วันนั้นหลังจากเลิกงานลุงก็รีบวิ่งกลับมาด้วยความรีบร้อน เพราะเห็นว่าฝนมันเริ่มตก ลุงเองก็อยู่คนเดียว อีกทั้งยังมีผ้าที่ตากเอาไว้ซึ่งก็ไม่น่าจะมีคนมาช่วยเก็บ ทว่าพอผ่านพ้นผ่านซอยเข้ามา ลุงก็ได้เห็นผู้หญิงตัวสูงคนหนึ่งยืนท่ามกลางสายฝนและแสงไฟตามรายทาง เธอผมยาว ผอมเรียว สวมเสื้อปิดกายมิดชิด ใส่แว่นตากันแดดสีดำและสวมหน้ากากอนามัยปกปิดใบหน้า
ตั้งแต่เด็กน้อยแล้วลุงเป็นคนไม่เคยกลัวหรือว่าคิดที่จะเชื่อเรื่องผีเลยสักครั้งเดียว แต่ทว่าเธอคนนั้นกลับทำให้ลุงนั้นสั่นไม่หยุด แม้แต่เสียงพูดก็ไม่มีแรงที่เปล่งออกมาราวกับตัวเองถูกมนต์สะกดให้อยู่นิ่งๆ
ไม่เพียงแค่นั้น สิ่งที่อยู่ในมือของเธอคือมีดเล่มหนึ่งที่ชุ่มไปด้วยคราบเลือดที่เริ่มไหลลงพื้นเพราะน้ำฝนที่ตกกระทบ พร้อมกับมืออีกข้างที่จับร่างของชายคนหนึ่งที่นอนแน่นิ่ง ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดและบาดแผล
ทันทีที่ได้เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นก็ถึงกับทรุดตัวลงล้มกับพื้น ไม่นานนักเธอคนนั้นก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่กำลังมอง หันกลับอย่างทันควันทิ้งศพลงที่พื้นที่เต็มไปด้วยน้ำฝน แล้วเธอก็ค่อยๆ เดินเข้ามาหาลุงอย่างช้าๆ
ตัวลุงไม่แม้แต่ที่จะละสายตาออกไปได้ หรือแม้แต่จะลุกออกและวิ่งหนีไปก็ทำไม่ได้ เหมือนร่างกายมันไม่ยอมทำตามคำสั่งเลย เธอคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ลุงเรื่อยๆ ๆ แล้วนั่งยองลงตรงหน้าของลุง
...ตอนนั้นคิดเอาไว้แล้วว่าจะต้องตายแน่ๆ
...แต่ทว่า
เธอคนนั้นกลับยื่นสิ่งๆหนึ่งมาให้ มันเป็นเงินจำนวนหนึ่งที่ถูกกำจนยับยู่ยี่ จากนั้นเธอก็เอานิ้วชี้จี้ไปที่ปากเพื่อเป็นสัญญาณบอกให้เงียบ ก่อนที่เธอคนนั้นจะเดินจากไปพร้อมกับลากศพชายคนนั้น ท่ามกลางแสงไฟยามค่ำคืนและฝนที่ตกประปราย
"นั่นแหละเรื่องทั้งหมดที่ฉันได้เจอ..." ลุงจัยพูดพลางค่อยกระดกขวดเหล้าในขณะที่ตนเองเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นไปด้วย
"ลุงเองก็ไม่รู้สินะครับว่า ผู้หญิงคนนั้นหน้าตาเป็นอย่างไง?"
"ไม่ไหวหรอกคุณตำรวจ ที่นี่ในสลัมนะ แสงไฟก็น้อย อีกทั้งคนที่อยู่ที่นี่เขาไม่ค่อยมาสนใจหรอกว่าคนอื่นจะเป็นตายร้ายดียังไง แค่มีชีวิตอยู่ทำงานไปวันๆ ก็ไม่มีจะแดกอยู่แล้ว" แล้วลุงจัยก็กระดกเหล้าต่อจนหมดขวด "ต้องไปซื้อเหล้าเพิ่มแล้วสิ!"
"เดี๋ยวก่อนสิลุง" พิรุณพูดในขณะที่เห็นว่าลุงจัยกำลังจะเดินออกไป
"คุณตำรวจ ถ้าจะให้ผมไปให้ปากคำเพิ่มที่โรงพักละก็ อย่าดีกว่า... เพราะผมเองก็ไม่ได้อยากจะเข้าไปยุ่งเรื่องแบบนี้สักเท่าไหร่ อีกอย่างมันก็ได้เห็นหน้าของผมไปแล้วด้วย ผมไม่อยากจะเอาตัวเองไปเสี่ยง ฉะนั้นเลิกอยู่กับผมเสียทีเถอะ!"
พิรุณที่จะพูดก็ถึงกับหยุดชะงักลงอย่างทันที ที่ลุงพูดมาก็ถูกขืนถ้าหากเรื่องข้อมูลที่ลุงรู้เกี่ยวกับคนร้ายหลุดรอดไปถึงมือนักข่าว และถูกประกาศออกมาให้สาธารณชนรับรู้ ฆาตกรคนนั้นก็จะรู้ได้อย่างทันทีเลยว่ามาจากใคร การที่จะคุ้มครองตัวพยานจากศัตรูที่มองไม่เห็นมันเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะบางทีมันอาจจะมองเราอยู่ตลอดเวลาและจะฆ่าเราทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้เช่นกัน จะเป็นการปลอดภัยกว่าที่จะไม่เอาลุงมาเกี่ยวเรื่องแบบนี้ด้วย
"ก็ได้ครับ แต่ถ้าอย่างนั้น ผมขอแลกเงินที่ผู้หญิงคนนั้นให้มาสักใบจะได้ไหม?"
"อีืม...."
หลังจากที่ได้เงินที่คุณลุงบอกเองกับปากว่าได้รับมาจากฆาตกร และตอนนี้พวกเขาก็ออกมาจากสลัมเพื่อไปยังสถานที่น่าสงสัยจุดถัดไป เพื่อสืบหาหลักฐานต่อ ซึ่งจุดหมายถัดไปนั้นอยู่ตรงที่สะพานข้ามแม่น้ำ
พอมาถึงที่หมายพวกพิรุณก็รีบออกสืบหาถามข้อมูลจากชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณแถบนั้นอย่างทันที แต่ก็ดูเหมือนว่าชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถบแถวนั้นจะนอนกันหมด ไม่มีใครรู้เลยว่าเมื่อคืนเกิดเหตุการณ์ฆาตกรรมขึ้น
เห็นว่าไม่มีอะไรพอจะสืบเป็นข้อมูลได้มากนัก พวกเขาเลยมารวมตัวที่ตรงกลางสะพานพร้อมกับตรวจดูบริเวณฯโดยรอบอีกครั้ง แต่ก็ไม่พบอะไรที่พอจะใช้เป็นหลักฐานเพิ่มอยู่ดี จนตอนนี้เริ่มที่จะถอดใจ
"นี่สารวัตรครับ ท่านได้ลองให้หน่วยที่เหลือตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่สะพานแล้วหรือยัง?" ตำรวจคนหนึ่งถามกับพิรุณที่กำลังตรวจสอบพื้นที่อย่างเบื่อหน่าย
"แน่นอนว่าให้ตรวจสอบดูตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่ก็อย่างที่เห็นนี่แหละ เมื่อคืนฝนมันตกเสียจนมองอะไรหรือว่าแยกอะไรไม่ค่อยออกเลยนี่สิ แต่ที่แน่ๆคือ คนร้ายมันสวมเสื้อกันฝนแล้วเดินมาพร้อมกับรถเข็นที่ขนกระเป๋าเพื่อทิ้งศพ"
"ลายนิ้วมือแฝงก็ไม่มี แถมเงินนั่นก็ไม่รู้ว่าจะมีเบาะแสด้วยไหม แย่เหมือนกันแฮะแบบนี้..."
"ไม่หรอก มันไม่ได้สิ้นหวังไปซะทุกอย่างทีเดียวหรอก"พิรุณพูดออกมาด้วยสีหน้าที่ดูมั่นใจ
"ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีสิครับ..." ตำรวจคนหนึ่งพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ดูอ่อยๆ อ่อนแรง
ทันทีทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ของพิรุณก็ดังขึ้นมา เขารีบรับอย่างทันทีก่อนจะพูดด้วยเป็นระยะเวลาหนึ่ง พร้อมกับจดบันทึกสิ่งที่คุยเข้าไปในสมุดเล่มเล็ก เป็นเวลาสักพักก่อนจะวางสายไป
"พวกเราได้เบาะแสเพิ่มแล้ว พร้อมจะไปสถานที่ต่อไปหรือยัง?"
"ก็ได้ครับ ใช้งานหนักแบบนี้หวังว่าปีนี้จะได้เลื่อนขั้นเป็นการตอบแทนนะครับ" ตำรวจคนหนึ่งพูดมาด้วยสีหน้าที่ดูเบื่อหน่ายและเดินอย่างอ่อนแรง
"เดี๋ยวจะลองขอทางเบื้องบนดูแล้วกัน"
ต่อไปที่พวกเขาไปถึงเป็นห้างสรรพสินค้าที่อยู่ด้านในเมือง ซึ่งมีผู้คนมากหน้าหลายตาเดินเล่นเพ่นพ่านกันไปมา
"พวกเราเดินมาทำอะไรที่นี่อย่างนั้นหรอครับ?" ตำรวจคนนั้นถามอย่างสงสัย
"ในตอนที่เกิดเหตุพวกเราได้เจอกระเป๋าเดินทางใบหนึ่งใช่ไหม? พอลองให้ตำรวจคนอื่นตรวจสอบดูแล้วก็ได้รู้ว่า..." แล้วพิรุณก็เปิดภาพกระเป๋าใบนั้นในมือถือให้ทางตำรวจคนนั้นดู
"นี่มันแพงโคตร! โคตร! ไม่ใช่หรือไงครับ?"
"ใช่ เพราะอย่างนั้น ถ้าให้ลองตีความจากสิ่งนี้ดูแล้ว ฆาตกรน่าจะเป็นพวกที่มีเงินน่าดู หรือไม่บางทีก็อาจจะเป็นพวกที่การงานอาชีพดี เงินเดือนน่าจะราวครึ่งแสนเลยก็ได้ แล้วอีกอย่างกระเป๋าใบนี้มีขายแค่ 10 สาขาที่อยู่ในเมืองเท่านั้น แถมยังต้องจองล่วงหน้าอีก"
"เพราะอย่างนี้สินะครับ ถึงมาที่ห้างนี้"
"ประมาณนั้นแหละ..."
พอตัดสินใจแล้วพวกเขาทั้งสองก็เดินพุ่งตรงไปที่ร้านขายกระเป๋าอย่างทันที พนักงานที่เห็นทั้งสองก็ออกมาต้อนรับด้วยสีหน้าและท่าทางที่เป็นมิตร
"สวัสดีค่ะคุณลูกค้า ไม่ทราบว่ามีอะไรให้พวกเราช่วยไหมคะ?"
พิรุณแสดงบัตรประจำตัวตำรวจให้ทางพนักงานคนนั้นดู ก่อนจะพูดขึ้นว่า...
"พวกเราเป็นตำรวจ ตอนนี้กำลังอยู่ในการสืบสวน ถ้าไม่เป็นการรบกวน ช่วยหาสินค้าชิ้นนี้ได้ไหมว่าขายให้ใครไปบ้าง"
จากนั้นพิรุณก็เปิดภาพของกระเป๋าใบนั้นให้ทางพนักงานคนนั้นดู พนักงานพยายามมองอย่างพิถีถี่ถ้วนก่อนจะถามกับพิรุณกลับไปว่า
"ไม่ทราบว่าขอรหัสสินค้าชิ้นนี้จะได้ไหมคะ?"
"N09A030430SA01"
"รับทราบค่ะ เดี๋ยวได้โปรดช่วยรอสักครู่นะคะ" แล้วพนักงานคนนั้นก็เดินจากไป
ไม่นานนักเธอก็เดินกลับมาพร้อมกับกระดาษแผ่นเล็กๆ ที่ถืออยู่ในมือ ก่อนจะยื่นให้กับทางพิรุณพร้อมอธิบายรายละเอียดในนั้นว่า
"ทางเราตรวจสอบให้แล้ว ถึงแม้ว่าสาขานี้จะไม่ได้ขายรหัสสินค้าตัวนี้ ทางเราเลยประสานงานที่สาขาอื่นและก็พบว่ามีอยู่หนึ่งสาขาที่มีรหัสสินค้าตัวนี้ แล้วได้ขายให้กับลูกค้าคนหนึ่งไปแล้ว ส่วนที่อยู่ในกระดาษแผ่นนั้นคือชื่อของลูกค้าที่มาซื้อ"
"เข้าใจแล้วครับ ขอบคุณสำหรับการให้ความร่วมมือ" พิรุณทำความเคารพก่อนจะเดินออกจากร้านไป
พิรุณพอออกจากห้างสรรพสินค้ามาได้ก็รีบโทรศัพท์ไปบอกกับทางตำรวจคนอื่นๆ ที่ประจำการที่โรงพักอย่างทันที เรื่องเกี่ยวกับคนที่มีชื่ออยู่ในกระดาษแผ่นนั้น
"ช่วยตรวจสอบคนที่ชื่อ นางมนัสสนัน โกษาศาสตร์ ที ช่วยหาประวัติและที่ทำงานและที่อยู่อาศัยปัจจุบันให้ที ถ้าได้แล้วให้รีบแจ้งกลับมาโดยเร็วที่สุดเข้าใจไหม?"
ใช้เวลาไม่นานก็มีโทรศัพท์เข้ามา พิรุณรับสายและหยิบสมุดบันทึกขึ้นมาจดข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับ ก่อนจะขึ้นรถและกำลังจะขับออกไป
"ผู้ต้องสงสัย ชื่อ นางมนัสสนัน อายุ 32 ปี สถานะแต่งงานแล้ว ปัจจุบันมีอาชีพธุรกิจส่วนตัว"
"และตอนนี้พวกเรากำลังจะไปหาเธอใช่ไหมครับสารวัตร?" ตำรวจคนที่มาด้วยถาม
"อืม..." พิรุณพยักหน้าตอบ
ถึงแม้ว่าจะทราบข้อมูลถึงขนาดนี้ แต่ภายในใจของเขาก็รู้สึกกังวลว่า มันไม่น่าจะง่ายขนาดนั้น
พอมาถึงที่หมาย ซึ่งเป็นร้านกาแฟและขนมหวานเล็กๆ ที่ผู้ต้องสงสัยเป็นเจ้าของร้านนั้นเอง พิรุณและตำรวจคนนั้นก็ลงจากรถและเดินเข้าไปในร้าน พร้อมกับถามที่พนักงานที่ประจำอย่าตรงเคาน์เตอร์
"ไม่ทราบว่า คุณมนัสสนัน อยู่ไหม?" พิรุณถาม
พอพนักงานหญิงคนนั้นเห็นผู้ชายที่มากับตำรวจก็แสดงท่าทีที่ร้อนรนออกมา ก่อนจะพูดอย่างตะกุกตะกัก
"ค่ะ! เดี๋ยวจะไปตามมาให้..." แล้วเธอก็รีบวิ่งแจ้นไปอย่างทันที
จากนั้นไม่นานก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาพร้อมกับพนักงานคนที่วิ่งเข้าไปเมื่อตะกี้นี้ ผู้หญิงตัวเล็กสูงแทบไม่ถึง 150 ซึ่งเป็นที่แน่ๆ ว่าเธอนั้นไม่ใช่คนร้ายอย่างแน่นอน
"ไม่ทราบว่าคุณตำรวจมีอะไรกับฉันหรือเปล่าคะ?" เธอคนนั้นถามกับพิรุณ
"ขอโทษที่ต้องรบกวนเวลาของคุณผู้หญิง แต่ผมอยากจะถามเรื่องเกี่ยวกับกระเป๋าใบนี้สักหน่อย" พิรุณทำการยื่นภาพกระเป๋าใบนั้นที่พบในที่เกิดเหตุให้ดู
"อ้อ! กระเป๋าใบนี้ฉันก็เคยซื้อมาใช้อยู่หรอก ว่าแต่ทำไมหรอค่ะ?"
"มีเกิดการฆาตกรรม ทางเราคาดว่าฆาตกรจะใช้กระเป๋ายัดศพและนำไปทิ้ง ซึ่งทางเราได้ลองไปตรวจสอบกับทางบริษัทที่ขายกระเป๋าดูแล้ว พบว่าคุณนั้นเคยซื้อมาใช่ไหมครับ? ...ทางเราไม่ได้อยากปรักปรำคุณมนัสสนันนะครับ แต่มีเรื่องอะไรที่คุณรู้บ้างหรือเปล่า"
"ก็ใช่อยู่หรอกค่ะที่ฉันเคยซื้อกระเป๋าแบบนี้ แต่ว่าเมื่อราวๆ 6 เดือนก่อน ฉันได้ขายมันไปแล้วล่ะค่ะ ให้กับผู้หญิงคนหนึ่ง..."