ซุปเห็ดสมุนไพรที่ถูกปรุงขึ้นอย่างเรียบง่ายส่งกลิ่นหอมอบอวลในกระท่อมกลางป่าลึก
พ่อมดหนุ่มดื่มน้ำซุปที่มีเพียงเห็ดสีแดงเป็นส่วนผสมหลักเพื่อประทังความหิวของเขาระหว่างรอผลการทดสอบของน้ำยาสมุนไพรแก้พิษหมายเลข 4
"กลีบดอกสงบวิญญาณ 2 ชิ้น ผสมกับลำต้นเห็ดโกลาหลในอัตราน้ำเดือด 145 องศาคงที่ หากเพิ่มน้ำค้างจากยอดดอกโรสแมรี่ 3 หยดจะได้ประสิทธิภาพมากที่สุดโดยใช้เวลาต้มโพชั่น 9 นาทีด้วยไฟสีเหลืองอำพัน . . ."
ปากกาขนนกสีฟ้าฟูฟ่องจดบันทึกทุกคำพูดของวิคตัสลงไปในคัมภีร์แห่งเงาอย่างระมัดระวัง
หลังจากการลองผิดลองถูกหลายต่อหลายครั้งในที่สุดเขาก็พบวิธีปรุงน้ำยาดอกสงบวิญญาณที่ส่งผลรักษาในอัตราที่สูงขึ้นนอกจากจะช่วยขจัดพิษที่เกิดจากพืชทั่วไปแล้วยังใช้ลดอาการอักเสบของบาดแผลได้ดีทีเดียว
วิคตัสพยายามทำให้ตัวเองยุ่งอยู่ทุกวันเพื่อไม่ให้มีเวลานึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและการทดลองปรุงยาชนิดใหม่ๆเหล่านี้ก็เป็นวิธีที่ดีที่สุด
...ยิงปืนนัดเดียว ได้นกหลายตัวเลยล่ะ!
- ชนเผ่าดอร์สแห่งทุ่งราบตะวันออก -
ภายใต้รั้วไม้ขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างล้อมขึ้นเพื่อแสดงถึงอาณาเขตของชนเผ่าดอร์สซึ่งเป็นอีกชนเผ่าหนึ่งที่เก่าแก่ทางฝั่งตะวันออก
กระโจมหนังสัตว์สภาพน่าสังเวชจำนวนมากที่ตั้งขึ้นเบียดเสียดกันอยู่ภายในคือที่อาศัยของพวกเขา
ผู้คนส่วนใหญ่ที่นี่จะสวมเพียงกระโปรงหนังสัตว์สีน้ำตาลเข้มอึมครึมบนร่างกายพวกเขาจะมีลวดลายสีเหลืองที่เป็นสัญลักษณ์ของชนเผ่าดอร์สสำหรับทาสที่ถูกใช้เป็นแรงงานในเผ่าจะสวมชุดกระโปรงที่ทำจากหญ้าแห้งหรือบางคนอาจเปลือยเปล่า
บริเวณรอบๆกระโจมเหล่านี้ไม่เคยเงียบสงบยังคงได้ยินเสียงกรีดร้องของเด็กและทาสดังขึ้นเป็นครั้งคราวแต่กลับไม่มีใครสนใจพวกเขาซึ่งเป็นเรื่องปกติของผู้คนที่นี่
เดินลึกเข้าไปผ่านลานจัตุรัสจะพบกับกระโจมหนังสัตว์ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ด้านในที่นั่นคือที่พักของนักบวชหญิงชราประจำชนเผ่าดอร์ส
หลังจากการกลับมาพร้อมข่าวสารที่น่าตกใจของไคออร์ส สีหน้าของนักบวชชราและหัวหน้าเผ่าก็ดำมืดลงราวกับว่ามีใครเป็นหนี้เกลือพวกเขาหลายสิบกระสอบ
" เจ้าแน่ใจหรือไม่ไคออร์สว่าสิ่งที่พบเป็นความจริง เรื่องนี้ไม่อาจทำผิดพลาดได้เพราะทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในป่าคำสาปแห่งนั้นไม่เคยเป็นเรื่องดี?"
เสียงเคร่งขรึมของผู้นำเผ่าดังขึ้นแหวกความเงียบภายในกระโจม คำพูดของเขานั้นเรียบง่ายแต่ไคออร์สสามารถเข้าใจได้ดีถึงความจริงจังของเรื่องนี้
" ข้าขอสาบานต่อบรรพบุรุษมีลำแสงแปลกประหลาดตกลงมาในป่าแห่งนั้นจริงๆหากไม่ใช่เพราะมันข้าอาจได้เหยื่อกลับมายังเผ่าของเรา "
" มันมีลักษณะเป็นเช่นไร หลังจากนั้นเจ้าเห็นสิ่งผิดปกติอย่างอื่นอีกหรือไม่? "
หญิงชรานักบวชหันมาถามต่อด้วยความสนใจเพื่อหาเบาะแสเพิ่มเติม
ในกระโจมที่สร้างขึ้นอย่างแน่นหนามีเพียงแสงจากคบไฟที่ส่องสว่างแผ่นหนังสัตว์ผืนใหญ่ถูกแขวนไว้ตรงทางเข้าเพื่อใช้ปิดกั้นลมหนาวจากภายนอก
หลังจากที่ได้ยินรายละเอียดทั้งหมดสีหน้าของนักบวชหญิงอูม่าก็บิดเบี้ยวอย่างสยดสยองด้วยความกลัว
" ลางร้าย!! นี่ต้องเป็นสัญญาณจากเหล่าวิญญาณในป่าอาถรรพ์ที่ออกมาเตือนพวกเราอย่างแน่นอน ข้าต้องทำพิธีสังเวยเพื่อชะลอภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดขึ้นครั้งนี้!! "
ทันทีที่ได้ยินคำว่า 'พิธีสังเวย' หัวหน้าเผ่าเดอลุสส่งสายตาไปยังไคออร์สเพื่อเตรียมสั่งการ
ฤดูหนาวใกล้เข้ามาถึงและแรงงานทาสในเผ่าที่สามารถใช้เป็นเครื่องสังเวยตอนนี้เหลือไม่มากนักหากต้องเดินทางไปยังตลาดแลกเปลี่ยนเกรงว่าจะใช้เวลามากเกินไป
เขาจึงตั้งใจส่งไคออร์สและกลุ่มนักรบในเผ่าบางส่วนออกไปรับทาสจากชนเผ่าใกล้เคียงในครั้งนี้แต่ก่อนที่นักรบหนุ่มจะก้าวขาพ้นนอกกระโจมเสียงของหญิงชราก็ดังขึ้นขัดจังหวะอีกครั้ง
" . ..เครื่องสังเวยครั้งนี้ต้องเป็นทาสเด็กเท่านั้น !! "
ใบหน้านักบวชชราอูม่าเต็มไปด้วยรอยสักสีเหลืองและดำจำนวนมากจึงไม่อาจทราบอายุที่แท้จริงของเธอจากร่องรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าได้ด้านบนศีรษะถูกประดับด้วยมงกุฏกระโหลกมนุษย์สามชิ้นซึ่งช่วยเพิ่มความน่าเกรงขามให้แก่เธอได้เป็นอย่างดี
ทาสแรงงานผู้ใหญ่ในช่วงฤดูนี้หาได้ยากไม่ต้องพูดถึงทาสเด็กที่อ่อนแอพวกนั้นที่ส่วนใหญ่มักไม่ค่อยมีใครสนใจพวกมันมากนัก
ไคออร์สไม่ได้ถามถึงจำนวนที่นักบวชต้องการแต่รู้ดีว่ายิ่งมีจำนวนมากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งดีประสบการณ์จากการล่าสัตว์และต่อสู้มาเป็นเวลานานทำให้ผู้คนที่นี่เมินเฉยต่อชีวิตทาสที่ต่ำต้อยทั้งยังรู้สึกว่าการเสียสละต่อเหล่าเทพเจ้าเป็นสิ่งที่สูงค่ายิ่งกว่าชีวิตของพวกมัน
"ไปขอให้ชนเผ่าที่อยู่ใกล้เคียงช่วยรวบรวมทาส แจ้งพวกเขาว่านี่เป็นเรื่องเร่งด่วนและเราจะรายงานต่อวิหารบาร์บาโรสเมื่อถึงเวลานั้นทางมหานักบวชจะส่งรางวัลให้แก่ผู้ที่ช่วยเหลือ! "
หัวหน้าเผ่าเดอลุสสั่งการออกไปอย่างชัดเจนหลังจากพูดจบประโยคเขาก็หยุดชะงักชั่วครู่
"มีทาสเด็กในเผ่าหลายคนใช้พวกมันซะส่วนที่เหลือให้ส่งคนออกไปรับและรีบกลับก่อนพิธีครั้งนี้จะเริ่มขึ้น"
เครื่องสังเวยของนักบวชหญิงชราที่แตกต่างจากทุกครั้งทำให้เดอลุสสัมผัสได้ถึงความร้ายแรงของปัญหาที่จะเกิดขึ้นเมื่อไคออร์สเดินออกไปเขาจึงรีบถามนักบวชชราโดยทันที
" มันร้ายแรงแค่ไหนกันอูม่า? "
" มากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา...เรื่องนี้ต้องถูกส่งไปยังวิหารบาร์บาโรสเพื่อใช้พลังของพวกเขาแต่การเดินทางมายังดินแดนตะวันออกในฤดูกาลนี้ข้ากลัวว่ามันจะล่าช้าเกินไปและพวกเราอาจตายกันหมดการสังเวยครั้งนี้จึงต้องใช้ทาสจำนวนมากเพื่อสะกดพลังของอสูรวิญญาณที่ป่าอาถรรพ์ไว้ "
หลังจากอธิบายจบหญิงชราก็หลับตาลง ก่อนที่ร่างผอมแห้งของเธอจะค่อยๆสั่นสะเทือนด้วยท่าทางแปลกๆพร้อมกับริมฝีปากสีดำกระซิบคำพูดที่ผู้คนไม่อาจเข้าใจได้อยู่ชั่วครู่จนในที่สุดร่างของเธอก็แข็งทื่อและศรีษะที่โยกไปมาหยุดลง
อูม่าเงยหน้าจ้องมองไปยังทิศทางของป่าอาถรรพ์ดวงตาเบิกโพลงเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่นมัวและปากก็อ้ากว้างจนผิดธรรมชาติ เพียงเวลาไม่นานหมอกสีดำก็ลอยออกจากปากเธอก่อนกลายเป็นกลุ่มควันยาวพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเมื่อเสร็จสิ้นพิธีเธอก็ล้มลงกับพื้นส่งเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
ขนทั้งตัวของหัวหน้าเผ่าเดอลุสตั้งขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุหลังจากสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมาในกระโจมนักบวชหญิงชรา
ถึงแม้จะเข้าร่วมพิธีกรรมต่างๆอยู่หลายครั้งแต่เขาก็ไม่อาจเข้าใจพลังลึกลับจากนักบวชหญิงคนนี้ได้
พลังเฉพาะของนักบวชเผ่าดอร์สถูกเรียกขานว่า 'สาส์นวิญญาณ' เป็นการปลดปล่อยพลังวิญญาณออกไปเพื่อส่งข้อความแจ้งข่าวให้แก่ผู้ที่นักบวชต้องการแต่สิ่งนี้ต้องแลกกับพลังชีวิตของนักบวชจึงทำให้หมอผีชราใช้มันไม่บ่อยนัก
ในแง่ของพลังการต่อสู้อาจดูเหมือนไม่มีประโยชน์เท่าไหร่นักแต่หากเทียบกับนักบวชของเผ่าอื่นๆในดินแดนตะวันออกพลังของอูม่าสามารถเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้นำนักบวชเลยก็ว่าได้
นักบวชจากชนเผ่ารอบๆนั้นไม่ได้ทรงพลังเท่ากับเธอหน้าที่หลักของพวกเขาส่วนใหญ่คือการรักษาแผลจนถึงพิธีกรรมทั่วไปทางจิตวิญญาณ
การแต่งตั้งคัดเลือกชนเผ่าที่คอยดูแลปกครองพื้นที่ทางดินแดนต่างๆจะถูกจัดขึ้นจากงานแข่งขันก่อนช่วงเทศกาลล่าสัตว์ครั้งแรกในแต่ละรอบปี
หลังได้รับมอบหมายตำแหน่ง 'หมอผีผู้นำสาส์น' จากมหาปุโรหิตแห่งวิหารบาร์บาโรสชนเผ่าดอร์สจึงถูกแต่งตั้งให้เป็นชนเผ่าที่มีอำนาจที่สุดทางฝั่งตะวันออกและได้สิทธิ์พื้นที่ล่าเป็นบริเวณกว้างกว่าเผ่าอื่นในละแวก
พวกเขาได้อาศัยพลังของอูม่าจนสามารถปีนขึ้นมาและยึดครองอำนาจการปกครองนี้มาได้ยาวนานหลายปีเลยทีเดียว
แต่สิ่งนี้ต้องแลกมาด้วยข้อผูกมัดบางอย่างและทุกข่าวสารที่มีความสำคัญต่อแผ่นดินเมอร์ทาดัสจะต้องถูกส่งรายงานออกไปยังวิหารของอาณาจักรทวยเทพ
นักบวชชาแมนด์ หรือที่เรียกว่า 'นักบวชหมอผี' จะถูกเรียกแตกต่างกันไปตามพลังของพวกเขาในแต่ละชนเผ่า นักบวชส่วนใหญ่สามารถพบได้ทั่วไปเป็นผู้ที่ใช้พลังวิญญาณช่วยเยียวยารักษาบาดแผล ขณะที่หมอผีคือผู้เชี่ยวชาญในด้านคำสาปและพลังต่อสู้ที่พิศดารซึ่งต้นกำเนิดของพลังนั้นเกิดขึ้นจากพลังจิตวิญญาณภายในร่างกาย
ตัวตนของพวกเขาจึงถูกบูชาจากทุกคนในเผ่า แม้ในตำแหน่งของนักบวชอาจอยู่รองลงมาจากหัวหน้าเผ่าแต่ไม่มีใครสามารถดูหมิ่นพวกเขาได้เช่นกัน
หากคุณมีเพียงนักรบที่เต็มไปด้วยพละกำลังคุณอาจต่อสู้กับทุกสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ได้แต่ถ้าคุณพบกับพลังที่ไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยมือเปล่า เช่นคำสาปแช่งล่ะ?
ดังนั้นพลังต่อสู้ของนักรบและความสามารถทางด้านจิตวิญญาณจากนักบวชจึงเป็นตัวแปรที่สำคัญอย่างมากต่อทุกชนเผ่าบนแผ่นดินเมอร์ทาดัส ยิ่งนักบวชของพวกเขามีพลังสูงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งสร้างอำนาจให้แก่เผ่าได้มากขึ้นเท่านั้น
นักบวชตามเผ่าเล็กๆส่วนใหญ่จะมีเพียงพลังวิญญาณระดับต่ำและการรักษาบาดแผลที่ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพซึ่งไม่อาจเทียบได้กับนักบวชที่คอยปกครองตามดินแดนต่างๆหรือแม้แต่เหล่านักบวชจากวิหารบาร์บาโรส
เคยมีข่าวเล็ดลอดออกมาว่ามหาปุโรหิตที่พำนักในวิหารสามารถใช้พลังแห่งการทำนายอนาคตได้และมีความแม่นยำเหมือนสิ่งนั้นเกิดขึ้นต่อหน้าเขาทำให้ใครหลายคนต่างพากันเคารพเขาเป็นอย่างมาก
แต่เหล่านักบวชหมอผีที่ทรงพลังก็ไม่อาจรับมือกับกำลังของสิ่งมีชีวิตที่โหดร้ายเช่นสัตว์อสูรวิญญาณบนแผ่นดินได้เพียงลำพังดังนั้นจึงเกิดนักรบผู้พิทักษ์ที่มีความสามารถด้านการต่อสู้ขึ้นมา
เหล่านักรบดั้งเดิมในยุคดึกดำบรรพ์เป็นเพียงผู้คนชาวเผ่าธรรมดาที่ต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดแต่หลังจากที่สิ่งมีชีวิตจำพวกอสูรวิญญาณถูกปลุกขึ้นมาทำให้ผู้คนต่างพ่ายแพ้ต่ออำนาจของพวกมันและล้มตายไปเป็นจำนวนมาก
เมื่อเวลาผ่านไปแผ่นดินเมอร์ทาดัสก็ได้ให้กำเนิดเผ่าพันธ์มนุษย์ที่มีสายเลือดของทวยเทพเพื่อสร้างสมดุลให้แก่โลกใบนี้เพื่อคอยยับยั้งภัยพิบัติที่เกิดจากอสูรวิญญาณที่ไม่สามารถควบคุมได้
ผู้สืบทอดเชื้อสายของเลือดเทพเจ้าจะเต็มไปด้วยพลังต่อสู้ที่รุนแรงและทรงพลังร่างกายของพวกเขาจะทนทานแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ทั่วไปบางคนอาจมีความสามารถพิเศษหลากหลายที่สร้างความเสียหายได้เป็นอย่างดีและถูกเรียกขานกันต่อมาในนามของ 'อัศวินผู้พิทักษ์'
นักรบเหล่านี้จะถูกแต่งตั้งให้ขึ้นเป็นหัวหน้าเผ่าโดยตามธรรมชาติจากพลังของพวกเขาเป็นตัวแทนแห่งชัยชนะที่จะนำพาเผ่าไปสู่ความรุ่งเรือง หากรวมเข้ากับพลังของนักบวชระดับสูงด้วยแล้วการกลายเป็นชนเผ่าทรงอำนาจที่สุดในดินแดนก็อาจไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป
แต่ด้วยกาลเวลาที่ล่วงเลยผ่านไปทำให้สายเลือดที่บริสุทธิ์ของนักรบทวยเทพได้ลดจำนวนลงไปอย่างรวดเร็ว ส่วนผู้ที่หลงเหลือส่วนใหญ่จะเลือกเข้าไปใช้ชีวิตในอาณาจักรทวยเทพดินแดนที่มีพลังและยิ่งใหญ่มากที่สุดบนแผ่นดินเมอร์ทาดัส
ด้วยเหตุนี้ตัวตนของนักรบผู้พิทักษ์และนักบวชจึงมีความสำคัญอย่างมากต่อผู้คนทั่วไปไม่อาจดูหมิ่นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้อย่างเด็ดขาด
การสร้างสรรค์งานเป็นเรื่องยาก
ส่งกําลังใจให้กันด้วยนะ!