ราชันเร้นลับ 60 : แผ่นศิลาเย้ยเทพที่สอง
“ไม่มีปัญหา”
ไคลน์พยายามกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่สั่นคลอน จากนั้นก็ใช้ศอกซ้ายเท้าบนที่พักแขน และนำปลายนิ้วข้างเดียวกันวางบนหน้าผาก แสร้งว่ากำลังตั้งใจฟัง
อัลเจอร์เรียบเรียงคำพูดก่อนจะกล่าว
“อันทีโกนัสคือชื่อของตระกูลเก่าแก่โบราณ ประวัติศาสตร์ของพวกมันเริ่มขึ้นในยุคแห่งหายนะซึ่งเกิดก่อนยุคสมัยที่สี่ และยังมีความเกี่ยวพันกับแผ่นศิลาเย้ยเทพที่สอง”
แผ่นศิลาเย้ยเทพที่สอง?
มีแผ่นที่สองด้วยหรือ? แล้วมีทั้งหมดกี่แผ่นกันแน่?
นัยน์ตาไคลน์พลันหดลีบ ร่างกายเกือบเสียอาการ
จากบทสนทนาระหว่างแฮงแมนและจัสติสในครั้งก่อนหน้า มันได้ยินว่า แผ่นศิลาเย้ยเทพคือสิ่งที่บรรจุยี่สิบสองเส้นทางสู่การเป็นเทพไว้
ของแบบนั้นมีถึงสองอัน… หรืออาจมากกว่า?
ยี่สิบสองเส้นทางแห่งเทพ… ผู้วิเศษยี่สิบสองเส้นทาง
สองสิ่งนี้จะเป็นเรื่องเดียวกันรึเปล่า?
ผู้วิเศษทุกเส้นทางสามารถกลายเป็นเทพในท้ายที่สุดอย่างนั้นหรือ?
แผ่นศิลาเย้ยเทพที่สองได้ทำให้ความคิดของไคลน์เริ่มฟุ้งซ่าน หากไม่เพราะมีหมอกหนาทึบบดบังตนไว้ อากัปกิริยาที่เสียอาการคงถูกมิสผู้ชมสังเกตเห็นไปแล้ว
ส่วนเรื่องยุคแห่งหายนะ สำหรับตัวมันที่เป็นนักศึกษาประวัติศาสตร์ย่อมคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะนั่นคืออีกชื่อหนึ่งของยุคสมัยที่สาม
จากการทบทวนความจำด้านประวัติศาสตร์เมื่อคืนก่อน ยุคสมัยที่สามนั้นถูกแบ่งออกเป็นสองช่วง คือยุครุ่งเรืองและยุคหายนะ
“แผ่นศิลาเย้ยเทพที่สองงั้นหรือ?”
ออเดรย์แสดงความไม่รู้ออกมาอย่างซื่อตรง แต่เมื่อตระหนักได้ หล่อนเริ่มเก็บอาการและกลับเข้าสู่ภาวะผู้ชมตามเดิม
ถามได้ดีมากมิสจัสติส! ไคลน์ชมเชยในใจ
ในฐานะเดอะฟูล หากตนถามออกไปจะส่งผลให้เสียภาพลักษณ์เสียหาย
อัลเจอร์แอบชำเลืองเดอะฟูลด้วยหางตา เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เปลี่ยนท่าทีหรือส่งเสียงประหลาดใจ มันจึงเริ่มเล่าต่อ
“แผ่นศิลาเย้ยเทพแรกปรากฏในยุคสมัยแห่งความมืด หรือรู้จักกันในชื่อยุคสมัยที่สอง ช่วงเวลาที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ต้องดิ้นรนอย่างยากลำบากโดยมีเทพคอยให้ความช่วยเหลือ”
“ส่วนแผ่นศิลาเย้ยเทพที่สองปรากฏตัวปลายยุคสมัยที่สาม กล่าวกันว่า มันคือตัวแทนของความหายนะในยุคสมัยนั้น”
“มีเพียงเจ็ดโบสถ์หลักเท่านั้นที่ทราบเนื้อหาบนศิลาเย้ยเทพทั้งสองแผ่น ตัวผมมีข้อมูลเพียงหางอึ่ง ทราบแค่ว่าเป็นแผ่นศิลาจารึกยี่สิบสองเส้นทางสู่การเป็นเทพเหมือนกัน แต่ไม่ทราบความแตกต่างที่ชัดเจน”
“แล้วศิลาเย้ยเทพที่จักรพรรดิโรซายล์เคยเห็นเป็นแผ่นที่หนึ่งหรือสองคะ?”
ออเดรย์ถามใคร่รู้
เมื่อได้ยินประโยคนี้เข้า ไคลน์พลันฉุกคิดได้ วันแรกที่แฮงแมนพูดคุยกับจัสติสเรื่องโอสถ มันระบุชัดเจนว่าชื่อของโอสถมีต้นตอมาจากแผ่นศิลาเย้ยเทพ
สอดคล้องกับที่หัวหน้าดันน์เคยเล่าว่า ระบบโอสถในปัจจุบันสมบูรณ์ได้เพราะการเสียสละของบรรพบุรุษและการปรากฏตัวของศิลาเย้ยเทพ…
ถ้าอย่างนั้นก็แน่ชัดแล้วว่า โอสถทุกเส้นทางจะนำไปสู่ความเป็นเทพในตอนสุดท้าย
ชายหนุ่มตอบคำถามแรกของตัวเองในใจ
อัลเจอร์ตอบสั้นห้วน
“แผ่นที่สอง”
หลังจากได้รับคำตอบ สีหน้าออเดรย์กลับเป็นปรกติ มิได้ต้องการทราบสิ่งใดเพิ่มเติม เธอเข้าสู่ภาวะผู้ชมและคอยจับตามองแฮงแมนต่อ
แน่นอน การถูกเพ่งพินิจจากผู้ชมไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีนัก อัลเจอร์พยายามข่มจิตใจมิให้โกรธเคือง มันทราบว่าเธอไม่มีเจตนาร้าย
“ระหว่างที่ราชวงศ์โซโลม่อนครองความยิ่งใหญ่ในยุคสมัยที่สี่ แม้ตระกูลอันทีโกนัสจะมีชื่อเสียงในหมู่ชนชั้นสูง แต่พวกมันกลับไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอันเลยสักครั้ง จนกระทั่งกลายเป็นกำลังสำคัญในการก่อตั้งจักรวรรดิทูดอร์ นับแต่นั้น พวกมันจึงกลายเป็นตระกูลใหญ่แห่งทวีปเหนืออยู่นาน”
“ในช่วงเวลาดังกล่าว ตระกูลใหญ่ประจำทวีปอย่างอันทีโกนัส อามุนด์ อับราฮัม เจคอป รวมถึงตระกูลชนชั้นสูงอีกมากในยุคสมัยนั้น ทั้งหมดคือขุมกำลังสำคัญของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในยุคสมัยที่สี่”
“ทว่า หลังจาก ‘สงครามสี่จักรพรรดิ’จบลงด้วยความตายของจักรพรรดิโลหิตแห่งทูดอร์ จุดยืนของตระกูลอันทีโกนัสเริ่มเกิดการสั่นคลอนทันที พวกมันไม่ใช่ตระกูลชนชั้นสูงอีกต่อไป และถูกเทพเจ็ดตนตามล่าในที่สุด”
“ผมไม่แน่ใจในเหตุการณ์หลังจากนี้มากนัก ทราบอีกทีก็คือ ตระกูลอันทีโกนัสถูกทำลายอย่างสิ้นซากด้วยฝีมือโบสถ์เทพธิดารัตติกาล มิสเตอร์ฟูล หากท่านต้องการทราบข้อมูลที่ละเอียดกว่านี้ เกรงว่าต้องติดต่อกับโบสถ์เทพธิดาเท่านั้น หรือไม่ก็องค์กรลับโบราณสองถึงสามฝ่ายที่อาจมีข้อมูล ท่านคงทราบดีอยู่แล้วว่าผมหมายถึงองค์กรใด”
ตูไม่ทราบ…
ไคลน์พยักหน้าแสร้งเข้าใจ
“อา…”
หนึ่งในนั้นอาจเป็นลัทธิเร้นลับที่กำลังตามล่าสุดบันทึก… อีกหนึ่งอาจเป็นนิกายมอสส์ที่หัวหน้าดันน์และลุงนีลล์เล่าให้ฟัง
อันสุดท้าย ไม่แน่ใจว่าจะรวมถึงสมาคมแปรจิตด้วยหรือไม่…
ขณะไคลน์กำลังไตร่ตรองถึงความน่าจะเป็น อัลเจอร์ได้กล่าวข้อมูลส่วนสุดท้ายที่มันทราบออกมา
“ผมไม่ทราบว่าตระกูลอันทีโกนัสถือครองโอสถเส้นทางใดไว้ แต่ในประวัติศาสตร์อันยาวนาน นิยามที่ผู้คนใช้อธิบายถึงตระกูลอันทีโกนัสจะมีเพียงสองคำเท่านั้น… “คือ‘ประหลาด’และ‘น่าหวาดกลัว’”
ประหลาดและน่าหวาดกลัว…
เมื่อหวนนึกถึงสมุดบันทึกเล่มดังกล่าว หวนนึกถึงชะตากรรมที่ไคลน์และเพื่อนร่วมชั้นต้องเผชิญ ความตายของมารดารีเอล·บีเบอร์ นิยามที่ว่าค่อนข้างตรงเลยทีเดียว
ไคลน์เริ่มเคาะโต๊ะเพื่อส่งสัญญาณ เมื่อเห็นแฮงแมนและจัสติสยังคงเงียบงัน มันเป็นฝ่ายเปิดปากพูด
“ยอดเยี่ยมมาก เป็นการชดเชยที่เราพึงพอใจทีเดียว”
สาเหตุที่ไคลน์ใช้นิ้วเคาะโต๊ะส่งสัญญาณก่อนเริ่มทำบางสิ่งทุกครั้ง เพื่อให้แฮงแมนและจัสติสเข้าใจว่าตนมีนิสัยชอบเคาะนิ้ว
จะได้กลบเกลื่อนการเปิดปิดภาวะเนตรวิญญาณที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ”
อัลเจอร์มิได้กล่าวสิ่งใดต่อ
ออเดรย์มองสลับไปมาระหว่างแฮงแมนกับเดอะฟูล เธออมยิ้มเล็กน้อย
“ขอถามคำถามที่สองต่อเลยนะคะ…”
“โอสถเส้นทางผู้ชมลำดับถัดไปมีชื่อว่าอะไรบ้าง? แล้วฉันจะหาเบาะแสได้จากที่ใด?”
เฮ่อ…
อยากถามตรงไปตรงมาแบบนี้ได้บ้างจัง
ไคลน์ตัดพ้อ มันทำเพียงชำเลืองสายตาไปมองแฮงแมน
อัลเจอร์เงียบงันสักพัก
“ผมจะบอกให้ก็ได้ ในฐานะที่เป็นผู้ชักนำคุณให้มาอยู่บนเส้นทางนี้ โอสถลำดับแปดของเส้นทางผู้ชมมีชื่อว่า ‘นักอ่านใจ’ ส่วนลำดับเจ็ด ชื่อโบราณของมันคือ ‘นักจิตวิเคราะห์’ แต่ปัจจุบันถูกเปลี่ยนเป็น‘นักจิตบำบัด’”
“ข้อมูลเหล่านี้มาจากปากสมาชิกคนหนึ่งของสมาคมแปรจิต ผมคิดว่าพวกมันคงครอบครองโอสถเส้นทางนี้ไว้”
สมาคมแปรจิต…
ผู้สื่อวิญญาณดาลี่ย์เคยใช้วิธีสอบสวนของสมาคมแปรจิตกับเรา แต่หัวหน้าดันน์กลับบอกว่าพวกมันคือสมาคมเสียสติและชั่วร้าย…
ไคลน์นั่งเก็บข้อมูลอย่างตั้งใจ
“คุณทราบที่อยู่ปัจจุบันของสมาชิกสมาคมแปรจิตไหมคนดังกล่าวไหมคะ?”
ออเดรย์ถามด้วยสีหน้าคาดหวัง
ไม่ว่าจะนักอ่านใจหรือนักจิตบำบัด ชื่อของพวกมันช่างน่าหลงใหลสำหรับเธอ
อัลเจอร์หัวเราะเสียงค่อย มันไม่ได้แสดงท่าทีเช่นนี้บ่อยนัก
“ต้องทราบอยู่แล้วครับ… หมอนั่นกำลังนอนจมก้นทะเลแถวๆ มหาสมุทรโซเนียร์ ผมเป็นคนจมเรือของมันกับมือ”
“หากคุณต้องการทราบเบาะแสเพิ่มเติมของสมาคมแปรจิตที่เหลือ คงต้องขอแสดงความเสียใจล่วงหน้า ผมได้ทำลายเบาะแสเดียวที่มีทิ้งไปแล้ว”
มันไม่กังวลว่าตัวจริงจะถูกเปิดเผย สาเหตุเพราะอัลเจอร์ทำการจมเรือลำดังกล่าวในที่ลับตาคน ไม่มีใครทราบแน่นอนว่าเป็นฝีมือกัปตันเรือคนใด
“จมไปแล้ว…”
ออเดรย์กระอักกระอ่วน เธอสานต่อบทสนทนาไม่ถูก
เด็กสาวผมทองสูดลมหายใจหนึ่งฟอดใหญ่โดยไม่รู้ตัวว่าหลุดจากภาวะผู้ชมอีกครั้ง
“คำถามที่สาม… อ…เอ่อ สมมตินะคะ จะเกิดอะไรขึ้นหากสัตว์ธรรมดาดื่มโอสถลำดับเก้าเข้าไป?”
นี่มัน… คำถามบ้าบออะไรกัน?
ไคลน์แอบเคาะหว่างคิ้วเข้าสู่ภาวะเนตรวิญญาณ ทันใดนั้น มันมองเห็นความเปลี่ยนแปลงทางออร่าด้านอารมณ์ของจัสติส
กระวนกระวาย ประหม่า และอับอาย
เธอเผลอทำอะไรโง่ๆ ลงไปอย่างนั้นหรือ? ไคลน์ฉงนเล็กน้อย แต่ก็ไม่มองเป็นเรื่องประหลาดนัก เพราะทั้งสองการชุมนุมที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่า สมองของมิสจัสติสค่อนข้างกลวง
แฮงแมน·อัลเจอร์ มันผงะไปเช่นกัน ก่อนจะมอบคำตอบในอีกหลายวินาทีถัดมา
“สัตว์ทั่วไปที่มีสติปัญญาต่ำจะไม่สามารถเข้าฌานเหมือนมนุษย์ได้ ด้วยเหตุนี้ พวกมันจะเสียชีวิตทันทีหรือไม่ก็กลายเป็นสัตว์ประหลาดคลุ้มคลั่ง ทว่า หากสัตว์ดังกล่าวรอดชีวิตมาได้ มีโอกาสสูงที่มันจะกลายเป็นสัตว์วิเศษตามชนิดโอสถที่ดื่มเข้าไป ถ้าโอสถช่วยเพิ่มสติปัญญา มันอาจกลายเป็นสัตว์ที่ฉลาดจนถึงขั้นพูดได้”
“ขอบคุณค่ะ”
ออเดรย์ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ดิฉันไม่มีคำถามแล้ว”
อัลเจอร์ครุ่นคิดครู่หนึ่ง มันชั่งใจว่าจะไต่ถามถึงชุมนุมแสงเหนือและผู้สดับดีไหม แต่ท้ายที่สุดก็เลือกจะเงียบไว้
“ผมก็เช่นกัน”
“แต่เรามีบางสิ่ง”
ไคลน์กล่าวโดยไม่เปลี่ยนอิริยาบถ
“ซึ่งต้องการความร่วมมือจากพวกเจ้า”
ชายหนุ่มยังไม่ออกจากภาวะเนตรวิญญาณ มันจึงมองเห็นอารมณ์หวาดผวาเล็กๆ จากแฮงแมน ส่วนมิสจัสติสนั้นเบาปัญญาเกินกว่าจะตกใจกลัว
ไคลน์รีบแจ้งล่วงหน้าเพื่อให้ทั้งสองสบายใจ
“ไม่ต้องห่วง เป็นการรบกวนเพียงเล็กน้อย และจะส่งผลดีกับพวกเจ้าแน่นอน คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงไปสักเท่าไร”
“เชิญว่ามาได้เลยค่ะ”
ออเดรย์กลับเข้าภาวะผู้ชมอีกครั้ง แต่เธอมิอาจมองทะลุเข้าไปในหมอกหนาที่ล้อมรอบตัวเดอะฟูลได้
“สุดแล้วแต่ท่าน”
อัลเจอร์ขานรับ
ไคลน์อมยิ้มก่อนเริ่มอธิบาย
“ก่อนหน้านี้ เราเคยบอกไปแล้วว่า จะหาทางทำให้พวกเจ้าแจ้งข่าวล่วงหน้าหากไม่ว่างเข้าร่วมชุมนุม”
“ด้วยวิธีที่เราคิดค้นขึ้น หากพวกเจ้าเกิดติดธุระด่วนในวันจันทร์บ่ายสามโมง สามารถแจ้งล่วงหน้าโดยไม่จำเป็นต้องขังตัวเองในห้องอีกต่อไป”
“แบบนั้นเยี่ยมเลย!”
ออเดรย์เริ่มคลายปมคิ้วที่ขมวด
อัลเจอร์ถามสงสัย
“ท่านจะให้เราทำสิ่งใดหรือ?”
“สามารถทำได้เองที่บ้าน ค่อยทดลองทำเวลาว่าง ไม่ต้องมากพิธีการนัก ขอเพียงไม่ถูกใครรบกวนก็พอ…”
“ก่อนอื่น เตรียมเทียนไขและเชิงเทียนไว้ทั้งหมดสี่ชุด หากเป็นเทียนกลิ่นไม้จันทน์จะดีมาก เริ่มด้วยการใส่เทียนลงบนเชิงและจุดไฟ จากนั้นก็นำไปวางไว้ที่สี่มุมห้อง ถัดมา วางถาดขนมปังขาวไว้ข้างเทียนมุมซ้ายบน วางถาดบะหมี่เฟเนพ็อตไว้ข้างเทียนมุมขวาบน วาดถาดปาเอย่าไว้ข้างเทียนมุมซ้ายล่าง และวางถาดพายเดซี่ไว้ข้างเทียนมุมขวาล่าง… หลังนั้นก็ลงมือสร้างกำแพงวิญญาณด้วยมีดเงิน”
ไคลน์อธิบายวิธีสร้างกำแพงวิญญาณให้มิสจัสติสฟัง แต่ขั้นตอนถูกปรับแต่งเล็กน้อยโดยตัวมันเอง
อันที่จริง วิธีการข้างต้นไม่จำเป็นเลยสักนิด เพราะในทางศาสตร์พิธีกรรมเวทมนตร์ ขั้นตอนดังกล่าวมีไว้เพื่อ‘ดึงความสนใจ’จากตัวตนลึกลับหรือเทพทั้งเจ็ด เช่นการใช้เทียนกลิ่นที่เทพธิดาชอบ เพื่อหยิบยืมพลังจากเทพธิดา
ทว่า พิธีกรรมในคราวนี้ชี้ตรงมายังตน เครื่องเซ่นสังเวยจึงไม่จำเป็นเลยสักนิด แต่มันพยายามทำให้อลังการและซับซ้อนเข้าไว้ ตัวมันในสายตาจัสติสและแฮงแมนจะได้ดูยิ่งใหญ่
แถมหลักปฏิบัติดังกล่าวยังขัดต่อความเชื่อเรื่องตัวเลขนำโชคที่ลุงนีลล์สอน หลักที่ว่า เทียนสองเล่มหมายถึงองค์เทพ
“…ผสมบุปผาจันทรา มินท์ทอง บุปผาหลับใหล ตะไคร้หอม และกุหลาบหิน เข้าด้วยกัน จากนั้นก็กลั่นออกมาเป็นสารสกัดของเหลว เมื่อเสร็จขั้นตอน ให้ลงมือหยดสารสกัดลงบนเทียนไขในแต่ละมุมของห้อง…”
หลังจากออเดรย์จดจำขั้นตอนทั้งหมดที่มิสเตอร์ฟูลอธิบายทั้งหมด เธอรีบเอ่ยปากถามด้วยสีหน้าใคร่รู้
“แล้วคาถาล่ะคะ? พวกเราต้องท่องคาถาแบบใด?”
อัลเจอร์ที่กำลังจดบันทึกด้วยปากกาหมึกซึมมีอันต้องหยุดเขียน มันเงยหน้าชำเลืองมองเดอะฟูลอย่างสนใจ
ไคลน์ที่ร่างกายโอบล้อมด้วยหมอกสีเทาหนาทึบ มันเคาะโต๊ะเบาๆ ก่อนจะกล่าวเป็นภาษาเฮอร์มิสด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยียบ
“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย ผู้ปกครองลึกลับเหนือห้วงสายหมอกเทา ราชันย์เหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภ…”
........................