ราชันเร้นลับ 26 : ฝึกซ้อม
กึก กึก กึก
เสียงฝีเท้าดังก้องทางเดินที่มืดมิดและคับแคบ
บรรยากาศค่อนข้างเงียบงัน
ไคลน์เดินหลังตรงโดยพยายามไล่ตามความเร็วนักบวชให้ทัน มันไม่กล้าเอ่ยปากถามหรือชวนคุย ทำตัวสงบนิ่งดุจดังผิวน้ำที่ปราศจากสายลมพัดผ่าน
หลังจากเดินผ่านทางเดินยาวที่มีระดับป้องกันภัยแน่นหนา นักบวชชุดคลุมสีดำนำกุญแจออกมาไขประตู จากนั้นก็ชี้นิ้วไปยังบันไดลงชั้นล่างที่ทำจากหิน
“เดินตรงไป เมื่อถึงสี่แยก เลี้ยวซ้ายจะเป็นประตูยานิส”
“ขอให้เทพธิดาคุ้มครอง”
ไคลน์ใช้มือขวาทำสัญลักษณ์พระจันทร์แดงที่หน้าอก เฉกเช่นสังคมสามัญชนที่มีมารยาทพื้นฐานรูปแบบหนึ่ง ศาสนาเองก็มีมารยาททักทายพื้นฐานอีกรูปแบบหนึ่ง
“เทพธิดาจงเจริญ”
นักบวชชุดคลุมดำทำสัญลักษณ์เดียวกัน
ไคลน์ไม่กล่าวสิ่งใดขณะเดินลงบันไดหินที่สองข้างฝั่งมีโคมไฟติดตั้งเป็นระยะ
เมื่อถึงกลางทาง มันตัดสินใจหันกลับไปมองด้านหลัง แล้วก็ได้พบนักบวชคนเดิมยังคงยืนจ้องลงมาจากบันไดขั้นแรก ท่าทางแข็งทื่อไม่ขยับเขยื้อนดุจดังหุ่นขี้ผึ้ง
ไคลน์รีบหันกลับและก้าวเท้าต่อไปจนกระทั่งถึงขั้นบันไดชั้นล่างสุด ทางเดินหินปูทอดยาวลักษณะเดียวกับทางลงจากบริษัทรักษาความปลอดภัยหนามทมิฬ
เดินเพียงไม่นานก็มาถึงสี่แยก
มันไม่เลี้ยวซ้ายเพื่อตรงไปประตูยานิส สาเหตุเพราะดันน์·สมิทเพิ่งจะเป็นเวรเฝ้าประตูไปเมื่อวาน ไม่น่าจะเป็นซ้ำในวันนี้ได้
ไคลน์เลี้ยวขวาและเดินตรงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพบกับบันไดหินขาขึ้นของบริษัทหนามทมิฬที่โรแซนเคยนำทาง มันสืบเท้าขึ้นชั้นบนโดยไม่รีรอ
เมื่อเดินถึงสุดบันไดและเปิดประตูห้อง ชายหนุ่มพบกับประตูหกบานแบ่งออกเป็นซ้ายขวาฝั่งละสาม บางบานปิดสนิท บางบานเปิดแง้ม ไคลน์ไม่สนใจจะเคาะหรือเดินเข้าไป มันรีบตรงไปยังห้องรับรอง
ภายในห้องมีหญิงสาวผมน้ำตาลกำลังนอนอ่านวารสารพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“สวัสดีโรแซน”
ไคลน์แอบย่องเข้าใกล้หล่อนพร้อมกับกล่าวทักทายและใช้นิ้วเคาะโต๊ะหนึ่งครั้ง
ก๊อก!
โรแซนดีดตัวขึ้นนั่งด้วยท่าทางลนลานสุดขีด หญิงสาวกล่าวทักทายกลับด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
“ส…สวัสดีไคลน์! ท…ทำไมคุณถึงอยู่ที่นี่?”
โรแซนใช้มือทาบอกพร้อมกับแสดงสีหน้าโล่งใจประหนึ่งเด็กสาวที่กลัวพ่อจับได้ว่าแอบโดดเรียน
“ผมต้องการพบหัวหน้า”
ไคลน์ตอบสั้นห้วน
“…ใจหายหมด นึกว่าหัวหน้าแอบมาตรวจ”
โรแซนจ้องไคลน์เขม็ง
“คุณควรรู้จักเคาะประตูบ้างนะ! โชคดีที่ฉันเป็นหญิงสาวความอดทนสูงและไม่ชอบใช้ความรุนแรง ไม่สิ ขอเรียกตัวเองว่าสุภาพสตรีก็แล้วกัน… แล้วคุณอยากพบหัวหน้าไปทำไมหรือ? ตอนนี้เขาคงอยู่ที่ห้องมาดามโอเรียนน่ากระมัง”
ถึงจะถูกตำหนิ แต่ไคลน์กลับอมยิ้ม มันขบขันท่าทีตอบสนองน่ารักน่าชังจากโรแซน
ชายหนุ่มครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบ
“ความลับน่ะ”
“…”
นัยน์ตาของเธอพลันสั่นระริก แอบแฝงความไม่พอใจเล็กน้อย ไคลน์ทำเพียงโบกมืออำลาให้และเดินจากไป
เมื่อพ้นฉากกั้น ไคลน์หยุดลงหน้าประตูบานขวามือพร้อมกับใช้นิ้วเคาะ
“เข้ามา”
เป็นเสียงอันลุ่มลึกของดันน์·สมิท
ไคลน์ผลักประตูห้องเดินเข้าไปและปิดตามหลัง มันถอดหมวกออกเพื่อทักทายดันน์·สมิท
“สวัสดีครับหัวหน้า”
“สวัสดี มีอะไรให้ผมช่วยอย่างนั้นหรือ?”
เสื้อกันลมและหมวกสีดำตัวเก่งถูกแขวนไว้บนราวใกล้กับโต๊ะทำงาน ดันน์กำลังสวมเชิ้ตขาวและกั๊กดำ ถึงศีรษะค่อนข้างเถิกล้าน แต่นัยน์ตาสีเทาหม่นคู่นั้นยังคงสุขุมเช่นเคย
สีหน้าของดันน์ดูดีกว่าเมื่อวานเล็กน้อย
“มีใครบางคนสะกดรอยตามผม”
ไคลน์เล่าความจริงโดยไม่ปิดบังหรือแต่งเติม
ดันน์เอนหลังพิงเบาะพร้อมกับประสานมือทั้งสองข้างเข้าหากัน นัยน์ตาจ้องมองเข้าไปในดวงตาไคลน์อย่างเพ่งพิศ
มันมิได้ไต่ถามรายละเอียดของผู้สะกดรอย แต่เลือกเบี่ยงไปถามประเด็นอื่น
“คุณมาทางวิหารพระแม่ใช่ไหม?”
“ครับ”
ไคลน์ตอบสัตย์จริง
ดันน์ผงกศีรษะหงึก มันไม่ได้ระบุว่าการกระทำของไคลน์เป็นเรื่องดีหรือแย่ บทสนทนาเปลี่ยนกลับมาเป็นหัวข้อหลัก
“อาจเป็นเพราะบิดาของเวิร์ชยังไม่ปักใจเชื่อในสาเหตุการตายของบุตรชาย จึงทำการจ้างนักสืบเอกชนจากเมืองวายุมาแกะรอย”
เมืองคอนสแตนแห่งแคว้นเลียบทะเลมีอีกชื่อหนึ่งว่าเมืองวายุ เป็นดินแดนที่อุตสาหกรรมถ่านหินและเหล็กพัฒนาไปไกล ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในสามเมืองใหญ่ของอาณาจักรโลเอ็น
ไม่ปล่อยให้ไคลน์แสดงความเห็น ดันน์อธิบายต่อ
“หรืออาจเป็นกลุ่มที่เกี่ยวพันกับสมุดบันทึกนั่นก็ได้… เมื่อไม่นานมานี้ เราเริ่มทำการสืบสวนต่อยอดว่าเวิร์ชได้รับสมุดเล่มดังกล่าวมาจากใคร เรื่องนี้อาจเชื่อมโยงกับองค์กรลับบางกลุ่ม และถ้าเป็นเช่นนั้นจริง พวกมันคงกำลังตามหาสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกสนัสอยู่เช่นกัน”
“แล้วผมควรทำอย่างไรดี?”
ไคลน์ถามเสียงกังวลพลางขมวดคิ้ว มันได้แต่ภาวนาให้เรื่องราวเป็นแบบแรก
ดันน์ไม่ตอบในทันที มันยกถ้วยกาแฟซดอึกใหญ่ เมื่อวางลง นัยน์ตาสีเทาเงยขึ้นมาจ้องมองไคลน์อย่างไม่สั่นคลอน
“กลับไปทางเดิมที่คุณมา จากนั้นก็ทำตัวตามปรกติ… จะทำอะไรก็ได้”
“ทำอะไรก็ได้?”
ไคลน์ถามย้ำ
“ใช่แล้ว… ทำอะไรก็ได้”
ดันน์ผงกศีรษะหนักแน่น
“แต่ต้องไม่ผิดกฎหมายหรือทำให้อีกฝ่ายตื่นตัว”
“ได้ครับ”
ไคลน์สูดลมหายใจเต็มปอดก่อนจะอำลาดันน์และเดินออกจากห้อง เพียงไม่นาน วิวทิวทัศน์สองข้างทางกลายเป็นใต้ดินที่มืดมิดที่มีแสงไฟสลัวจากโคมตะเกียงอีกครั้ง
พอมาถึงสี่แยก ไคลน์เลี้ยวซ้ายเพื่อกลับเข้าวิหารพระแม่เซเลน่า ทางเดินยาวที่ค่อนข้างมืดและเงียบงัน เป็นบรรยากาศที่สามารถสั่นคลอนจิตใจมนุษย์ได้ไม่น้อย
เสียงฝีเท้าชายหนุ่มดังก้องทางเดินคับแคบ
เมื่อมาถึงบันไดหินขาขึ้น ไคลน์ก้าวไปทีละขั้นจนถึงด้านบน มันได้พบกับเงาลางของบุคคลหนึ่งกำลังยืนนิ่งท่ามกลางแสงไฟสลัว
นักบวชวัยกลางคนชุดคลุมดำ
ไม่มีใครกล่าวสิ่งใดต่อกัน นักบวชทำเพียงหันหลังกลับและเปิดประตูทางลับให้
ไคลน์ปรากฏตัวที่ห้องสวดภาวนาอีกครั้ง วงกลมขนาดกำปั้นเหนือแท่นบูชาทรงโค้งยังคงปล่อยให้แสงลอดผ่านท่ามกลางห้องมืดสลัว ชายหญิงหลายคนยังคงยืนต่อคิวเข้าห้องสารภาพบาปอย่างเป็นระเบียบ แต่ปริมาณลดลงจากตอนแรกมาก
หลังจากยืนไตร่ตรองครู่หนึ่ง ไคลน์ตัดสินใจเดินออกจากห้องสวดพร้อมกับไม้ค้ำและหนังสือพิมพ์ในมือ
เข้ามาแบบไหนก็ออกไปแบบนั้น แสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ในวินาทีที่ใบหน้าปะทะแสงแดดด้านนอก ความรู้สึกถูกจับตามองพลันหวนกลับคืน
ราวกับเหยื่อที่รับรู้ว่าพญาเหยี่ยวบนท้องฟ้ากำลังจ้องเขม็ง
ทันใดนั้น มันผุดคำถามใหม่ในใจ
เหตุใด ‘ผู้จับตามอง’ ถึงไม่ตามเข้าไปภายในวิหาร? ตนอาจใช้ทางลับไปหาเหยี่ยวราตรีจนคลาดสายตาได้ก็จริง แต่ถ้าเป็นห้องสวดภาวนาก็พอจะเข้าได้ไม่ใช่หรือ?
บางทีผู้จับตามองอาจเป็นอาชญากรที่เคยกระทำผิดร้ายแรงจนได้รับหมายจับ… หรืออาจเป็นผู้วิเศษที่บิชอปและนักบวชด้านในจดจำใบหน้าได้
และหากเป็นเช่นนั้น ตัวตนผู้จับตามองจะหากไกลจาก ‘นักสืบเอกชน’ มาก…
ไคลน์ถอนหายใจยาวสุดปอดก่อนจะเดินไปบนถนนด้วยสีหน้าเรียบเฉย ปราศจากอาการตื่นตระหนกเหมือนก่อนหน้า
เพียงไม่นานก็มาถึงถนนซุตแลน
ไคลน์เดินเข้าไปในอาคารทรงโบราณหลังหนึ่งที่กำแพงมีรอยด่างดำ บ้านเลขที่ 3 ชื่อเต็มของที่นี่คือ ‘สโมสรยิงปืนซุตแลน’
เป็นส่วนหนึ่งของกรมตำรวจ ใต้ดินเปิดเป็นลานซ้อมยิงปืนเพื่อหารายได้และฝึกฝนบุคลากรไปในตัว
ความรู้สึกถูกจับตามองหายไปอีกครั้งหลังจากเดินเข้าไปด้านในอาคาร ไคลน์ไม่รีรอ มันแสดงตราหน่วยปฏิบัติการพิเศษที่เจ็ดทันที
หลังจากยืนยันตัวตน เจ้าหน้าที่นำทางลงมายังห้องใต้ติดที่ค่อนข้างคับแคบ
ห้องยิงปืน
“เป้าสิบเมตรครับ”
ไคลน์แจ้งเจ้าหน้าที่ขณะชักปืนลูกโม่ออกจากซองรักแร้ซ้าย ถัดมาเป็นการนำกล่องกระสุนทองเหลืองออกจากกระเป๋ามาวางเตรียม
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ได้กระตุ้นให้มันเลิกผัดวันประกันพรุ่ง ในเมื่อภัยคุกคามอยู่ใกล้เพียงปลายจมูก คงนิ่งนอนใจไม่ได้อีกแล้ว
แถมการซ้อมยิงปืนยังช่วยปลดปล่อยความเครียดและพัฒนาฝีมือตัวเองไปพร้อมกัน
กริ๊ก!
หลังจากเจ้าหน้าที่กลับไป ไคลน์ตบโม่มาทางซ้ายพร้อมกับนำกระสุนปราบมารสีเงินห้านัดออกจากโม่ ตามด้วยการใส่กระสุนทองเหลืองสำหรับซ้อมยิงเข้าไปแทน
มันไม่เหลือช่องว่างไว้เผื่อปืนลั่น รวมถึงไม่ถอดหมวกทรงสูงที่ค่อนข้างเกะกะออกก่อน
ไคลน์หวังฝึกซ้อมให้คล้ายคลึงสถานการณ์จริงที่สุด ขณะเกิดภัยอันตรายมันคงมิอาจตะโกนกับศัตรูแล้วบอกว่า
“เดี๋ยวก่อน! รอฉันแต่งตัวให้ทะมัดทะแมงกว่านี้สักหน่อย”
…เห็นทีจะไม่ได้
กริ๊ก! ไคลน์ใช้นิ้วหัวแม่มือดันโม่กลับเข้าที่ในสภาพพร้อมยิง
ทันใดนั้น มือทั้งสองข้างยกปืนขึ้นตั้งตรงในท่าเตรียมยิง เป้าหมายที่ห่างออกไปราวสิบเมตรถูกเล็งผ่านศูนย์
แต่มันไม่รีบร้อนลั่นไก ภายในหัวกำลังประมวลผลอย่างใจเย็น นึกทบทวนความรู้สมัยเป็นนักเรียนรักษาดินแดนบนโลกเก่า
ระยะห่างเท่านี้ต้องเล็งศูนย์ประมาณไหน รวมถึงต้องเกร็งมือมากเพียงใดเพื่อเตรียมรับแรงดีดของปืน
ฉึบ ฉึบ ฉึบ
เป็นเสียงเสื้อผ้าขยับขณะไคลน์ซักซ้อมยกปืนขึ้นลงหลายครั้งให้คุ้นชิน สีหน้าของมันเอาจริงเอาจังประหนึ่งนักเรียนใกล้เข้าห้องสอบ
หลังจากซ้อมชักปืนเล็งสักพัก มันเดินถอยหลังเพื่อมานั่งบนเก้าอี้ยาวด้วยสีหน้าผ่อนคลาย ปืนลูกโม่ถูกวางไว้ข้างลำตัว ปากกระบอกหันออกป้องกันการลั่น
แขนของมันปวดเมื่อยเล็กน้อยจากการขยับขึ้นลงซ้ำไปมาหลายครั้ง ไคลน์พยายามนวดคลึงเพื่อบรรเทา
ในหัวจินตนาการถึงเทคนิคยิงปืนของโลกเก่าที่ร่ำเรียน เมื่อเริ่มรู้สึกเริ่มดีขึ้น ไคลน์ลุกจากที่นั่งและเดินกลับไปยังลู่ยิง
มือทั้งสองข้างยกปืนเล็งไปยังเป้าสิบเมตรด้านหน้าโดยไม่สั่นไหว
ท้ายที่สุด ไกปืนถูกลั่นเป็นครั้งแรก
ปัง!
แม้จะเกร็งรับไว้ล่วงหน้า แต่ฝ่ามือก็ยังสั่นระริกหนักหน่วง รวมถึงร่างกายที่เซถอยหลังเล็กน้อยจากแรงดีดของปืน
ยิงพลาดเป้า
ปัง! ปัง! ปัง!
ความทรงจำของโลกเก่าเริ่มถูกรื้อฟื้น มันกระหน่ำยิงเพื่อเรียกความมั่นใจและความเคยชิน จนกระทั่งผ่านไปหกนัด
เริ่มเข้าเป้าบ้างแล้ว… ไคลน์ถอยหลังกลับไปนั่งบนเก้าอี้ยาวพลางถอนหายใจโล่งอก
กริ๊ก! ไคลน์ดันโม่ออกและเทปลอกกระสุนลงพื้น จากนั้นก็บรรจุเพิ่มเข้าไปอีกหกนัด
เมื่อแขนเริ่มหายล้า มันลุกขึ้นยืนและกลับไปประจำจุดยิง
ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงดังกังวานทั่วห้องซ้อม เป้าสิบเมตรเริ่มสั่นไหวหลังจากถูกกระสุนพุ่งผ่าน พัฒนาการความแม่นยำของไคลน์ดีขึ้นทุกขณะ มันเริ่มตั้งใจเล็งกลางเป้าบ้างแล้ว
เป็นการยิงหกนัดสลับพักแขนไปเรื่อยๆ
กระสุนซ้อมสามสิบนัดที่เบิกมาล้วนถูกใช้จนหมด รวมถึงอีกห้านัดจากกระสุนของเดิมที่ไคลน์คนเก่าใช้ฆ่าตัวตาย
เมื่อกระสุนถูกใช้จนเกลี้ยง ไคลน์เหวี่ยงแขนข้างที่ปวดเมื่อยก่อนจะเทปลอกกระสุนห้านัดสุดท้ายลงพื้น คราวนี้แทนที่ด้วยกระสุนปราบมารสีเงินห้านัด และแน่นอน เหลือไว้หนึ่งช่องเพื่อป้องกันปืนลั่น
ปืนถูกสอดกลับลงในซองรักแร้ ไคลน์ปัดเศษดินปืนและฝุ่นออกจากตัว ก่อนจะเดินออกจากสนามยิงปืนมาโผล่ยังถนนซุตแลน
การจับตามองเริ่มขึ้นอีกครั้ง แต่ไคลน์ไม่แยแส จิตใจสงบนิ่งลงหลังจากได้ยิงปืนปลดปล่อย เท้าก้าวไปบนถนนซุตแลนอย่างไม่รีบร้อนจนกระทั่งมาถึงถนนแชมเปญ
ไคลน์ขึ้นรถม้าที่สถานีแชมเปญ จุดหมายปลายทางคือถนนกางเขนเหล็ก ค่าโดยสารยังคงสี่เพนนีเท่ากับขามา
เมื่อลงจากรถ ไคลน์เดินตรงกลับเข้าหอพักด้วยท่าทีสุขุม หลังจากเข้าไปในตัวอาคาร ความรู้สึกถูกจ้องมองก็หายไป
มันนำกุญแจออกมาไขลูกบิดประตูก่อนจะผลักเข้าไป ภาพแรกที่เห็นคือบุรุษผมสั้นในวัยใกล้สามสิบกำลังนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะอ่านหนังสือ
หัวใจหล่นไปที่ตาตุ่มชั่วขณะ ก่อนจะกลับมาผ่อนคลายอีกครั้งเมื่อนึกขึ้นได้
“สวัสดียามเช้า ไม่สิ ยามบ่าย… เบ็นสัน”
บุรุษผู้นี้มิใช่ใครอื่นนอกจากพี่ชายของเมลิสซ่าและไคลน์ เบ็นสัน·โมเร็ตติ
อันที่จริง เบ็นสันเพิ่งจะอายุเพียงยี่สิบห้า แต่เนื่องด้วยศีรษะที่เริ่มเถิกรวมถึงสีหน้าอิดโรยประกอบกัน เบ็นสันจึงดูคล้ายชายวัยใกล้สามสิบเข้าไปทุกที
เส้นผมสีดำและนัยน์ตาสีน้ำตาลเหมือนกับไคลน์ทุกประการ ต่างกันเพียงบรรยากาศของ ‘นักวิชาการ’ ที่ไคลน์มี แต่เบ็นสันไม่
“สวัสดียามบ่ายไคลน์ สัมภาษณ์งานเป็นอย่างไรบ้าง?”
เบ็นสันยืนขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม
อีกฝ่ายสวมเพียงเสื้อลินินขาว ส่วนโค้ทสีดำรวมถึงหมวกทรงกึ่งสูงที่สวมประจำถูกแขวนผึ่งไว้กับเตียงนอน
“เลวร้ายมาก”
ไคลน์ตอบห้วน
เมื่อเห็นเบ็นสันผงะ ไคลน์หัวเราะคิกคักก่อนจะเสริม
“ที่จริงฉันได้งานใหม่ก่อนจะสอบสัมภาษณ์แล้ว เป็นงานที่ได้รับค่าตอบแทนสามปอนด์ต่อสัปดาห์…”
สิ่งที่เคยเล่าให้เมลิสซ่าฟัง ถูกนับมาเล่าซ้ำให้เบ็นสันใหม่ทั้งหมด
ท่าทีของเบ็นสันเริ่มสงบลง มันส่ายศีรษะพลางอมยิ้มอย่างมีความสุข
“นายโตไวชะมัด… เป็นงานที่เจ๋งมาก”
เมื่อกล่าวจบ เบ็นสันถอนหายใจหนึ่งเฮือก
“เยี่ยมไปเลย สิ่งแรกที่ได้ยินหลังกลับจากเดินทางไกลคือข่าวดีของน้องชาย… คืนนี้พวกเราฉลองกันเถอะ กินเนื้อกันไหม?”
“ไม่มีปัญหา แต่เมลิสซ่าต้องโกรธแน่ถ้าเราไม่ปรึกษาก่อน ไว้รอเธอกลับมาตอนเย็นค่อยออกไปก็ยังไม่สาย… ตั้งงบไว้สักสามซูลกำลังดี ว่าแต่… สกุลเงินอาณาจักรเราห่วยชะมัด หนึ่งปอนด์เท่ากับยี่สิบซูล และหนึ่งซูลเท่ากับสิบสองเพนนี แถมเพนนียังมีแยกย่อยเป็นครึ่งกับเสี้ยวเพนนี ไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด ฉันคิดว่านี่คือหนึ่งในสกุลที่ห่วยที่สุดในโลก”
เมื่อกล่าวจบ สีหน้าของเบ็นสันพลันเคร่งเครียด ไคลน์อดสงสัยไม่ได้ว่าตนกล่าวสิ่งใดผิดไปอย่างนั้นหรือ?
บางทีในเศษเสี้ยวความทรงจำที่เลือนหายไปของไคลน์คนก่อน เบ็นสันอาจเป็นพวกชาตินิยมที่ไม่ยอมให้ใครด่าว่าประเทศตัวเอง…
เบ็นสันเดินเข้ามาใกล้ไคลน์พร้อมกับปฏิเสธด้วยสีหน้าขึงขัง
“ไม่ใช่หนึ่งใน… แต่นี่คือระบบเงินตราที่ห่วยแตกที่สุดในโลกอย่างไร้ข้อกังขา”
ไม่ใช่หนึ่งใน…?
ไคลน์ชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะเข้าใจมุกตลกของพี่ชายในภายหลัง ชายหนุ่มมองเข้าไปในแววตาของเบ็นสันและหลุดขำเสียงดัง
นั่นสินะ เบ็นสันยังคงเป็นเบ็นสันที่เปี่ยมด้วยอารมณ์ขันคนเดิม
เบ็นสันยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“นายต้องเข้าใจก่อนว่า ระบบสกุลเงินของอาณาจักรนั้นซับซ้อนมาก ผู้ที่จะออกแบบได้ต้องมีความรู้ด้านการนับเลขและทศนิยมอย่างลึกซึ้ง แต่น่าเสียดายที่รัฐบาลอาณาจักรเรายังขาดแคลนบุคลากรคุณภาพอยู่มาก”
........................