Download App
62.06% ทะลุมิติทั้งทีต้องเป็นพระเอก? / Chapter 18: บทที่ 17 อดีต 2

Chapter 18: บทที่ 17 อดีต 2

บทที่ 17

อดีต 2

"หลันเอ๋อร์ ข้าให้เจ้า"เสียงทุ้มดังขึ้นจากข้างหลังอี้หลันที่กำลังทำอาหารอยู่ในห้องครัว

"พี่บอกแล้วไง ให้เรียกข้าพี่ใหญ่ ทำไมไม่เรียกละ"อี้หลันหันไปพูดกับร่างที่สูงใหญ่กว่าตนที่ตอนนี้มีอายุสิบห้าปีแล้ว ตั้งแต่ที่เสี่ยวหู่มาอยู่กับเขาตอนห้าปี ก็เรียกเขาว่าพี่ดีทุกคำ แต่พอสามปีผ่านไป ถึงช่วงที่ต้องทดสอบเพื่อเลื่อนขั้นของเขาทั้งคู่ที่ฝึกฝนร่ำเรียนมาด้วยกันตลอดสามปี ถึงเวลาที่จะต้องวัดระดับเลื่อนขึ้นสักที ซึ่งพอวัดระดับกันแล้วเขากับเสี่ยวหู่มีระดับที่ห่างกันมาก โดยเสี่ยวหู่ที่ได้รับพลังจากแม่และพลังของตัวเองจึงมีระดับพลังปราณที่แข็งแกร่งอยู่ระดับเจ็ดหรือเทียบเท่าขั้นจอมยุทย์ของสายฝึกยุทธ์เหลืออีกเพียงสองขั้นก็จะบำลุเป็นสัตว์เวทย์เทพเซียนได้ ในขณะที่เขามีพลังสองสาย สายเวทย์จากท่านพ่อ และสายยุทธ์จากท่านแม่ โดยเขามีพลังสองสายเหมือนท่านแม่ที่เป็นทั้งผู้ฝึกยุทธ์และเป็นจอมเวทย์ แต่เขามีพลังสายเวทย์แข็งแกร่งกว่าเพราะร่ำเรียนมาจากท่านพ่อทำให้เขาอยู่ในขั้นนักเวทย์ตั้งแต่อายุแปดขวบ แต่สายฝึกยุทธ์ยังอยู่ในขั้นฝึกตนที่ถือว่าห่างจากเสี่ยวหู่ไปมาก ทำให้พอถึงเวลาทดสอบกว่าเขาจะผ่านก็หืดขึ้นคอเหลือเกิน แต่เสี่ยวหู่กับผ่านไปได้อย่างสบายๆ เขาถึงกับบ่นอุบเลยทีเดียวใจนึงก็อิจฉา แต่ใจนึงก็ยินดีที่เสี่ยวหู่แข็งแกร่งมากพอจะปกป้องตัวเองจากอันตรายได้แล้ว เสี่ยวหู่ที่เห็นเขาบ่นขิงข่าไปเรื่อยจึงเอ่ยอย่างยิ้มๆขอผูกพันธะสัญญากับเขาเพื่อที่จะได้เลื่อนขั้นฝึกไปด้วยกันอย่างรวดเร็ว เขาทั้งดีใจที่เสี่ยวหู่อยากช่วยเขา ทั้งเสียใจที่เคยนึกอิจฉาน้องตัวเองทั้งที่น้องตัวเองแสนดีถึงขนาดยอมผูกพันธะตัวเองเพื่อเขา เขาจึงปฏิเสธไปแต่เสี่ยวหู่ก็ยกเหตุผลร้อยแปดพันเก้าที่อยากตอบแทนท่านพ่อและเขาที่เป็นครอบครัวให้เสี่ยวหู่ ทั้งยังกล่อมเขาอีกว่าจะทำให้เราอยู่ด้วยกันตลอดไปได้ ด้วยความที่ยังเด็กมากเขาจึงยังไม่ได้คิดมากอะไร เพียงแค่ครอบครัวได้อยู่ด้วยกันก็พอแล้ว จึงกรีดนิ้วแลกเลือดกันกินทั้งคู่ จากที่จะทำพันธะสัญญาทั่วไปที่เจ้าของเลือดต้องหยดเลือดให้สัตว์เวทย์กินเพื่อยอมรับเจ้าของเลือดเป็นนาย กลายเป็นเขาและเสี่ยวหู่แลกเลือดกันกินกลายเป็นทำพันธะวิญญาณที่ต่อให้ตายจากกันไป แต่วิญญาณไม่แตกดับก็จะยังสามารถติดตามและสื่อสารกันได้จนกว่าจะอีกฝ่ายที่อยู่จะตายเป็นวิญญาณเหมือนกัน และไปเกิดใหม่ด้วยกันทุกภพทุกชาติ พอเขารู้อย่างนี้ก็ทำได้เพียงขออภัยเสี่ยวหู่ที่ต้องตัวติดกับเขาไปจนตายแล้วเกิดใหม่กี่รอบไม่รู้ ส่วนเสี่ยวหู่ทำแค่เพียงส่งยิ้มให้เขาพร้อมทั้งบอกว่าดีแล้วที่เราจะไม่แยกจากกัน และตั้งแต่นั้นมาเสี่ยวหู่ก็ไม่เรียกเขาว่าพี่อีกเลย เรียกเพียงหลันเอ๋อร์เท่านั้น และเสี่ยวหู่ก็ยังขยันสรรหาสิ่งต่างๆมาให้เขาทุกวัน วันนี้ก็เช่นกัน

"ก็เจ้าไม่ใช่พี่ข้าแล้วอย่างไรเล่าหลันเอ๋อร์ นายของข้า"เสี่ยวหู่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงยียวนพร้อมทำหน้าตากรุ้มกริ่มมองเขา จากนั้นมือก็ยื่นดอกไม้มาให้เขา

"เฮ้อ….ดอกไม้อีกแล้ว ดอกหอมนิทราซะด้วย ทำไมหู่เอ๋อร์ชอบให้ดอกไม้พี่นักนะ"เขารับดอกหอมนิทรามาสูดดมความหอมอ่อนๆของมัน พร้อมทั้งบ่นให้เสี่ยวหู่ลอยๆ

"ความงามของมันทำให้ข้าคิดถึงเจ้า คิดว่าคนงามกับของงามๆอยู่คู่กัน เหมาะสมดีแล้ว"เสี่ยวหู่ยังคงพูดอย่างอ่อนโยนจริงจัง แต่จริงๆแล้วเขาคิดว่าเสี่ยวหู่แค่แกล้งพูดป้อยอเขาตามประสานั้นแหละ เด็กคนนี้ปากหวานมาแต่เด็กแล้ว ทุกครั้งที่เห็นของสวยๆงามๆมักจะสรรหามาให้เขาตลอดพร้อมทั้งคำพูดหวานๆแบบนี้เลย หากคนนอกฟังอาจคิดว่าเป็นคำเกี้ยวพาละมั้ง แต่เขาที่อยู่กับเสี่ยวหู่มาตลอดนั้นรู้อยู่แล้วว่าเสี่ยวหู่ปากหวาน ถึงแม้จะปากหวานแค่กับเขาก็เถอะ แต่นี่ก็เหมือนทุกวันที่เสี่ยวหู่พูดกับเขาเวลาหาของดีๆมาให้ฝากเขา

"เจ้านี่ช่างปากหวานเหมือนเดิม"

"รู้ได้อย่างไรว่าหวาน เคยชิมรึหลันเอ๋อร์"

"หือ!!! ทำตัวแก่แดดจริงเด็กคนนี้ เอาไว้เจ้าไปพูดกับสตรีที่พึงใจจะดีกว่านะ พี่นะไม่หลงกลเจ้าหรอก เจ้าเด็กปากหวาน"เขาเลยแกล้งทำเสียงดุและทำท่าสั่งสอนเสี่ยวหู่ราวกับผู้ใหญ่สั่งสอนบุตรหลาน

"55555 ท่าทางอย่างกับคนแก่ของเจ้าทำข้าเอ็นดูนะหลันเอ๋อร์"ร่างสูงหัวเราะเสียงดัง

"เอ็นดูอะไรกัน ห๊ะ!!! ข้าเป็นพี่เจ้านะ มีสิทธิ์สั่งสอนเจ้า แล้วเจ้าจะมาใช้คำว่าเอ็นดูราวกับข้าเป็นเด็กอย่างนี้ไม่ได้"เขาจึงแกล้งตีแขนแกร่งไปสองสามทีที่เห็นเสี่ยวหู่หัวเราะท้องขดท้องแข็งอยู่

"5555 ก็มันตลกจริงๆนี่น่า"

"พี่ไม่คุยกับเจ้าแล้ว ทำอาหารต่อดีกว่า วันนี้พี่ทำอาหารที่เจ้าชอบด้วยนะหู่เอ๋อร์"เขาเปลี่ยนเรื่องคุยหลังจากเก็บดอกหอมนิทราลงในกระเป๋ามิติที่เอาไว้เก็บของโดยเฉพาะแล้วหันไปทำอาหารต่อ หลังจากที่ฝึกทำอาหารกับท่านพ่ออยู่นานเกือบปี เขาก็สามารถทำอาหารได้รสชาติใกล้เคียงกับที่ร่ายเวทย์อาหารแล้ว ทำให้หลังจากนั้นเขาและท่านพ่อจึงทำอาหารกินกันเองในครอบครัว รวมทั้งให้เสี่ยวหู่มาช่วยเป็นลูกมือทำอาหารด้วยกันสามคน แต่ช่วงหลังๆสามสี่ปีมานี่หน้าที่ทำอาหารกลายเป็นหน้าที่หลักของเขา เพราะท่านพ่อจะทำอาหารได้เฉพาะเมนูที่ลูกๆชอบไม่สนเมนูอื่นอีก แต่เขามักสรรหาเมนูอร่อยๆมาทำให้คนในบ้านกินหมุนเวียนกันไปเรื่อยๆตามฤดูกาล ทำให้ทุกคนลงความเห็นให้เขาดูแลอาหารการกินในบ้านโดยปริยาย ซึ่งเขาก็ยินดีมากเพราะเขาชอบทำอาหารและขนมอยู่แล้ว เวลาว่างๆได้ทำขนมให้คนกินแล้วได้รับคำชมว่าอร่อย มันทำให้เขามีกำลังใจอยากทำเมนูใหม่ๆขึ้นมาอีกเรื่อยๆเลย

"แล้วนี่ท่านพ่อยังไม่กลับอีกเหรอหลันเอ๋อร์"

"จะกลับอะไรละ เจ้าก็รู้ว่าเวลาท่านพ่อไปฝึกเวทย์บทใหม่บางครั้งใช้เวลาไปเป็นอาทิตย์ นี่พึ่งจะสามสี่วันเองจะกลับมาได้ไงละ มีแค่เจ้ากับพี่เหมือนเดิมนั้นแหละ"

"งั้นเดี่ยวข้าเอาอาหารไปจัดโต๊ะรอนะหลันเอ๋อร์"

"ได้สิ เคี่ยวอีกนิดก็กินได้แล้วละ ยกอาหารออกไปรอพี่เลย เดี่ยวพี่ตามออกไป"เขาและเสี่ยวหู่แบ่งหน้าที่กันเวลาอยู่กันสองคน ส่วนใหญ่เสี่ยวหู่จะทำหน้าที่ไปล่าสัตว์หาวัตถุดิบมาให้เขาทำอาหาร วันนี้ได้ไก่มาสองตัวไว้ทำอาหารพรุ่งนี้ ส่วนวันนี้เป็นตุ๋นน้ำแดงหมูป่า ผัดผัก และไข่ตุ๋น สามเมนูของชอบของเสี่ยวหู่ที่ชอบกินเมนูจากเนื้อสัตว์และไข่เป็นส่วนใหญ่ ส่วนเขากินได้ทุกอย่างที่อร่อย ตอนนี้เขาเคี่ยวหมูตุ๋นได้ที่แล้วก็ตักออกไปที่โต๊ะกินข้าวที่ตอนนี้ถูกจัดเตรียมข้าวชามช้อนตะเกียบไว้เรียบร้อยแล้วรอเพียงเขามา

"เริ่มกินกันเถอะเสี่ยวหู่"

"อืม เจ้าต้องกินให้มากหน่อยช่วงนี้เจ้าดูผอมไปนะ"เสี่ยวหู่พูดพร้อมทั้งคีบเนื้อหมูตุ๋นมาใส่ชามเขา

"ไม่ใช่ว่าเจ้าตัวโตเองรึ ถึงได้มองพี่ว่าตัวเล็กลงนะ"

"หึหึหึ หากหลันเอ๋อร์อยากตัวโตก็กินเยอะๆสิ จะได้ตัวโตเช่นข้า กินแค่ไม่กี่คำก็อิ่มร่างกายจะเอาอาหารที่ไหนไปเลี้ยงตัวให้โตได้ละ"เสี่ยวหู่พูดสั่งสอนเขาราวกับเขาเป็นเด็ก

"ข้าก็พยายามแล้วนิ แต่กินเยอะเช่นเจ้าแล้วข้าทรมาน อึดอัดไปหมด กินเท่าที่ข้ากินไหวนี่ละ โตไม่โตก็ช่างมันเถอะ ข้าไม่สนใจแล้ว"นอกจากอายุและร่างกายของเราเท่ากันในตอนห้าขวบแล้ว หลังจากนั้นเสี่ยวหู่ก็เริ่มเติบโตเร็วกว่าเขาทั้งส่วนสูงและรูปร่าง เขาพยายามทำทุกอย่างเหมือนเสี่ยวหู่แล้ว ทั้งฝึกร่างกายเหมือนกัน กินเหมือนกัน กินเท่ากัน เสี่ยวหู่กินได้สบายๆแต่เขากินเท่าเสี่ยวหู่แล้วอาเจียนบ้างละ ท้องอืดบ้างละ ทำยังไงเสี่ยวหู่ก็โตเร็วกว่าเขาอยู่ดี เขาจึงเลิกพยายามไปนานแล้ว ยิ่งคิดยิ่งช้ำ ทำไมข้าไม่โตกว่านี้นะ ตั้งแต่ปีที่แล้วส่วนสูงเขาก็เหมือนจะไม่สูงขึ้นเลยจากเจ็ดฉื่อครึ่ง (ประมาณ 173 ซม.) แถมตัวก็ผอมบางร่างก็ขาว ทั้งๆที่อายุสิบห้าจะเข้าสิบหกปีแล้วยังไม่ต่างอะไรกับเด็กอายุสิบสองสิบสามปีเลย ต่างกับเสี่ยวหู่ที่ตอนนี้สูงแปดฉื่อ (ประมาณ 184 ซม.) แถมมีแนวโน้มจะสูงขึ้นไปอีก ร่างใหญ่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ผิวขาวสุขภาพดี ใบหน้าที่คมสวย ท่าทางราวกับคนอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีดูโตกว่าอายุจริงไปตั้งสองสามปี ในตอนที่ลงเขาไปเที่ยวเทศกาลด้วยกันตอนท้ายปี เขายังเหมือนเป็นน้องชายที่เพิ่งโตสนใจทุกอย่างที่เห็นในงาน ส่วนเสี่ยวหู่ราวกับพี่ชายที่ค่อยดูแลป้องกันเขาเดินชนนั้นหลงนี้ตลอดเลย คิดแล้วช่างน่าโมโห ทำไมเขาไม่โตเท่าเสี่ยวหู่สักทีนะ

"หึหึหึ เช่นนั้นก็กินเถอะ"

เขาและเสี่ยวหู่จึงกินอาหารกันไป พร้อมทั้งเสี่ยวหู่ก็เล่าเรื่องที่ไปล่าสัตว์หาอาหารให้เขาฟังว่าเจออะไรบ้างในป่า นอกเขตวิมานดาวแห่งนี้ วิมานแห่งนี้อยู่ในป่าที่เขาว่ามีอาถรรพ์ ใครที่เข้ามาในป่าแห่งนี้ล้วนแล้วแต่ไม่ธรรมดา ไม่เช่นนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่ แต่ครอบครัวเขากลับเลือกปักหลักที่นี่เพราะถึงแม้จะมีอันตรายรอบด้าน แต่ก็มีความปลอดภัยสูงเช่นกัน เพราะใช่ว่าใครจะเข้ามาได้และหาที่นี่เจอ เพราะเนื่องจากท่านพ่อเป็นปรมาจารย์เวทย์จึงร่ายเวทย์สร้างอาณาเขตที่นี่ขึ้นมาพร้อมทั้งร่ายเวทย์สร้างทุกอย่างขึ้นมาทั้งเรือนใหญ่ที่มีความสะดวกสบายหรูหราราวกับราชวัง และยังสร้างเรือนส่วนตัวให้กับลูกเมียตามความชื่นชอบส่วนตัวที่ในเรือนเต็มไปด้วยของหรูหรามีค่าและหายาก และของในเรือนยังมีชีวิตสามารถทำหน้าที่ได้ด้วยตัวเองไม่จำเป็นต้องทำความสะอาดเลย และรอบๆเรือนยังเต็มไปด้วยสมุนไพรล้ำค่าที่ท่านพ่อร่ายเวทย์เชิญเข้ามาอยู่ในอาณาเขตนี้ที่มีอุณหภูมิพอดิบพอดีแก่การเจริญเติบโตของพืชพรรณดอกไม้นานาชนิด และที่ในอาณาเขตนี้ได้ชื่อว่าวิมานดาวเพราะอยู่บนหุบเหวหน้าผาที่เต็มไปด้วยต้นไม้มากมายรายรอบเมื่อมองลงไปในตอนกลางวัน และเป็นจุดที่สูงพอจะเห็นดาวชัดที่สุดในป่าอาถรรพ์แห่งนี้ ท่านแม่จึงให้ที่นี่ชื่อว่าวิมานดาว ซึ่งคนนอกจะมองเห็นเป็นหน้าผาธรรมดา ไม่สามารถมองเห็นอาณาเขตที่เป็นเรือนได้ นอกจากคนภายในจะเป็นคนพาเข้ามาที่นี่จึงจะเห็นทุกอย่างที่ถูกปลูกสร้างอยู่ ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่จะไม่มีคนเคยเจอที่นี่ หรือมาที่นี่ได้ สัตว์ในป่าก็เช่นกัน ทำให้เวลาออกไปล่าสัตว์ต้องเป็นคนที่ชำนาญกับป่ามากพอที่จะไม่หลงทาง ซึ่งเสี่ยวหู่มีสัญชาตญาณในการล่าสัตว์ที่ดีมาก ทำให้ออกไปไม่นานก็ได้สัตว์กลับมา ต่างจากเขาที่เคยออกไปล่าสัตว์ด้วยแล้ว นอกจากไม่เจออะไรแล้วยังหลงทางอีก ต้องได้ใช้ยันต์เคลื่อนที่ฉีกกลับเรือน พร้อมส่งสารเวทย์บอกเสี่ยวหู่ว่ากลับมาแล้ว เพราะหาจุดหมายที่นัดกันไม่เจอ เสี่ยวหู่ขบขำหลังจากที่เขาเล่าให้ฟังเสร็จ และก็อาสาจะออกไปล่าสัตว์เองคนเดียวให้เขารอที่เรือนคอยทำอาหารก็พอ เขาจึงไม่ค่อยออกไปนอกเขตมากนัก นอกจากลงเขาไปเที่ยวเล่นและออกไปฝึกเวทย์ในบางครั้งเท่านั้นเอง แต่เวลาที่เสี่ยวหู่ออกไปล่าสัตว์มักจะมีเรื่องตื่นเต้มมาเล่าให้เขาฟังเสมอ ซึ่งเขาก็ฟังไปอย่างเพลิดเพลินแต่ก็ไม่ได้อยากออกไปเท่าไหร่ แค่ฟังเท่านั้นเพราะหากเขาไปบ้าง เรื่องคงรันทดมากกว่าสนุกอย่างเสี่ยวหู่เป็นแน่ เพราะเทพเจ้าไม่เคยรักเขาเลย ดูจากที่ผ่านๆมาละ

หลังจากที่กินข้าวเสร็จเขาก็เอาผลไม้ที่ปอกเสร็จแล้วมาให้เสี่ยวหู่ทานล้างปากพร้อมจิบชาอุ่นๆไปด้วย บรรยากาศกำลังดี เพราะเขากับเสี่ยวหู่ย้ายมาทานของว่างกันที่ศาลาชมดาว กลางคืนที่อากาศดีอย่างนี้เหมาะแก่การดูดาวเป็นที่สุด

"ดาววันนี้สวยนะ เจ้าดูนั้นสิเสี่ยวหู่ มีดาวตกด้วยละ"

"อืม ช่างสวยงามมากจริงๆ"

"ใช่มั้ยละ"

"ข้าหมายถึงเจ้าต่างหากหลันเอ๋อร์ งามกว่าดาวดวงไหนที่ข้าเคยชม แค่มีเจ้าดวงดาวที่ส่องสว่างก็พร้อมม่นแสงลงแล้ว"เสี่ยวหู่พูดเสียงอ่อนหวานขึ้นข้างหูเขา ทำให้เขาหันไปมองเสี่ยวหู่ที่จ้องมองเขาอยู่อย่างอ่อนโยนราวกับต้องการสื่ออะไรให้เขารู้สักอย่าง ซึ่งเขาไม่เข้าใจว่าคืออะไร แต่หัวใจดันเต้นเร็วไปวูบนึงเหมือนกัน มองสบกันไปแวบนึงเขาก็รั้งสติกลับมาได้

"หึหึหึ เจ้านี่น่าหู่เอ๋อร์ เฮ้ออ…."เขาจึงพรีมพรำออกมาให้เสี่ยวหู่ได้ยินเบาๆ

"เจ้าก็ยังไม่เข้าใจสินะหลันเอ๋อร์ เฮ้อออ…"เสี่ยวหู่ถอนหายใจออกมาเบาๆ

".....?"

"นี่ก็ดึกมากแล้ว เข้านอนเถอะ เดี่ยวข้าเดินไปส่งที่เรือน"

"เหรอ งั้นก็ไปกันเถอะ"เขากับเสี่ยวหู่จึงเดินไปตามทางที่มีดอกไม้นานาชนิดยังไม่ผลิบาน ที่บางชนิดก็ผลิบานส่งกลิ่นหอมอวลหยอกเย้าเล่นกับแสงจันทร์ เพราะมีแสงจันทร์ส่งแสงดอกไม้เหล่านี้จึงสว่างเรืองรองขึ้นมาอวดช่อชูชัน ซึ่งเป็นทัศนียภาพที่หาได้ยากมากในเรือนจวนทั่วไป

"ส่งพี่แค่นี้ละ เจ้ากลับไปเรือนเจ้าเถอะ"

"เช่นนั้น หลับฝันดีละหลันเอ๋อร์"เสี่ยวหู่ยกมือขึ้นลูบหัวเขาอย่างแผ่วเบา

"อืม เจ้าก็เช่นกัน"เขาจึงยกมือขึ้นลูบหัวร่างสูงเช่นกัน

"หึหึหึ เช่นนั้นข้าไปนะ"

"อืม"แล้วหลังจากนั้นเสี่ยวหู่ก็หายวับกลับไปที่เรือนตนทันที ส่วนเขาก็เข้ามาภายในเรือนแล้วอาบน้ำแต่งตัวเตรียมตัวเข้านอน ก่อนจะนอนเขาจึงหยิบดอกหอมนิทราออกมาสูดดมเพื่อให้กลิ่นหอมของมันส่งเขาเข้านอนพร้อมทั้งช่วยผ่อนคลายให้นอนหลับฝันดีตลอดทั้งคืน เขาจึงวางไว้หัวโต๊ะข้างเตียงจะได้ดมกลิ่นถนัดๆ จากนั้นก็ดับเทียนเข้านอน พอหัวถึงหมอนเขาก็หลับสนิททันที

เปียะ เสียงดังอะไรสักอย่าง เหมือนของตกแตกส่งเสียงมาจากเรือนใหญ่ ทำให้ของในห้องนั้นจึงเกิดการโกลาหลตกใจวิ่งชนกันไปส่งจนเกิดเสียงก๊องแก๊งดังตามมาจนเขาที่กำลังนอนหลับอยู่สะดุ้งตื่น

ก๊อกๆๆๆ เสียงเคาะประตูเขาดังขึ้นระรัวเหมือนมีเรื่องรีบร้อนเลย เขาจึงตื่นเต็มตาละวิ่งไปเปิดประตูทันที

"หลันเอ๋อร์ ไปดูที่ห้องนอนท่านพ่อเถอะ เสียงดังมาจากที่นั้น "เสี่ยวหู่ยืนหน้าไม่สู้ดีอยู่ตรงประตูทำให้เขาใจเสียไปด้วย

"อืม ไปกันเถอะ พี่รู้สึกไม่ดียังไงบอกไม่ถูก"เขาบอกตามความรู้สึกก่อนที่เสี่ยวหู่จะยื่นมือมากุมมือเขาแล้วหายวับไปที่ห้องท่านพ่อ พอเข้ามาถึงเขาถึงกับตัวแข็งทื่อ เนื่องจากสิ่งของที่แตกนั้นเป็นหยกชิ้นนึงที่ขนาดเท่ากำปั้น แต่ตอนนี้ดันแตกออกเป็นเสี่ยงๆละเอียดอยู่บนพื้นห้อง เขาที่เห็นแบบนั้นทำอะไรไม่ถูกทำเพียงแค่ปล่อยน้ำตาให้มันไหลออกมาเท่านั้น ร่างสูงที่กุมมือเขาอยู่รั้งร่างเขาเข้ามากอดพร้อมทั้งลูบหลังให้ไปมา ก่อนที่เขาจะตั้งสติได้แล้วดันตัวออกมาหยุดยืนดูเศษชิ้นส่วนของหยกวิญญาณของท่านพ่อที่บ่งบอกว่าวิญญาณของท่านแตกดับไปแล้ว

"ท่านพ่อตายแล้ว? ตายได้ยังไงกัน? ท่านพ่อเก่งกาจออกปานนั้น? เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ข้าไม่เข้าใจ? ท่านพ่อไม่เคยมีศัตรูที่ไหน? ทำไมถึงมีคนที่จะเอาชีวิตท่านพ่อได้? เป็นไปไม่ได้? ท่านพ่อต้องยังไม่ตายสิ? ไม่จริงข้าแค่ฝันไป? ม่ายยยยย?"เสี่ยวหู่ที่พยายามรั้งร่างบางที่มือพยายามกอบโกยเศษหยกที่แตกจนโดนหยกบาดเลือดไหลเต็มหยกและฝ่ามือพร้อมทั้งร่างไห้และพรึมพรำออกมาอย่างคนไร้สติ พอเสี่ยวหู่พยายามดึงร่างบางเท่าไหร่ อี้หลันยิ่งดิ้นทุรนทุรายกรีดร้องออกมาแล้วหมดสติไป เขาจึงอุ้มร่างบางขึ้นไปพักบนเตียงใหญ่ก่อน จากนั้นจึงทำแผลให้ใส่ยาสมานแผลเรียบร้อยแล้วพันผ้าพันแผล จากนั้นเสี่ยวหู่จึงไปเก็บกวาดหยกวิญญาณขึ้นใส่พานทองที่อยู่เดิมของหยก จากนั้นเขาจึงลองเรียกวิญญาณจากหยกดู แต่ก็ไม่มีวิญญาณท่านพ่อมา แต่เหมือนจะมีเศษเสี่ยววิญญาณที่มีความทรงจำก่อนที่วิญญาณจะแตกดับ เข้ามาในหัวของเสี่ยวหู่ เห็นร่างคนกลุ่มนึงที่ยืนรายรอบแล้วรุมทำร้ายร่างนี้อย่างป่าเถื่อนรอบทิศทางทุกคนต่างเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นจิตตานตอนปลายใกล้เป็นเทพเซียนแล้ว แล้วยังมีจอมเวทย์อีก ทุกคนต่างใช้ทีเผลอทำร้ายร่างกายนี้ที่เสี่ยวหู่เห็น เห็นร่างนี้พยายามต่อรองเจรจา และพยายามจะหายตัวกลับมาที่นี่เหลือเกิน แต่เชือกมัดเซียนเวทย์ที่จอมเวทย์สามคนกำลังร่ายเวทย์มัดเขาไว้อยู่นั้นแน่นหนามาก จะหายไปทั้งอย่างนี้ พวกนั้นต้องตามรอยเชือกเวทย์มาได้แน่ ทำให้ร่างนี้ทำอะไรไม่ได้ นอกจากให้พวกนี้ทำร้ายร่างกายแล้วจะร่ายเวทย์ก็โดนเชือกมัดเซียนเวทย์จำกัดพลังไม่สามารถใช้เวทย์ได้ ร่างกายที่โชกเลือดเต็มไปด้วยบาดแผลแหวะหวะ ช่วงลมหายใจสุดท้ายได้รวบรวมพลังวิญญาณเฮือกสุดท้ายส่งสารนี้ลงในจิตวิญญาณที่รู้ว่าลูกและเสี่ยวหู่ต้องเรียกจิตวิญญาณเขากลับไปเป็นแน่

บอกถึงเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่การตายของแม่อี้หลันและการตายของเขา พร้อมฝากฝังให้เสี่ยวหู่ดูแลอี้หลันให้ดี ซึ่งเขาเชื่อว่าเสี่ยวหู่จะดูแลและปกป้องอี้หลันที่เป็นดวงใจเขาได้แน่ เสี่ยวหู่ที่เห็นเรื่องราวทั้งหมดแล้วนั้นทำได้เพียงยืนน้ำตาไหลออกมาอย่างไร้เสียงสะอึ้นพยายามเข้มแข็งอย่างยิ่งเพื่อจะเป็นหลักให้อีกคนที่เปราะบางกว่า เมื่อร่างบางตื่นเขาจะเล่าทุกอย่างให้ฟังพร้อมทั้งจะช่วยทุกอย่าง หากร่างเล็กจะแก้แค้นทวงคืนทุกอย่างที่เสียไปกลับมา


CREATORS' THOUGHTS
mmmintmint mmmintmint

ของขวัญจากผู้อ่านคือกำลังใจในการสร้างสรรค์ผลงาน ช่วยส่งกำลังใจให้ไรต์หน่อยนะ!

next chapter
Load failed, please RETRY

Weekly Power Status

Rank -- Power Ranking
Stone -- Power stone

Batch unlock chapters

Table of Contents

Display Options

Background

Font

Size

Chapter comments

Write a review Reading Status: C18
Fail to post. Please try again
  • Writing Quality
  • Stability of Updates
  • Story Development
  • Character Design
  • World Background

The total score 0.0

Review posted successfully! Read more reviews
Vote with Power Stone
Rank NO.-- Power Ranking
Stone -- Power Stone
Report inappropriate content
error Tip

Report abuse

Paragraph comments

Login