Download App
56.41% รักครั้งใหม่... ขอไม่ออกแบบ / Chapter 44: สิ่งที่ค้างคาใจ

Chapter 44: สิ่งที่ค้างคาใจ

ผมกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะไม้ตัวยาวซึ่งตั้งอยู่บริเวณชานระเบียงหน้าบ้าน พลางจ้องสองหนุ่มพ่อลูกที่กำลังซ่อมชิงช้าไม้อย่างขะมักเขม้นอยู่ตรงมุมรั้วของบ้าน โดยมีลูกสาวกับหลานสาวของเจ้าของบ้านยืนเชียร์กันอยู่

นานเท่าไหร่แล้วหนอที่ผมไม่ได้เห็นพ่อลูกคู่นี้เขาสามัคคีช่วยกันทำอะไร

แต่มองไปมองมาดูเหมือนว่าหนุ่มสาวทั้งสี่คนนั่นจะเริ่มถกเถียงกันแล้วเสียมากกว่า ต่างคนต่างออกความเห็นเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว ผมนั่งอยู่นับว่าไกลจากตรงนั้นพอควรยังได้ยินที่พวกเขาคุยกันเลย

เฮ้อ ชักสงสัยเสียแล้วสิ วันนี้ชิงช้าไม้นั่นจะสำเร็จไหม

"คุณเซนซ่อมเป็นแน่หรือคะ เดี๋ยวชั้นตามช่างมาซ่อมวันหลังดีกว่าไหมคะ" เสียงคุณลินเขาออกแนวไม่ค่อยมั่นใจนัก

"อูย แค่เชือกมันหลุดจากแผ่นไม้เท่านั้นเอง ผมตอกตะปูสองสามทีก็เข้าที่แล้ว" แต่ลูกชายของผมเขามั่นอกมั่นใจ

"คราวนี้น้าเซนต้องทำให้มันแข็งแรงเลยนะคะ น้าลินเขาชอบแกว่งชิงช้าแบบผาดโผนแรงๆ เชือกมันเลยขาด" หนูลิสาเขาเสริมขึ้น

"แหม ชอบแนวผาดโผนก็ไม่บอก"

ผมเห็นเจ้าเซนทำตาเล็กตาน้อยหยอกล้อใส่คุณลินเขา เอ สองคนนี่เขาดูสนิทสนมกันขึ้นทุกวัน

"คุณเซน! อย่ามา เมื่อกี้ตอนแรกมันยังไม่ขาดถึงขนาดนี้ พอคุณเซนมานั่งปุ๊บมันก็ขาดผึงเลยนะคะ"

"ผมก็เตือนพ่อแล้วนะฮะ ว่าอย่าแกว่งแรง พ่อไม่เชื่อกันบ้างเลย" หลานชายบ้านโน้นเขาเข้าข้างสาวบ้านนี้

"แต่ลิสาเชื่อว่าน้าเซนซ่อมได้แน่นอน สู้สู้ค่ะ" ส่วนหลานสาวคนสวยบ้านนี้ก็เข้าข้างลูกชายบ้านโน้น

"อย่าเพิ่งตื่นเต้นกันครับ คอยดูฝีมือผมก็แล้วกันครับทุกคน"

เซนเขาทำได้ ผมรู้...

ผมรู้ว่าลูกทำอะไรหลายๆอย่างด้วยตนเองเป็น เซนเขาถูกฝึกมาอย่างดีจากบ้านคุณตาคุณยายของเขาที่ญี่ปุ่น ลูกผมซ่อมแซมของทุกอย่างในบ้านได้ และก็ทำอาหารญี่ปุ่นได้ดีด้วย เพียงแต่ว่าตอนที่กลับมาอยู่ไทยนี่ เขางานยุ่งมาก ไม่ค่อยมีเวลา แล้วอีกอย่างบ้านเราก็มีคุณมะพร้าวจัดการทุกอย่างให้แล้ว

พ่อตาผมเขาชอบทำเฟอร์นิเจอร์ใช้เองในบ้าน ถึงขั้นต่อโต๊ะตู้เตียงไว้ใช้เอง เซนได้วิชาพวกนี้มาไม่น้อย และเพราะมีฝีมือขั้นพื้นฐานแบบนี้ ตอนลูกผมเข้าทำงานบริษัทเฟอร์นิเจอร์ที่ญี่ปุ่น เซนเขาถึงเป็นที่ยอมรับจากหลายๆฝ่าย

"มีลิ้นชักตู้เสื้อผ้าที่มันติดอยู่ดึงไม่ออกน่ะค่ะ น้าเซนช่วยดูให้ด้วยได้ไหมคะ"

หนูลิสาดูท่าทางจะดีใจที่มีคนมาช่วยงานการภายในบ้าน เด็กผู้หญิงคนนี้พูดจาดูเป็นผู้ใหญ่เกินตัว เท่าที่ผมสังเกตดู เหมือนหลานจะเป็นคนคอยดูแลทุกอย่างในบ้านนี้ด้วย

"อ้อ เอ้อ ท่อน้ำตรงอ่างล้างจานหลังบ้านมันก็ตันบ่อยๆค่ะ หลอดไฟในห้องทานข้าวก็เสียอยู่สองดวง ตู้กับข้าวในครัวก็โย้เย้ยังไงไม่รู้" แล้วหนูลิสาเขาก็เริ่มร่ายรายการซ่อมแซมยาวเหยียด

ฮึ ฮึ เจ้าเซนได้แสดงฝีมือช่างเต็มที่แน่ๆวันนี้

บ้านนี้เขาอยู่กันตามลำพังพวกผู้หญิงล่ะนะ นานๆทีมีแรงงานผู้ชายที่ไว้ใจได้มาช่วย เขาก็คงรู้สึกดีกัน นี่ดีนะที่เราเผื่อเวลาโดยมาถึงบ้านนี้กันตั้งแต่บ่ายๆ เพราะเจ้าเรนเขาบอกแต่แรกแล้ว ว่าอยากให้พ่อมาช่วยซ่อมชิงช้าไม้ให้หนูลิสา…

วันนี้เราพากันมาที่บ้านของลลนา ความจริงเขาชวนพวกเราไปเลี้ยงขอบคุณที่ร้านอาหารเนื่องจากที่ผมให้เขายืมเก้าอี้รถเข็นและเจ้าเรนช่วยอุ้มเขาที่หัวหิน แต่เจ้าเซนเกิดนึกอะไรขึ้นไม่รู้ อยากจะใช้โอกาสนี้โชว์ฝีมือการทำอาหารอิตาเลี่ยน ลูกชายผมเขาให้เหตุผลว่า กำลังอยากจะเลี้ยงอาหารครอบครัวนี้อยู่พอดีด้วยเหมือนกัน เพื่อขอบคุณที่คุณลินเขาช่วยดูแลเจ้าเรนให้หัดทำงาน สุดท้ายลลนาเขาเลยเชิญลูกชายผมมาทำครัวที่บ้านเขา เพราะบ้านนี้เขากินอาหารฝรั่งกันบ่อย มีเครื่องปรุงรสอยู่ครบ

แต่นี่ผมก็เพิ่งรู้ ว่าเซนเขาทำอาหารอิตาเลี่ยนเป็นด้วย ผมถามเขา เขาก็ไม่ยอมบอกว่าไปหัดทำมาจากไหน จนเจ้าหลานชายแอบมากระซิบว่าเขากับพ่อช่วยกันดูสูตรจากยูทูป อ้อ นี่พ่อลูกเขาสามัคคีกันตั้งแต่เมื่อไหร่ แถมวันนี้เมื่อตอนบ่ายสองพ่อลูกก็ออกไปซูเปอร์มาร์เกตด้วยกันเพื่อไปซื้อของสดสำหรับทำอาหารมื้อนี้ ก่อนจะแวะกลับมารับผมที่บ้านเพื่อมาบ้านของลลนากัน

ผมว่าตั้งแต่เจ้าเซนกลับมาอยู่บ้าน หลานชายผมก็ดูจะเปลี่ยนไป อาการต่อต้านพ่อตอนแรกๆหายไปเยอะ ผมเองเข้าใจว่าหลานคงห่างพ่อมานาน น่าจะต้องใช้เวลาปรับตัว แต่ก็ไม่นึกว่าสองพ่อลูกนี่เขาจะปรับตัวกันเร็วกว่าที่ผมคิดไว้ ยิ่งเมื่อได้เข้าไปช่วยพ่อทำงานที่บริษัท เจ้าเรนก็ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเยอะ

นึกไปถึงเมื่อสามสี่เดือนก่อน ตอนนั้นเจ้าหลานชายคนนี้ยังร้องไห้โฮน้อยใจพ่อเพราะพ่อจำวันเกิดไม่ได้อยู่เลย หึ หึ วัยสิบห้าสิบหกนี่กำลังเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตเลย จะเป็นเด็กก็ไม่ใช่ จะเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่เชิง การเปลี่ยนคำนำหน้าชื่อจากเด็กชายมาเป็นนายนี่คงทำให้เด็กมันรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงกระมัง

"ราเชนทร์กินขนมรองท้องก่อนไหม ลิสาเขาบอกว่าแม่ของเพื่อนทำเอาไปฝากขายที่ห้าง เขาเลยไปซื้อมาให้ชิมกัน"

ลลนาเดินถือจานขนมออกมาวางที่โต๊ะ ตามหลังมาก็เป็นแม่บ้านซึ่งยกเซตของถ้วยน้ำชากาแฟมาเสิร์ฟ

"ได้ยินเสียงยัยลิสาแว่วๆว่าจะให้คุณเซนเขาไปซ่อมโน่นซ่อมนี่อีกเยอะแยะ เฮ้อ เด็กอะไร ไม่รู้จักเกรงอกเกรงใจผู้ใหญ่บ้าง"

"ปล่อยหนูลิสาเค้าเถอะ นานๆทีจะมีคนมาช่วยดูโน่นดูนี่ให้ เจ้าเซนมันทำได้ทุกอย่างล่ะ"

ผมเอื้อมมือไปหยิบขนมมาชิม ขนมไทยๆที่หากินยากทั้งนั้น อร่อยดีเสียด้วย เจ้าลูกชายกับหลานชายผมเค้าน่าจะชอบ โดยเฉพาะเจ้าเรน รายนั้นชอบกินขนมไทย ไม่รู้ได้ไปหาลองกินมาจากไหน แต่ของเจ้านี้เขาอร่อยจริงๆ สงสัยจะต้องถามหนูลิสาเสียแล้วว่าซื้อมาจากร้านไหน

"กว่าจะได้เข้าครัวทำกับข้าวกันไม่รู้จะกี่โมงกี่ยาม นั่นซ่อมชิงช้ากันจริงๆรึ ดูเหมือนจะมัวแต่หยอกล้อเล่นกันเสียมากกว่า"

"ลลนา... เธอนี่ช่างตำหนิติเตียนเหมือนเดิมเลยนะ" ผมเอ่ยยิ้มๆมองไปยังผู้หญิงที่กำลังหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้ข้างๆ

เกือบสี่สิบปีแล้วสินะที่เราไม่เคยได้คุยกันเลย ทั้งๆที่เราต่างก็ใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพเหมือนกัน และบ้านของเราทั้งคู่ก็ไม่ไกลจากกันมากเท่าไหร่

"แต่เธอเปลี่ยนไปมากนะราเชนทร์ เมื่อก่อนเธอเป็นคนเงียบกว่านี้เยอะ"

ลลนาเขาไม่ได้ปฏิเสธคำกล่าวหาของผมเรื่องเขาขี้บ่น หากกลับมาตั้งข้อสงสัยผมแทน

"อ้าว แก่ตัวลง ก็ต้องปลงมากขึ้นเป็นธรรมดา" ผมหัวเราะน้อยๆ

แต่สำหรับผม ไม่ว่ากี่ปีจะผ่านไป ลลนาไม่เคยเปลี่ยนไปเลย เธอยังสวยทันสมัยเหมือนเดิม แล้วท่าทางไว้ตัวนั่นก็ยังเหมือนเดิม

ในสมัยนั้นการได้ควงกับคนสวยระดับดาวโรงเรียนนี่ทำเอาเพื่อนๆอิจฉาผมกันเป็นแถว แถมสาวเจ้ายังเป็นคุณหนูลูกสาวอดีตนักการทูตชื่อดังและเป็นรุ่นพี่เสียด้วย

ผมภูมิใจในตัวเขาเสมอมา รู้ว่าในที่สุดลลนาเขาจะประสบความสำเร็จมีวันนี้ได้ เขาเป็นคนเก่งและเป็นคนมั่นใจในตัวเองมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว

หากลลนาพูดยังไม่ทันขาดคำ กลุ่มหนุ่มสาวเสียงดังเค้าก็ผละจากชิงช้าไม้แล้วพากันเดินตรงมาทางนี้

"อ้าว ซ่อมชิงช้าเสร็จกันแล้วหรือ" ผมเอ่ยทักไป

"เรียบร้อยค่ะ เดี๋ยวจะพาน้าเซนไปดูท่อน้ำตรงอ่างล้างจานในครัวที่มันชอบตันบ่อยๆ" หนูลิสาเขาช่างจัดการจริงๆ

"ใช้งานสองหนุ่มนี่ให้คุ้มเลยลูก อยู่บ้านขี้เกียจกันเหลือเกิน" ผมแซวหนุ่มๆยิ้มๆ

"พ่อเขาเก่งฮะ เขาทำได้ทุกอย่าง"

เจ้าหลานชายผมเสริมขึ้นมา ผมไม่แน่ใจว่าเจ้าเรนมันชื่นชมพ่อจริงๆ หรือประชด หรือมันกะจะแกล้งพ่อให้ทำงานหนักเพื่อสาวๆบ้านนี้

"นึกไม่ถึงเลยนะคะว่าคุณเซนจะมีฝีมือทางช่างขนาดนี้"

แต่คำชมจากคุณลินนี่ผมว่าเขาชมจากใจจริง ผมเห็นสายตาเขาที่มองไปยังเจ้าเซนนี่ชื่นชมจริงๆ

"ก็ตอนเด็กๆผมต้องเรียนรู้จากคุณตาคุณยายเยอะอยู่ ไม่เหมือนบางคนหรอกครับ ตอนเด็กๆนิสัยไม่ดี เอาแต่ตั้งแก๊งแกล้งเพื่อนที่อ่อนแอกว่า" ลูกชายผมทำหน้าทำตาล้อเลียนไปที่ลูกสาวของเจ้าของบ้าน

แล้วผมก็เห็นคุณลินเอามือตีเผียะเข้าที่ต้นแขนของเจ้าเซนพลางหัวเราะคิกคัก ดูเหมือนเขาจะเข้าใจอะไรกันอยู่แค่สองคน คนอื่นไม่รู้เรื่องด้วย

"เดี๋ยวลินเข้าไปเตรียมของในครัวเลยนะคะแม่ เตรียมไว้ให้พร้อมรอพ่อครัวมาปรุง จะได้ไม่เสียเวลา"คุณลินเขาปรายตามมองไปที่หนุ่มตัวสูงข้างๆ

ผมมองดูความสนิทสนมของคนทั้งคู่ด้วยความสนใจ...

"ราเชนทร์ ไหนๆก็ไหนแล้ว เราต่างก็อายุมากด้วยกันทั้งคู่แล้ว หากเธอด่วนเป็นอะไรไปเสียก่อน ฉันไม่อยากจะต้องคาใจไปจนตาย ฉันขอถามอะไรเธอหน่อยเถอะ"

หลังจากกลุ่มหนุ่มสาวลับสายตาจากเราเข้าไปภายในบ้าน จู่ๆลลนาเขาก็หันมาจ้องหน้าผมตรงๆ ผมรู้ว่าเขาจะถามเรื่องอะไร คงจะเป็นเรื่องที่ค้างคาใจเขามาเกือบสี่สิบปี

ผมเองก็อยากจะถามเขาเรื่องนี้อยู่เช่นกัน...

"งั้นขอผมถามก่อนได้ไหม"

ลลนาขมวดคิ้วทำท่าแปลกใจ เขาคงไม่เคยคิดล่ะสิ ว่าเรื่องนี้มันก็ค้างคาอยู่ในใจของผมมาโดยตลอด

"ทำไมคุณไม่เคยตอบจดหมายผมเลย ผมเฝ้าเขียนถึงคุณอยู่หลายฉบับ เขียนจนได้ข่าวว่าคุณกลับมาเมืองไทยแล้ว" ผมเอ่ยถามออกไปตรงๆอย่างไม่ลังเล

มันทำให้คนตรงหน้าผมเขาเบิกตากว้าง

"ราเชนทร์..."

สีหน้านั้นแสดงความสับสนอย่างลึกซึ้ง ผมเห็นนัยน์ตาคู่นั้นเริ่มจะมีน้ำตาคลออยู่ปริ่มๆ

"เธอนั่นแหละที่ไม่ตอบจดหมายฉัน ฉันก็เฝ้ารอจดหมายจากเธอ แล้วก็เฝ้าเขียนจดหมายถึงเธอจนกระทั่งฉันกลับมาเมืองไทย และได้ข่าวว่าเธอมีแฟนใหม่ไปแล้ว"

"ผมได้ข่าวว่าคุณเองก็ไปมีแฟนใหม่ที่ต่างประเทศเหมือนกัน"

"ไม่จริง ฉันไม่เคยมีคนอื่น ใช่ มีคนมาจีบฉันมากมาย แต่ฉันไม่เคยมองใครเลย"

"ผมเองก็ไม่ได้มีคนอื่น จนกระทั่งผมได้ทุนไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น" ผมตอบเธอไปอย่างหนักแน่น

จริงอยู่ที่ผมอาจหูเบา แต่การที่ลลนาไม่ตอบจดหมายผมเลย จะให้ผมคิดเป็นอื่นไปได้อย่างไร ในสมัยนั้นกว่าจดหมายหนึ่งฉบับจะมาถึงก็กินเวลานานหลายสัปดาห์ ความผิดหวังที่ไม่เคยได้รับจดหมายตอบมันทำให้อดคิดในแง่ลบไม่ได้ ผมล่ะนึกอิจฉาคนสมัยนี้ที่เขาสามารถสื่อสารกันได้อย่างรวดเร็ว ผิดกับในสมัยผมลิบลับ

"มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมเราต่างไม่ได้รับจดหมายของกันและกัน" ผมชักสงสัยเสียแล้ว

ลลนาทำท่านิ่งคิด แล้วเธอก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด

"อา... คงเป็นคุณพ่อฉันสินะที่เก็บจดหมายพวกนั้นเอาไว้ไม่ให้ฉันเห็น และท่านก็คงสั่งให้คนที่บ้านไม่ให้นำจดหมายของฉันไปส่ง"

"ผมรู้ว่าคุณพ่อของคุณหวงลูกสาว แต่นึกไม่ถึงว่าท่านจะกีดกันเราเพียงนี้"

"โธ่ คุณพ่อนะคุณพ่อ…" ลลนาเขานิ่งไป นัยน์ตามีความเจ็บช้ำอยู่เต็มเปี่ยม

ผมเองก็นึกรู้สึกใจหายไม่น้อย รักแรกของเราทั้งสองจบลงโดยที่เราทั้งคู่ไม่ได้เป็นฝ่ายเลือก

"…"

เราทั้งสองต่างนิ่งเงียบจ้องมองกันอยู่พักใหญ่ นัยน์ตาของเราทั้งคู่ต่างมีน้ำตาคลอ

แต่ผมก็ต้องกลับมาอยู่กับปัจจุบัน

"อย่าเสียใจไปเลย เรื่องมันผ่านไปนานแล้ว ถือเสียว่าเป็นเรื่องของโชคชะตาก็แล้วกันนะลลนา ดูสิ ตอนนี้เราทั้งคู่ต่างก็มีลูกหลานที่น่ารักกันแล้ว"

"ก็จริงของเธอ ถึงแม้เราจะได้ครองคู่กัน มันก็ไม่แน่ว่าจะอยู่กันได้ตลอดรอดฝั่ง" อดีตรักแรกของผมเองก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นอดีตที่ไม่มีวันหวนกลับมาอีกแล้ว

"ไม่มีใครคาดเดาอนาคตได้หรอกลลนา ผมว่าแค่เราได้มีโอกาสกลับมาปรับความเข้าใจกัน นั่นก็เป็นโชคดีแล้วมิใช่หรือ"

"เฮ้อ เอาเถอะ อย่างน้อยฉันก็หายข้องใจแล้ว อดีตก็คืออดีต มีไว้เพื่อให้รำลึก มิใช่เพื่อให้ยึดติด" ลลนาเขาดูจะปลงได้อย่างรวดเร็ว

บางสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจของเราเป็นเวลานาน ท้ายสุดแล้ว อาจต้องการแค่คำพูดไม่กี่คำที่จะมาปลดปล่อย

เราทั้งสองคนพลาดไปที่มีความรู้สึกนี้ติดค้างกันอยู่ในใจนานถึงเกือบสี่สิบปี ถือเป็นบทเรียนสำคัญในชีวิตผมเลยทีเดียว…

มื้ออาหารค่ำฝีมือเจ้าเซนผ่านไปด้วยความราบรื่น แต่ผมเดาเอาว่าคุณลินเขาคงช่วยในครัวอยู่ไม่น้อย รสชาติอาหารถึงได้ออกมาไม่เลวนัก โถ ก็เล่นดูสูตรจากยูทูปแล้วมาทำเอาหน้างานเลย นิสัยลูกชายผมก็แบบนี้ล่ะ นึกอยากจะทำอะไร เขาก็จะทำเลย ไม่มีลังเล ไม่มีกลัวการขายหน้า จะว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเจ้าเซนเขาก็ใช่ แต่ในอดีตนิสัยห่ามแบบนี้ของมันก็ทำเรื่องปวดหัวให้กับครอบครัวเรามาแล้ว

ระหว่างมื้ออาหาร คนที่นำการสนทนาบนโต๊ะก็เป็นหนูลิสาตามเคย เห็นความน่ารักน่าเอ็นดูแบบนี้แล้ว ผมชักอยากจะมีหลานผู้หญิงกับเขาบ้างสักคนเสียแล้วสิ เสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วช่วยสร้างบรรยากาศสดชื่นให้กับบ้านได้ดี

"น้าเซนนอกจากจะเป็นช่างในบ้านที่เก่งแล้ว ยังเป็นพ่อครัวที่มีฝีมือด้วย น่ายกย่องจริงๆค่ะ"

"แหม หนูลิสาก็พูดไป" เจ้าเซนมันทำหน้าเขินๆ

"นี่บ้านเรารบกวนคุณเซนมากเลยนะคะ เกรงใจจริงๆค่ะ" ลลนาเขาก็เป็นอย่างนี้ ขี้เกรงใจ

"ไม่เป็นไรครับ ยินดีครับ" ลูกผมตอบลลนาก่อนจะหันไปมองคุณลิน

ผมสังเกตหลายครั้งแล้ววันนี้ ว่าเจ้าเซนมันมองไปที่คุณลินแทบจะตลอดเวลา

"สงสัยต้องให้พ่อมาทำอาหารให้บ้านนี้กินบ่อยๆแล้วฮะ" เจ้าเรนพูดหน้าตาเฉยๆ

อีกครั้งที่ผมไม่แน่ใจว่าเจ้าหมอนี่เขาชื่นชมพ่อเขาอย่างจริงใจ หรือเขาอยากจะหาเรื่องวุ่นวายให้พ่อเขากันแน่

"อูย จะไหวไหมคะเนี่ย บ้านนี้ชอบกินอาหารฝรั่ง ถ้าคุณเซนมาทำบ่อยๆ น้าก็ขี้เกียจมานั่งคอยจับเวลาต้มเส้นสปาเกตตีนะคะ" เสียงคุณลินเค้าท้วงติงอย่างไม่จริงจัง

"พ่อเขาหัวไวฮะ เรียนรู้ไว"

"พอเลย ไปแซวพ่อเค้า แล้วเราล่ะ หัวไวเหมือนพ่อเขาหรือเปล่า เป็นไงครับคุณลิน เจ้าเรนช่วยอะไรที่ทำงานได้บ้างไหม" ผมหันไปทางคุณลิน อยากจะรู้เหมือนกันว่าเจ้าหลานชายตัวดีทำงานเป็นอย่างไรบ้าง

"ช่วยได้เยอะเลยค่ะ น้องเรนฝีมือดีมาก หัวไวมาก แทบไม่ต้องสอนอะไรเลยค่ะ"

"ป้าลินต้องบอกย้ำไปที่ใครบางคนฮะ เดี๋ยวเค้าไม่เชื่อ" หลานชายผมปรายตาไปทางพ่อของเขา

ผมรู้ว่าทุกคนอยากรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนมีคุณค่า ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ที่ผ่านมาเจ้าเรนอาจดูไร้สาระไปบ้าง คงเป็นความผิดของผมเองที่ไม่รู้จะนำทางหลานอย่างไร

"คุณลินเค้าเก่งนะลูก เรนคงเรียนรู้จากคุณลินได้เยอะ" ผมชื่นชมพนักงานของบริษัทเราคนนี้มาโดยตลอด

"ก็ถ้าป้าลินไม่เก่ง ปู่ก็คงไม่ให้ป้าลินเป็นหัวหน้าแผนกออกแบบหรอกฮะ" ดูฝีปากเจ้าหลานชายผม

"น้าลินเก่งอยู่แล้ว นี่ไม่แค่ทำงานเก่งนะ น้าลินยังเล่นเปียโนเก่งด้วย ตอนเราเด็กๆนะ น้าลินเล่นเปียโนให้เราฝึกซ้อมบัลเล่ต์ด้วยล่ะ"

หลานสาวเขามองน้าสาวด้วยความชื่นชม เพราะมีน้าสาวช่วยสนับสนุนนี่เอง ทำให้หนูลิสาเขาได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบเต็มที่ ผมเคยได้ยินมาจากเจ้าเรนว่าหนูลิสาเขามีพรสวรรค์ด้านการเต้นรำ ผมว่าคงจะมีเด็กอีกมากมายหลายคนที่มีพรสวรรค์ที่ซุกซ่อนอยู่ แต่ไม่มีโอกาสได้แสดงมันออกมา หรือพวกเขาอาจจะเผยมันออกมาแล้ว แต่ไม่มีผู้ใหญ่ให้ความสนใจ

"เหรอครับเนี่ย แหม เดี๋ยวหลังอาหารคงต้องขอให้คุณลินบรรเลงเปียโนเพื่อช่วยย่อยอาหารซะแล้ว" ลูกชายผมพูดยิ้มๆมองคุณลินด้วยสายตาที่... เอ ผมก็บอกไม่ถูก

แต่มันเป็นสายตาที่ไม่ปกติแน่ๆ

ผมหันกลับมามองที่หลานชายสุดที่รัก โชคดีที่คุณลินเขาสังเกตเห็นความสามารถพิเศษของเจ้าเรนมัน เลยทำให้หลานมีโอกาสได้แสดงฝีมือให้ปู่กับพ่อเขาเห็น

เฮ้อ ผมว่าผมพยายามเอาใจใส่หลานเต็มที่แล้วนา แต่อาจจะยังไม่ละเอียดพอเหมือนพวกผู้หญิงเขา หรือว่าผมแก่ไปแล้วสำหรับโลกยุคนี้ โลกที่หมุนเร็วกว่ายุคผมมาก จนบางทีผมก็มีเวียนหัว

"จริงด้วยค่ะ เดี๋ยวเราทานของหวานกันที่ห้องนั่งเล่นดีกว่า จะได้ฟังน้าลินเล่นเปียโนไปด้วย" แล้วหนูลิสาเธอก็เริ่มจัดแจงอย่างรวดเร็ว

"เดี๋ยวๆลิสา นี่น้ายังไม่ได้ตกปากรับคำเลยนะ"

"แหม ก็ทีเพื่อนๆของน้าลินหรือเพื่อนๆของคุณยายมาที่บ้าน น้าลินก็เล่นโชว์ทุกที แล้วคืนนี้แขกพิเศษของเราซึ่งเป็นถึงท่านประธานบริษัทอุตส่าห์ขอฟังการบรรเลงของน้าลิน น้าลินจะปฏิเสธได้ลงคอเชียวหรือคะ"

ผมว่าความฉะฉานของหนูลิสานี่ไม่มีใครเกินจริงๆ

"อูย ท่านประธานสำคัญขนาดนั้นเชียว?" คุณลินเขาทำเสียงกึ่งประชด ปรายตามองไปที่เจ้าเซน

"เอาละ เอาละ ลินก็ถือว่าเล่นให้คุณราเชนทร์ซึ่งเป็นเพื่อนของพ่อฟังก็แล้วกัน" ลลนาตัดบทด้วยความรำคาญ

ผมหัวเราะน้อยๆ ลลนาเขาเป็นคนขี้รำคาญตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว

"ตอนนี้คุณลินก็เรียกผมว่าลุงราเชนทร์ได้แล้วกระมังครับ อยากให้มองผมเป็นเพื่อนของคุณพ่อมากกว่าเป็นอดีตผู้ร่วมงานนะครับ"

ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ ตอนนี้ผมรู้สึกโล่งใจที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับบริษัทอีกต่อไปแล้ว ผมอยากมีความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัวนี้ในฐานะกัลยาณมิตรที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องงาน

"ได้สิคะ งั้นลุงราเชนทร์ห้ามเรียกคุณลินแล้วนะคะ เรียกลินเฉยๆก็พอค่ะ" ผมเห็นแววตาปีติมาจากลูกสาวของเพื่อน

"หนูก็งงๆอยู่นะคะ ว่าคุณตาราเชนทร์เป็นเพื่อนกับคุณตาติณณ์ แล้วทำไมน้าลินไม่เรียกคุณตาราเชนทร์ว่าคุณลุง"

"บางทีพวกผู้ใหญ่เค้าก็คิดอะไรกันซับซ้อนแบบนี้แหละลิสา" หลานชายผมยักไหล่

ซึ่งผมก็เห็นด้วย ความซับซ้อนของคนเราเหมือนเป็นกราฟรูประฆังคว่ำ มันมากขึ้นยามที่เราเติบโต และลดน้อยลงยามที่เราแก่ตัว

"เออ เรน เราเกือบลืมไปเลย ว่าจะถามว่าแล้วงานของเธอที่ช่วยน้าลินทำอะ ที่จะเอาไปบาหลีอะ เสร็จหรือยัง" หนูลิสาเขาหันไปทางเจ้าเรน

"อ้าว นี่ตกลงงานที่บาหลีนี่ได้แล้วรึ ทำไมชั้นไม่เห็นรู้เรื่องเลย แล้วยัยลิสารู้ได้ยังไงกัน" ลลนาเขาโวยวายขึ้นมา

ผมเองก็รู้คร่าวๆว่าจะมีโปรเจกต์ที่บาหลี แต่ไม่ได้รู้ในรายละเอียด เซนเขาไม่ได้เล่าทุกอย่างให้ผมฟัง

"ก็เรนเล่าว่า งานที่เขาทำอยู่เป็นงานที่น้าลินจะเอาไปพรีเซนต์ที่บาหลีน่ะค่ะ"

แล้วนี่เจ้าเรนเขาเล่าทุกอย่างให้หนูลิสาฟังงั้นหรือ ปู่เองก็ยังไม่รู้เลย หลานชายผมเขาเล่าแค่ว่าเขาช่วยคุณลินระบายสีน้ำ และป้าๆลุงๆที่ทำงานใจดีมาก ก็แค่นั้น ไม่ได้เล่าลงลึกไปมากไปกว่านั้น

อือม์ หนุ่มสาวพวกนี้ แม้เราจะพยายามเข้าไปในชีวิตของเขาแค่ไหน ถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังมีโลกส่วนตัวที่เราเข้าไม่ถึงอยู่ดี

ผมคงต้องทำใจสินะ

"ยังไม่ได้งานค่ะแม่ เค้าเพิ่งจะติดต่อกลับมาเมื่อต้นอาทิตย์น่ะค่ะ" ลูกสาวเขาตอบแม่เขา

"คือที่โน่นเค้าติดต่อบริษัทออกแบบไว้สี่ห้าบริษัทน่ะครับ ให้ลองเตรียมตัวไปเสนอไอเดียก่อน" ลูกชายผมช่วยอธิบายเพิ่ม

"แต่ลูกค้ารายนี้เค้าใจป้ำค่ะแม่ เค้าเชิญให้บริษัทที่เค้าคัดไว้ไปพรีเซนต์ที่บาหลี พร้อมกับดูสถานที่จริงด้วย สเกลงานใหญ่มากค่ะ เค้ากะใช้คอนเซ็ปต์เดียวกันนี้สร้างโรงแรมอีกหลายที่"

"ถ้าเราได้งานนี้ รับรองบริษัทเราต้องมีชื่อเสียงไปอีกไกลเลยครับ" เซนเขาหันไปยิ้มให้หนูลินอีกแล้ว

ผมนั่งฟังท่านประธานบริษัทกับหัวหน้าฝ่ายออกแบบผลัดกันเล่าเรื่องงานอย่างเงียบๆ นึกไม่ถึงว่าสองคนนี้เขาจะทำงานเข้าคู่กันได้ดี ก็ในตอนแรกดูลูกชายผมเขาต่อต้านสไตล์การออกแบบของหนูลิน เขาอยากจะปรับเปลี่ยนแนวทางการออกใหม่ทั้งหมด

แต่ไหงไปๆมาๆ ดูท่าทางเซนเขาจะยอมรับแนวทางของหนูลินได้เร็วกว่าที่ผมคิด

หรือว่าเรื่องที่ผมสงสัยจะเป็นจริง...

หลังอาหารเย็นหนูลิสาเขาได้จัดแจงให้เราย้ายมานั่งกันที่บริเวณห้องนั่งเล่น ผลไม้และชากาแฟถูกยกมาเสิร์ฟ แล้วหนูลินเขาก็นั่งประจำที่ที่เปียโนสีดำซึ่งตั้งอยู่ที่ริมหน้าต่างนั่น

เพลงแล้วเพลงเล่าที่ลูกสาวบ้านนี้เขาบรรเลงได้สร้างความพึงพอใจให้กับทุกคนที่นั่งฟังกันอยู่ นี่ทำงานร่วมกันมาก็สิบกว่าปี เป็นครั้งแรกที่ผมเคยได้ยินเขาเล่นเปียโน นึกไม่ถึงเลยว่าอดีตผู้ร่วมงานหญิงสาวท่าทางทันสมัยร่าเริงคนนี้จะมีความสามารถพิเศษทางด้านดนตรีขนาดนี้ สมกับเป็นลูกสาวของเพื่อนรักของผมจริงๆ

ผมหันไปหาลูกชายและหลานชายซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ก็เห็นทั้งสองกำลังนั่งฟังอย่างตั้งใจ บ้านเราไม่มีใครเล่นดนตรีเป็น แม้เจ้าเรนจะชอบฟังเพลงเอามากๆ แต่ผมก็ไม่เห็นหลานชายสนใจที่จะฝึกหัดเครื่องดนตรีอะไร รายนั้นเค้าชอบวาดรูปเป็นชีวิตจิตใจมากกว่า

ส่วนเจ้าเซน...

เฮ้อ เห็นสายตาของลูกที่กำลังจับจ้องอยู่ที่หนูลินแล้ว ผมก็รู้สึกไม่ใคร่จะสบายใจนัก

ทำไมผมจะสังเกตไม่ได้ว่าลูกชายรู้สึกอย่างไรกับลูกสาวของลลนา ผมเห็นความผิดปกตินี้ตั้งแต่ที่หัวหินแล้ว และที่ชัดก็คือเรื่องการมาทำอาหารในวันนี้ แค่จะทำให้พวกเรากินกันที่บ้าน ลูกชายผมยังไม่เคยคิดจะทำ ผมเข้าใจว่าเขาคงงานยุ่งคงเหนื่อย แต่วันนี้นี่มาทำอาหารให้บ้านนี้ถึงที่นี่ ถ้าหนูลินเขาไม่ได้เป็นคนพิเศษในสายของเจ้าเซน ผมก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว

เรื่องความต่างของวัยผมไม่เอามาเป็นอุปสรรค เพราะทั้งผมและลูกชายต่างก็มีประสบการณ์เคยชอบผู้หญิงอายุมากกว่าทั้งคู่!

แต่คนรุ่นผมเขามีวลีติดปากกันว่า สมภารย่อมไม่กินไก่วัด หมายถึงเจ้านายไม่ควรมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับลูกน้อง ถึงคนสมัยใหม่เขาอาจจะไม่แคร์เรื่องพวกนี้ แต่ผมก็เป็นกังวลอยู่พอควร มันจะทำให้เสียการปกครอง แม้คนสมัยนี้เขาแทบจะไม่ใช้คำว่าเจ้านายลูกน้องกันแล้ว ใช้เป็นคำว่า 'ผู้บริหาร' กับ 'พนักงาน' แทน แต่ก็นั่นล่ะ อย่างไรหนูลินเขาก็เป็นพนักงานคนหนึ่งของเรา หากเจ้าเซนเผลอทำอะไรที่เป็นการลำเอียงเข้า พนักงานคนอื่นๆเขาจะน้อยใจและเกิดคำครหาเอาได้

ผมไม่รู้ว่าลูกชายของผมมันคิดอะไรของมันในใจกันแน่ และผมก็มองลูกสาวของเพื่อนรักไม่ออก หนูลินเขาเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ดี เข้ากับทุกคนได้ง่าย เขาจะชอบเจ้าเซนหรือไม่ ผมเองก็เดาไม่ถูก

นี่ผมควรจะเริ่มคุยเรื่องนี้กับลูกดีไหม อย่างน้อยก็เตือนๆกันในฐานะคนในครอบครัว แต่ผมก็ยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่ไม่น้อย ครอบครัวเราไม่ใคร่จะพูดเรื่องอะไรแบบนี้กันตรงๆ

หรืออันที่จริงผมก็ไม่ควรผลีผลาม ผมอาจมองลูกชายผิดไป แท้จริงมันอาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้ อาจเป็นแค่ความสนิทสนมตามปกติของหนุ่มสาวสมัยนี้ซึ่งทำงานที่เดียวกัน ผมอาจจะวิตกไปเอง ซึ่งหากผมรีบพูดเรื่องนี้กับลูก แล้วเซนไม่ได้คิดจริงจังขนาดนั้น เขาอาจจะรู้สึกกระอักกระอ่วนใจพลางมองหน้าหนูลินไม่ติดเสียเปล่าๆ

ท้ายสุด ผมจึงตัดสินใจที่จะรอดูต่อไปก่อนดีกว่า...


next chapter
Load failed, please RETRY

Weekly Power Status

Rank -- Power Ranking
Stone -- Power stone

Batch unlock chapters

Table of Contents

Display Options

Background

Font

Size

Chapter comments

Write a review Reading Status: C44
Fail to post. Please try again
  • Writing Quality
  • Stability of Updates
  • Story Development
  • Character Design
  • World Background

The total score 0.0

Review posted successfully! Read more reviews
Vote with Power Stone
Rank NO.-- Power Ranking
Stone -- Power Stone
Report inappropriate content
error Tip

Report abuse

Paragraph comments

Login