เราเดินออกมาถึงชายป่า ผมหันไปโบกมือลาพวกสัตว์ และกำชับให้พวกมันกลับเข้าป่าไป ผมกลัวว่าจะเกิดอันตรายกับพวกมัน ผมและพี่วายุเดินต่อมาอีกนิดก็ถึงถนน ริมถนนมีรถยนต์สีดำจอดอยู่ บอกตามตรงว่าผมไม่รู้ว่ายี่ห้ออะไร เพราะในชีวิตผมเห็นรถยนต์แค่ไม่กี่ครั้ง แต่ที่รู้คือมันสวยมาก สีดำเงามีสัญลักษณ์คล้ายๆ สามง่ามอยู่ด้านหน้า
หลังจากที่ขึ้นรถ พี่วายุก็ขับออกไป แกเปิดเพลงเสียงดังพร้อมกับร้องตาม ผมฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเพราะร้องเร็วมาก จับใจความได้ประมาณว่า "ผมอะ อื้ม ตะลองตองแตง" อะไรซักอย่าง
เราขับรถไปสักพักก็มีป้าย สิ้นสุดเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน มีด่านแต่ไม่เห็นเจ้าหน้าที่ ผมเคยมาไกลสุดแค่แถวๆ นี้แหละ พ้นเขตนี้ไปก็จะเป็นโลกอีกใบที่ผมไม่เคยเจอ
หลังจากผ่านด่านมาได้สักพัก ก็เข้าสู่เขตเมือง ซึ่งมีแต่ตึกเต็มไปหมด ผมไม่คุ้นตาเลย ถึงผมจะเคยบอกว่าผมเคยเข้าเมือง แต่เมืองที่ผมหมายถึงคือหมู่บ้านแถบๆ ชายป่า ซึ่งมันไม่มีตึกมากมายแบบนี้
พี่วายุจอดรถ แล้วหันมาบอกผมว่าอย่าไปไหน ให้รอที่นี่ พี่วายุหายไปสักพักก็กลับมาพร้อมของกิน แกบอกว่ามันเรียกว่าแฮมเบอเกอร์เป็นอาหารฝรั่ง เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกเปิดโลก มันรสชาติแปลกๆ แต่ก็อร่อยมาก
พี่วายุขับรถต่อ แกเริ่มบ่นว่าจะต้องรีบไปให้ทันก่อนพระอาทิตย์ตก เพราะตอนนี้ยังไม่ปลอดภัย ไม่รู้ว่าคนที่อยากได้ตัวผมจะตามเราอยู่หรือเปล่า
หลังจากอยู่บนถนนมาหลายชั่วโมง ตอนนี้เราก็มาถึงทะเล ผมตื่นเต้นมากท้องน้ำที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา สะท้อนกับแสงอาทิตย์สีส้ม มันสวยงามจนผมถึงกับมองตาค้าง
รถมาจอดอยู่ที่ท่าเรือ พอจอดรถก็มีคุณลุงเดินมาหา คุณลุงผิวดำเส้นผมเหลือไม่มากเท่าไหร่ตัวอ้วนลงพุงไม่ใส่เสื้อใส่แค่กางเกงผ้าพลิ้วๆ (ผมมารู้ทีหลังว่าเรียกว่ากางเกงเล) คุณลุงเดินมาคำนับพี่วายุ "เตรียมเรือไว้แล้วครับ จะเดินทางเลยไหมครับ" คุณลุงชาวเลถามพี่วายุ
พี่วายุพยักหน้าพร้อมยื่นกุญแจรถให้คุณลุง หลังจากนั้นพี่แกก็พาผมเดินมาที่ปลายสุดของท่าเรือ
วันนี้เป็นครั้งแรกที่ผมจะได้ขึ้นเรือ มันเป็นเรือขนาดใหญ่ ใหญ่กว่ากระท่อมที่ผมเคยอยู่มาก เรือสีขาวมีสองชั้น ด้านบนเป็นแบบเปิดโล่งคล้ายๆ ดาดฟ้า ส่วนชั้นล่างเป็นห้องโถง ติดแอร์เย็นเฉียบ พอเข้าไปในเรือก็มีเจ้าหน้าที่มาบริการ
"คุณวายุรับอะไรดีครับ" ผู้ชายคนหนึ่งเดินมาถาม เขาแต่งกายกางเกงขายาวสีดำเสื้อเชิ้ตสีขาวผูกหูกระต่าย
"ผมเอาเป็นพอร์คช็อบพริกไทยดำแล้วกันครับ อ้ออย่าลืมกล้วยปั่นด้วยล่ะ" พนักงานคนนั้นพยักหน้า และหันมาถามผม "แล้วคุณละครับ" ผมที่ตอนนี้ยังไม่รู้จะตอบว่าอะไรเลยถามหาเมนูที่หรูหราที่สุดในชีวิตที่ผมเคยกิน "เอาไก่ย่างครับ" พี่วายุขำพรืดใส่ผม ผมหันไปมองหน้า พร้อมทำสายตาประมาณว่า ถ้าไม่หยุดขำผมจะเรียกแม่เสือออกมากัดแล้วนะ
สักพักหนึ่งอาหารก็มา ระหว่างที่เรากินอาหารก็มีผู้หญิงชราคนหนึ่งเดินเข้ามา เป็นคุณยายที่แต่งตัวแปลกๆ คือใส่ชุดกระโปรงสีแดงยาวถึงเข่าแล้วก็มีเสื้อคลุมแขนยาวสีเขียวทับ ใบหน้าเหี่ยวย่น แต่แต่งหน้ามาแบบจัดเต็ม
"เป็นจิตที่น่าหลงใหลมากเลย" คุณยายคนนั้นพูดพลางหันมาทางผม
พี่วายุเห็นคุณยาย รีบลุกขึ้นแล้วยกมือไหว้ "แม่ย่าออกมาต้อนรับเองเลยเหรอครับ" พี่วายุทักคุณยาย
หลังจากนั้นพี่วายุก็ขยิบตาส่งสัญญาณให้ผมรีบยกมือไหว้ด้วย แต่ผมก็ซื่อบื้อเกินกว่าจะเข้าใจ ยืนทำหน้างงๆ
คุณยายหัวเราะพร้อมกับบอกว่าไม่เป็นไร "ฉันเป็นผู้ที่สถิตอยู่บนเรือนี้ จริงๆ ฉันคือจิตวิญญาณในต้นไม้ ภายหลังมนุษย์นำต้นไม้มาทำเรือ แล้วก็ทำพิธีสักการบูชา ขอให้ฉันคุ้มครองเรือ มนุษย์ปกติจะเรียกฉันว่าแม่ย่านาง" คุณยายแนะนำตัวด้วยสีหน้าอันอบอุ่น มีชั่วขณะที่ผมแอบคิดถึงพ่อปู่
"เจ้าหนูนี่น่าจะเป็นที่รักของสัตว์มาก ถึงกับพามาด้วยมากมายขนาดนี้" เรื่องนี้จริงๆ พี่วายุก็ยังไม่รู้นะ หลังจากคุณยายพูด พี่วายุถึงกับหันมาถามผมด้วยสายตา
"พวกเขาตายก่อนหมดอายุขัยเพราะผม พ่อปู่บอกว่าพวกเขาอยากตามมาดูแลผม" ผมตอบคุณยาย
"พวกเขาจะยิ่งทรงพลัง ถ้าเธอได้เรียนรู้วิธีใช้ จิตจากมหาวิทยาลัย" ผมพยักหน้าตอบรับ อาจเป็นเพราะคุณยายเองก็เป็น 1 ในจิตวิญญาณแห่งธรรมชาติ ผมจึงรู้สึกสบายใจที่ได้คุยกับคุณยาย
หลังจากคุยกันสักพัก เรือก็มาจอดเทียบท่า มีเจ้าหน้าที่เดินมาแจ้งว่าตอนนี้ถึงที่หมายแล้ว
พวกเรายกมือไหว้และลาแม่ย่านาง พี่วายุพาผมเดินขึ้นมาที่ท่าเรือ แล้วเมื่อมองจากท่าเรือขึ้นไป ก็เห็นตึกใหญ่โต มีป้ายเขียนว่า
ยินดีต้อนรับสู่มหาวิทยาลัยไสยเวทย์
Paragraph comment
Paragraph comment feature is now on the Web! Move mouse over any paragraph and click the icon to add your comment.
Also, you can always turn it off/on in Settings.
GOT IT