับ
ฉัตรไม่ว่าอะไรและยอมตามใจทุกอย่าง ยอมโดนลากพาไปร้านที่เต็มไปด้วยตุ๊กตาและแผงลูกโป่งยางโดยไร้แรงต้าน
ร้านใกล้จะปิดแล้ว วัดจากสีหน้าเบื่อโลกของพนักงาน พวกเขาคงเป็นลูกค้ากลุ่มท้าย ๆ ที่จะรับ ตุ๊กตาของรางวัลที่เคยมีเต็มแผงหายไปจนเหลืออยู่ไม่ถึงครึ่ง เหลือแค่พวงกุญแจจุ๊กจิ๊ก ตุ๊กตาลิงหน้าตาไร้ชีวิตชีวา ขนมถุงราคาถูกสำหรับเป็นรางวัลปลอบใจ แล้วก็ตุ๊กตาเลียนแบบเด็กทารกที่ดูน่าสยองมากกว่าน่ารัก
เจ้าของร้านมาอธิบายกฎด้วยตัวเองก่อนแจกถาดใส่ลูกดอกให้ ฉัตรพยักหน้าตามงั้น ๆ ตรงข้ามกับคนรักที่ตั้งใจฟังแน่วแน่ ไม่รู้ว่าเพราะไฟอยากเอาชนะมันโชกโชน หรือว่าอยากหาสิ่งอื่นมากลบความคิดฟุ้งซ่านในใจกันแน่
"ช่วยกันปานะ"
"ครับ"
นาวีประเมินระยะทางเป็นอย่างดีก่อนลงมือ ตรงข้ามกับฉัตรที่ผลาญลูกดอกไปปักกับแผงร้านบ้าง เฉียดหัวพนักงานบ้าง แต้มมากกว่าเก้าในสิบจึงมาจากนาวี เด็กหนุ่มระมัดระวังทุกการเคลื่อนไหวของมือ ใช้แต่ละดอกให้คุ้มค่าอย่างกับกำลังฝึกไปปาใส่ใคร
"ใจเย็น ๆ เล็งก่อนไม่ต้องรีบร้อน ร้านเขาไม่ได้จำกัดเวลาสักหน่อย"
ฉัตรพึ่งโยนลูกดอกหายไปหลังผ้าเต็นท์ มือถึงว่างไปโอบเอวของผู้แนะนำ ปากก็ว่างไปกระซิบลงใบหูนิ่ม "ไม่อยากมองเป้าครับ อยากมองแต่คุณ"
"…"
"ปาเท่าไรก็ไม่ตรง"
นาวีพลาดอย่างน่าอายเป็นครั้งแรก เขาปาเฉียดคอเจ้าของร้านไปปักขอบแผงลูกโป่งด้านหลัง ต้องวุ่นอยู่กับการขอโทษขอโพยอยู่พักใหญ่จนกว่าอีกฝ่ายจะหายหน้าซีดขาวเป็นไก่ต้ม น่าแปลกที่ยืนอยู่คนละทิศแท้ ๆ แต่ลูกดอกยังอุตส่าห์หลุดมือไปได้
เด็กหนุ่มหันไปทำตาเขียวใส่ตัวต้นเหตุ
"ขอยืนมองเฉย ๆ ได้ไหมครับ" ฉัตรยิ้มอ่อนหวาน มือเลื่อนจานใส่ลูกดอกส่วนของเขาให้นาวีจัดการทั้งหมด ตั้งมั่นว่าจะเป็นผู้ชมอย่างเดียวพอ
"ตามใจ"
สรุปแล้วทั้งคู่พลาดรางวัลใหญ่ ได้แต่ความเขินอายปนเหนื่อยใจกับเงินที่เสียเปล่า ๆ เพราะช่วงหลังนาวีสมาธิหลุดหาย ยังดีเจ้าของร้านให้ตุ๊กตาปลอบใจกลับบ้านมาตัวหนึ่ง น่าจะเพราะหน้าตามันขายออกยากมากกว่าจะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่จริงๆ
เด็กทารกปลอมไซซ์ของจริงถูกยื่นให้ น่ากลัว— เป็นคำแรกที่ผุดขึ้นมาในใจเขาตอนรับของ ตาสีฟ้าของเด็กอ่อนไร้แววชีวิต ผิวสีครีมแต่ดูออกว่าเป็นพลาสติก ทั้งเหมือนจริงและดูปลอมจนมองแล้วหลอน เมื่อคิดว่าต้องอุ้มไอ้ตัวต้องสาปนี้เดินผ่านเมรุกลับไปหน้าวัดแล้วนาวีสองจิตสองใจขึ้นมา อยากให้มันไปถูกแขวนคอไว้เหนือแผงร้านตามเดิม
คนรักของเขาเอ่ยขอบคุณเจ้าของร้านยกใหญ่ เป็นอันว่าปิดตายหนทางในการคืนเรียบร้อย ก่อนพากันแบกเด็กหน้าหลอนเข้าโซนสวนสนุกที่อยู่ส่วนท้าย ๆ ของงาน
ฉัตรโอบข้างหลังเพื่อกันคนให้ พาผ่านซอยร้านตรงหน้าบ้านลมที่มีผู้คนหนาตาแม้ดึกมากแล้ว ผู้ปกครองที่มารอลูกหลานเล่นบ้านลมอยู่กันเบียดเสียด กัดฟันทนฟังเด็กร้องกรี๊ดกร๊าดดังไปถึงยอดเจดีย์ ความมีชีวิตชีวาต่างจากผู้ผ่านโลกมานานที่มองพื้นบ้างสุสานบ้างอย่างไร้ความหวัง สงสัยทุกการตัดสินใจของตัวเองที่นำมาสู่จุดนี้
นาวีเองก็สงสัย…อะไรทำให้คนเราเสียสละความสุขส่วนตนเพื่อเด็กสักคนได้
"ถ้ามีลูกคงวุ่นน่าดูเลยเนอะ"
ฉัตรแค่งึมงำในลำคอตอบ พูดน้อยสงวนปากคำอย่างที่ไม่ใช่เขาเลย
คู่สนทนานึกแปลกใจขึ้นมา เด็กหนุ่มอีกคนเงียบผิดปกติทั้งยังแตะเนื้อต้องตัวมากขึ้น โอบเอว บ่า เยอะจนน่าแปลก แต่ความประหลาดใจของเขายังไม่หนักหนาเท่าความกังวลอันปั่นป่วนในทรวงอก ฉัตรคิดอะไรอยู่ เห็นอะไรมา พึ่งได้ยินคำพูดไม่ดีมาหรือเปล่า นาวีเหลือบมองสำรวจรอบตัวทันทีเพื่อตามหาแววตาสะอิดสะเอียนจากในฝูงชน
เขารู้ว่าไม่ควรสนใจสายตาใครแต่ห้ามตัวเองไม่ให้หวาดระแวงว่าจะมีคนด่าไม่ได้ เขารู้อยู่ว่าสิ่งที่เป็นอยู่มันผิด ทั้งรู้อีกด้วยว่าผิดที่คิดว่ามันผิด สับสนระหว่างให้เขาโอบไหล่ต่อกับปล่อยมือแล้วเดินด้วยกันในขอบเขตเพื่อนปกติ
ความระแวงเป็นฝ่ายแพ้ นอกจากจะเอียงคอให้ซบกันใกล้ชิดขึ้นนาวียังอ้อนถามเขาเสียงเบา
"เป็นอะไร ทำไมเงียบ"
ฉัตรเบนสายตาหนีก่อนพูดตะกุกตะกัก ลูบหลังคอด้วยความประหม่า "ก็…ทำไมอุ้มแบบนั้นล่ะ"
คำตอบผิดคาดไปไกลลิบ
นาวีเคยเห็นวิธีอุ้มทารกอยู่หลายครั้ง พอรับมาแล้วมือมันก็ไปเองโดยอัตโนมัติ เด็กหนุ่มยืนทำหน้าสับสนทำตัวไม่ถูกอยู่ถนนโล่ง ๆ หลังบ้านลมยักษ์ พิจารณาสีหน้าคนรักที่เหมือนมีจินตนาการเป็นร้อยพันแล่นผ่านในเสี้ยววินาที
ใช้เวลาอีกหลายปีทีเดียวกว่าเขาจะเข้าใจสายตาคาดหวังคู่นั้น
"แบบไหน?"
"เปล่า"
"??"
สักพักฉัตรตัดสินใจอุกอาจ โอบกอดทั้งคนทั้งทารกยกขึ้นสูงจนเท้าลอยพื้น "เฮ้ย! คนมองทั้งวัดแล้ว!" นาวีร้องเสียงหลงไปพร้อม ๆ กับหัวเราะร่วนโดยลืมห้ามตัวเอง หลุดสีหน้ายินดีที่เป็นธรรมชาติที่สุดหลังฝืนมาตลอดวัน จุดประกายรอยยิ้มแห่งความสุขให้กับผู้ที่เฝ้ารออยู่ตั้งนาน
"ผมดีใจนะที่ทำให้นาวีหัวเราะได้สำเร็จ"
_____