ในยามค่ำคืนที่เงียบสงัด หญิงสาวคนหนึ่งที่เดินท่ามกลางความมืด บนทางยาวราวกับไร้ที่สิ้นสุด กลิ่นอับชื้นฟุ้งลอยตามอากาศ ทางที่มืดสนิทมีเพียงแค่คบเพลิงที่อยู่ในมือเพียงพอที่จะส่องมองให้เห็นทางลางๆ เท่านั้น
เธอเดินตามทางไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย เพียงเพื่ออะไรตัวเองนั้นก็ยังไม่รู้ จนกระทั่งประตูบานหนึ่ง ประตูไม้บานเก่าๆ ด้านบนนั้นมีลูกกรงเหล็กเล็กๆ ที่พอจะสามารถส่องให้เห็นข้างใน
หญิงสาวพยายามส่องมองดูแล้วแต่ก็ไม่เห็นว่าสิ่งใดที่อยู่ด้านใน คงอาจจะเป็นเพราะมืดจนเกินไป ด้วยความสงสัยเธอจึงเปิดประตูเดินเข้าไปอย่างช้าๆ
ในวินาทีที่เธอก้าวขาเข้าไป... ทันทีนั้นก็มีเสียงเหมือนโซ่ขยับดังขึ้นมาจากตรงหน้าของเธอ
***ครืด~~!!!***
หลังจากที่ได้ยินเสียงบางสิ่งบางอย่างขยับภายในห้องนั้นขยับ เธอก็เริ่มเกิดอาการกลัวขึ้นมา ถ้าเป็นคนปกติคงจะเผ่นป่าราบไปแล้ว... แต่ก็ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เธอจึงรวบรวมความกล้ากำคบเพลิงที่อยู่ในมือจนแน่น ส่องไปทางต้นตอของเสียง....
".....!!!!"
เธอตกใจถึงกับพูดไม่ออกต่อสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า ร่างสีดำใหญ่โตราวกับยักษ์ เปลือยกายท่อนบน ทั้งแขนขาถูกพันธนาการด้วยโซ่ขนาด หัวถูกคลุมด้วยถุงผ้าปกปิดใบหน้าและบนนั้นมีกระดาษที่จารึกด้วยอักษรที่แปลกประหลาดไม่คุ้นตา
เธอที่สงสัยต่อสิ่งนั้นเลยถามออกไปด้วยท่าทีอย่างกล้าๆ กลัวๆ
"...คุณเป็นใคร?"
สิ่งนั้นขยับหัวตอบสนองเล็กน้อย "ผู้หญิง...หรอ?" เสียงทุ้มโทนต่ำตอบสนองกลับมาอย่างทันทีที่ได้ยินเสียงของหญิงสาวถามไป
"ใช่ค่ะ! ดิฉันเป็นผู้หญิง แล้วตัวคุณล่ะ...เป็นใครกันแน่?" เธอยังยืนยันคำเดิม
"สาวน้อย...เจ้ามีสิ่งที่ต้องการไหม?"
"สิ่งที่ต้องการ...?"
"ใช่! สิ่งที่เจ้าต้องการที่ปรารถนาจะให้มันเป็นจริงในตอนนี้"
"ก็มีอยู่หรอกค่ะ...สิ่งที่ปรารถนา" เธอครุ่นคิดนึกสิ่งที่ร่างสีดำได้ถามมา
"ข้าสามารถทำให้สิ่งนั้นเป็นจริงได้นะ! ถ้าหากเจ้าต้องการ..."
"ทำได้...จริงอย่างนั้นหรอ?"
"ใช่...! ขอแค่เพียงเจ้าช่วยดึงกระดาษแผ่นนี้ออกให้ข้า แล้วข้าจะทำให้ความปรารถนาของเจ้าก็จะเป็นจริง"
ทันทีที่หญิงสาวได้ยินแบบนั้นเลยเอื้อมมือออกไปอย่างช้าๆ จับไปที่กระดาษ แต่ในตอนนั้นเหมือนตัวเธอจะคิดอะไรได้บางอย่างเลยละมือและดึงกลับอย่างทันควัน
"ทำไม!? เจ้าถึงปล่อยมือด้วยล่ะ ไม่อยากที่จะทำให้ความปรารถนาของเจ้าเป็นจริงแล้วหรือไง?"
"อยากค่ะ!"
"ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมถึงได้ปล่อยมือล่ะ?"
"หากฉันทำตามที่คุณสั่งแล้ว...ฉันจะแน่ใจได้อย่างไรว่าความปรารถนาจะเป็นจริง"
"ข้าให้คำสัญญาว่าหากว่าเจ้าช่วยข้าความปรารถนาจะเป็นจริง"
"แค่คำพูดไม่ว่าใครก็พูดได้! อีกอย่างตัวคุณนั้นก็ไม่น่าจะใช่ ทั้งเผ่ามนุษย์ บีสท์ ดวอร์ฟหรือว่าเอลฟ์ และถ้าหากเกิดปล่อยตัวคุณออกมาแล้วทางนี้จะแน่ใจได้อย่างไรว่าจะปลอดภัย"
"ฉลาดจริงนะ! ก็ได้! ถ้าหากเจ้ากังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้น พวกเรามาทำพันธะแห่งเลือดไหม?"
"พันธะแห่งเลือด?"
"มันจะผูกข้าด้วยเลือดของเจ้า ตีตราความเป็นทาส ตราบใดที่ตรานั้นมันยังคงอยู่ข้าก็ไม่สามารถที่จะทำร้ายเจ้าได้ มีทางเดียวที่จะยกเลิกคือทำความปรารถนาเพียงหนึ่งเดียวของเจ้าให้เป็นจริง เอาล่ะ! นี่เป็นสิ่งที่ข้าเสนอให้เจ้าได้จะทำหรือไม่ก็แล้วแต่..."
หญิงสาวนั่งคิดไปชั่วครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกไปว่า "...ก็ได้ค่ะ! แล้วต้องทำอย่างไร?"
"ตามชื่อของมันเลยพันธะแห่งเลือดสิ่งที่จำเป็นก็คือเลือดของผู้ทำสัญญา...."
ไม่ทันที่ทางนั้นได้พูดจบหญิงสาวก็ได้เอาปากกาขนนกปักไปที่นิ้วมือจนเกิดเลือดไหลหยดลงพื้น ทันใดนั้นก็เกิดวงเวทเปล่งแสงสีแดงฉาน เผยให้เห็นผมสีทองเรียวยาวราวกับผ้าไหมของหญิงสาวผู้นั้น
"แล้วต้องทำอย่างไรต่อ?"
"เอามือของเจ้ามาแตะที่หน้าของข้า"
หญิงสาวนั่นยอมทำตามอย่างทันทีหลังจากได้ยินที่พูด เธอที่ได้สัมผัสกับใบหน้าที่แข็งราวกับหิน สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในไม่น่าจะใช่ผิวหนังของมนุษย์ เวลาผ่านไปสักพักมือข้างนั้นก็เริ่มรู้สึกเหมือนมีบางอย่างที่ร้อนมากๆ กำลังไหลขึ้นมาผ่านฝ่ามือ
"ร้อนจัง!...ความรู้สึกนี่มันคืออะไร?"
"ไม่ต้องห่วงมันไม่เป็นอันตราย วางใจได้"
"จะให้ทางนี้วางใจ..." ไม่ทันที่เธอได้พูดจบหลังจากนั้นบนฝ่ามือของเธอก็มีตราสัญลักษณ์สีแดงฉานส่องแสงประกายขึ้นมา
"เสร็จสมบูรณ์สินะ? นั่นแหละคือพันธะแห่งเลือดระหว่างเราสองคน"
"นี่หรอพันธะแห่งเลือด..." พอหลังจากที่เธอเชยชมได้ไม่นานแสงสีแดง และตราสัญลักษณ์มันก็ได้หายไป "อ๊ะ! หายไปแล้ว!"
"ไม่ต้องตกใจไป หากยามใดที่ท่านนึกถึงมัน ตราสัญลักษณ์ก็จะโผล่ขึ้นมาเอง" แล้วสิ่งนั้นก็พูดต่อมาอีกด้วยว่า... "เอาล่ะ! ต่อจากนี้ท่านคือนายของข้า ได้โปรด.. ช่วยปลดปล่อยตัวข้าที" ร่างสีดำนั้นเริ่มสุภาพกับหญิงสาวพร้อมกับก้มหัวทำความเคารพอย่างนอบน้อม
"อ๊ะ...! เกือบลืมไปเลย" ทันทีที่เริ่มรู้ตัวเธอก็เอื้อมมือออกไปแตะที่กระดาษใบนั้นและดึงมันออก
พอหลังจากที่ดึงกระดาษออกจากใบหน้าแล้ว... ในเวลาที่พร้อมๆ กันโซ่ที่ล่ามร่างกายสีดำอันใหญ่โตนั้นก็ถูกกระชากออกขาดอย่างง่ายดาย เกิดเสียงดังไปทั่วทั้งห้อง จนเริ่มมีเสียงเท้านับสิบพุ่งตรงมาที่พวกเขาทั้งสองอยู่
"ทำยังไงดี...! ทำยังไงดี...!" หญิงสาวเริ่มมีท่าทีที่ร้อนรนเหมือนว่าตัวเองได้ทำอะไรที่มันผิดลงไป...
"หลับตาลงซะ! นายของข้า..." ร่างสีดำพูดในขณะที่มือข้างหนึ่งก็เริ่มดึงถุงที่คลุมหัวอยู่ออกอย่างช้าๆ หญิงสาวนั้นก็รีบหลับตาลงตามที่บอกแล้วตัวเธอนั้นก็ได้สลบลงไป....
...
...
เธอค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นก็พบกับทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา สายลมพัดเย็นสบาย แสงแดดค่อยส่องสว่างให้ความอบอุ่น เธอลุกขึ้นยืนเพื่อรับลมที่พัดผ่านร่างกาย ผมสีทองเรียวยาวปลิวไสวไปตามสายลม สูดดมกลิ่นแสงแดดและใบหญ้า ในขณะที่เธอกำลังเพลิดเพลินอยู่นั้นเอง... ก็มีเสียงทุ้มต่ำที่คุ้นเคยดังขึ้นจากด้านหลัง...
"ตื่นแล้วสินะนายของข้า"
หญิงสาวจำเสียงนั่นได้ดีหันกลับไปอย่างทันควัน พบร่างกายสีดำใหญ่โต ผมสีดำเงายาวประบ่ากำลังนั่งมองมาที่เธอ บนใบหน้านั้นถูกปกปิดด้วยหน้ากากที่แปลกประหลาด
"ที่นี่คือที่ไหน?"
"ก็อย่างที่ท่านเห็นมันคือทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ ไม่ได้มีอะไรพิเศษไปกว่านั้น"
"นี่พยายามจะกวนฉันอยู่ใช่ไหมนี่ แล้วทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?"
"ข้าเป็นคนพาท่านออกมาเองแหละ! เพราะว่าคนอื่นอาจจะมารบกวนเรื่องของเราได้จึงจำเป็นต้องคุยกันในที่ส่วนตัวนิดหน่อย"
ร่างสีดำอันใหญ่โตลุกขึ้นยืนและเดินเข้าหาหญิงสาวอย่างช้าๆ พร้อมกับคุกเข่าก้มหัวให้เธออย่างนอบน้อม ก่อนจะพูดขึ้นว่า...
"ในเมื่อท่านช่วยข้าแล้ว...ทีนี้ข้าขอทราบสิ่งที่ท่านปรารถนาหน่อยได้ไหม?"
"สิ่งที่ปรารถนา..."
"ใช่แล้ว ไม่ว่าอะไรข้าก็จะทำให้เป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นเพชรนิลจินดา ลาภและเกียรติยศที่ไม่ว่าใครต่างก็พากันสรรเสริญ หรือว่าท่านอยากจะได้ชีวิตอันเป็นนิรันดร์ ข้าก็สามารถทำให้มันเป็นจริงได้ตราบที่ท่านต้องการ"
ในขณะที่หญิงสาวนั้นกำลังคิดเรื่องสิ่งที่ตัวเองต้องการนั้น ร่างสีดำก็พยายามพูดขึ้นโน้มน้าวไปต่างๆ นาๆ
"...เอาล่ะตัวตนที่แท้จริงของท่านนั้นเป็นอย่างไร? สิ่งที่ท่านต้องการทำให้เป็นจริงนั้นคืออะไรกัน!? เชิญท่านว่ามาได้เลย!"
...
...
"สวนดอกไม้..."
"เอ๊ะ...!" คำตอบที่ไม่คาดคิดออกมาจากหญิงสาวจนทำเอาอีกฝั่งนั้นสับสน อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ
"ช่วยพาฉันไปดูสวนดอกไม้ที่สวยที่สุดในโลกที นั่นแหละคือสิ่งที่ตัวฉันปรารถนา"
"...ฮะ...ฮ่าฮ่าฮ่า!" เขาหัวเราะออกมาอย่างสะใจเสียงดังจนทางหญิงสาวนั้นแสดงท่าทีเขินอายออกมา
"มันน่าขำนักหรอไงที่มาหัวเราะความฝันของคนอื่นน่ะ?"
"เปล่าเลย! ในมุมมองของข้ากลับว่านั่นมันช่างน่าสนใจเสียจริง ใช่! น่าคิดถึงมันจริงนั่นแหละ!"
"แล้วไหนล่ะ? ที่ว่าจะทำความปรารถนาของฉันให้เป็นจริง"
"ก็ได้! ตามที่ท่านปรารถนาเลย ข้าจะพาท่านไปเองสวนดอกไม้ที่สวยที่สุดในโลก สถานที่ซึ่งมีแสงแดดส่องให้ความอบอุ่นตลอดทั้งปี ที่นั่นคือ... "อีเดน"
"ก็แล้วไหนล่ะ? ที่ฉันเห็นตรงนี้มันก็แค่ทุ่งหญ้าเองไม่ใช่หรอ?" เธอเริ่มแสดงสีหน้าไม่พอใจหน้าบึ้งตึงจนแก้มป่อง
"ใจเย็นก่อนนายท่าน...ท่านยังจำคำปรารถนาที่ท่านขอร้องข้าได้ไหม? ที่ว่าช่วยพาไป..."
หญิงสาวเริ่มรู้ตัวว่าได้เสียรู้กับอีกฝ่ายเสียแล้ว เธอได้พูดคำปรารถนาที่กำกวมออกไปโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว
"ซึ่งนั่นก็หมายความว่า..."
"ข้าจะพาท่านไปเองทวีปอีเดน เพื่อชมเชยสวนดอกไม้ที่ท่านปรารถนา"
"แล้วถ้าเกิดฉันบอกว่าอยากจะดูมันตอนนี้ล่ะ?"
"ข้าก็ไม่ห้ามท่านหรอกนะ แต่ว่าท่านลองคิดดูดีๆ นะจะมีสักกี่คนที่จะได้เดินทางพบสิ่งต่างมากมายที่มีมากกว่าตัวอักษรในหนังสือ ซึ่งในระหว่างทางนั้นท่านอาจจะได้พบหลายสิ่งที่ตัวท่านสงสัยก็เป็นได้"
หญิงสาวครุ่นคิดไปสักพักหนึ่ง "อืม.....ก็ได้! ถ้าอย่างนั้นทำตามที่นายบอกแล้วกัน ช่วยพา...ฉันไปทีได้ไหม?"
"น้อมรับบัญชานายของข้า..." ร่างสีดำก้มหัวลงอย่างนอบน้อมทำความเคารพหญิงสาว แล้วเงยหน้าอย่างช้าๆ "จะว่าไป...ข้ายังไม่ทราบเลยว่าท่านชื่ออะไร?"
"ก็จริงแฮะ! เกิดเรื่องวุ่นวายจนลืมแนะนำตัวไปเลย... ฉัน "เซเลน่า" องค์หญิงอันดับหนึ่งของราชวงศ์เรนาเลีย แล้วทางนั้นล่ะ?" หญิงสาวผมสีทองยาวเรียวเป็นประกายสวยงามแนะนำตัวเองว่า "เซเลน่า"
"เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับใช้นายของข้าเซเลน่า นับแต่นี้ข้าคือข้ารับใช้ท่าน หนึ่งในเจ็ดบัญญัติต้องห้าม ปีศาจแห่งความโลภ มีนามว่า "แมม่อน"
"ปีศาจอย่างนั้นหรอ?" เซเลน่าทำท่าทีตกใจอย่างคาดไม่ถึงออกมา
"ใช่แล้ว! ข้าเป็นเผ่าปีศาจ คงตกใจสิท่า... ไม่แปลกใจ-"
ยังไม่ทันที่ทางแมม่อนได้พูดจบทางเซเลน่าก็เข้ามาจับที่ตัวของเขา แล้วทำท่าทางสนใจเป็นอย่างมากเลยที่เดียวหลังจากที่ได้ยินว่าแมม่อนคือปีศาจ
"น่าสนใจจริงๆ เป็นอย่างนี้นี่เอง"
ซึ่งทางแมม่อนก็แปลกใจเป็นอย่างมากที่เห็นการตอบรับของเซเลน่า เลยถามไปว่า...
"ท่านไม่ตกใจหรือรู้สึกกลัวบ้างหรอ?"
"จะตกใจก็ตกใจอยู่หรอก ก็แหม...! เผ่าปีศาจตัวเป็นๆก็พึ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรกนี่แหละ เผ่าที่ไม่มีบันทึกอยู่ในคัมภีร์โลก เผ่าปริศนาที่ไม่มีทั้งจุดกำเนิดหรือที่มาที่ไปอย่างชัดเจน บางที่ฉันอาจจะเป็นผู้ค้นพบอะไรใหม่ๆของโลกนี้ก็ได้"
...คัมภีร์โลกเป็นสิ่งที่บันทึกเรื่องราวทั้งหมดที่อยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ สัตว์ป่า หรือว่าพืชพรรณ ทุกอย่างล้วนถูกบันทึกลงในนั้นอย่างละเอียด ไม่มีใครรู้ว่ามันมีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือว่าใครเป็นคนสร้าง บ้างก็ว่าพระเจ้าเป็นคนบันทึกเพื่อให้เผ่าพันธุ์ด้านล่างนำความรู้ไปใช้ในการเอาชีวิตรอด ซึ่งในปัจจุบันคัมภีร์เล่มนี้ถูกเก็บรักษาเอาไว้โดยศาสนจักร นอกจากที่จะเผยแพร่ภูมิความรู้ที่ได้จากคัมภีร์แล้ว ศาสนจักรยังทำการเอาความรู้ในคัมภีร์โลกคัดลอกและแบ่งขายออกไปอีกด้วย
เซเลน่านั้นยังคงสนใจเพราะว่าเผ่าปีศาจนั้นตัวเธอเองก็พึ่งจะเคยได้ยิน เลยพยายามถามซักไซร้แมม่อนไป "พวกนายกำเนิดมาได้อย่างไร? พวกนายกินอะไรเป็นอาหารและทำไมถึงไปอยู่ในห้องขังใต้ปราสาทได้? ฉันล่ะสงสัยจริงๆ"
"...เอาเป็นว่าข้านั้นก็มีพ่อและแม่เหมือนกับท่าน ต้องกินอาหารเหมือนกัน ถึงแม้จะไม่ค่อยได้กินเท่าไหร่...ก็เถอะ! ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมข้าถึงไปอยู่ตรงนั้นได้...ตัวข้าเองดูเหมือนว่าความทรงจำในช่วงนั้น มันจะยังเลือนราง...ยังไงไม่รู้"
"งั้นหรอ...?"
"จะว่าไปข้ายังไม่ได้ถามนายท่านเลย ทำไมองค์หญิงอย่างท่าน ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของประเทศ ท่านที่กำเนิดเกิดมามีทุกอย่างแท้ๆ ถึงต้องการความปรารถนาแบบนั้นล่ะ?"
เซเลน่ายิ้มออกมาแล้ววิ่งออกไปบนทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ กางแขนทั้งสองข้างออกรับลมที่พัดเข้าหาตัวพร้อมกับผมและชุดเดรสที่ปลิวไสวไปตามลม และเธอก็หันกลับมาตอบกลับสิ่งที่แมม่อนถามด้วยความสงสัย
"ก็ถึงแม้ชีวิตนี้ฉันจะมีทุกอย่างแล้วก็ตาม แต่ในนั้นฉันไม่เคยได้วิ่งเล่นแบบนี้ ไม่เคยได้สัมผัสกลิ่นอายหญ้าและแสงแดดแบบนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว ชีวิตที่เหมือนอยู่ในกรงแบบนั้นฉันไม่อยากที่จะได้มันหรอก ฉันอยากที่จะเห็น อยากที่จะรู้ อยากที่จะได้สัมผัสเรื่องราวต่างๆ ที่ในหนังสือไม่มี อยากจะเขียนเรื่องราวของตัวเองขึ้นมาใหม่ เรื่องราวการเดินทางและจุดสิ้นสุดของตัวฉันเองก็เท่านั้น..."
"อย่างนั้นเองหรอ? ช่างเหมือนกันเสียจริงๆ" เพียงแค่ชั่วครู่หนึ่งที่ทางแมม่อนนั้นได้เห็นภาพทับซ้อนที่คุ้นเคย...
"นายว่าอย่างไงนะ?"
"ท่านคงแค่หูแว่วไปเอง" หลังจากนั้นแมม่อนทำท่าทางคว้าตวัดอากาศ วินาทีนั้นจากในมือที่ว่างเปล่าอากาศได้กลายมาเป็นผ้าคลุมหนึ่งผืน แล้วก็ยื่นมันให้กับเซเลน่า
"อย่างน้อยพวกเราจะต้องเดินทางกันอีกไกล สวมนี่ไว้อย่างน้อยมันก็สามารถที่จะใช้ห่มในตอนกลางคืนได้ และก็...." แมม่อนยื่นจี้ห้อยคอที่รูปร่างแปลกประหลาดให้กับเธอ "อันนี้มันจะทำให้คนอื่นๆ นั้นไม่สามารถจดจำใบหน้าของท่านได้ถ้าสวมมันไว้ มันมีอันเดียว...ฉะนั้นอย่าได้ทำหายหรือห่างจากตัวท่านเด็ดขาด!"
"เป็นเพราะเวทมนตร์อย่างนั้นหรอ?" เหมือนว่าทางเซเลน่าจะสนใจต่อสิ่งนั้นน่าดูเธอจ้องอย่างไม่ลดละ และค่อยสวมมันเข้าที่คอ "แบบนี้...โอเคแล้วสินะ?"
"เอาล่ะในเมื่อเตรียมตัวพร้อมแล้วพวกเราก็ไปกันเถอะนายท่านของข้า" แมม่อนเสกผ้าคลุมอีกอันสวมเข้าที่ตัวเองและกำลังจะเริ่มเดินทาง ในตอนนั้นเองที่ทางเซเลน่าก็ร้องออกมาอย่างตกใจ
"ไม่มี! ไม่มี! ไม่มี! ว่าแล้วเชียวน่าจะทำหายในตอนนั้นแน่เลย" เธอค้นไปทั่วทั้งตัวเหมือนว่าทำของหล่นเอาไว้ที่ไหนสักแห่ง
"ทำอะไรหายหรอ? นายท่านของข้า"
"บันทึกของฉันน่ะ! น่าจะหล่นหายตอนที่นายพาฉันออกมาแน่เลย จะกลับไปเอาก็คงจะไม่ได้ด้วยสิ!" เซเลน่าแสดงสีหน้ารู้สึกเสียดายขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
ทางแมม่อนที่เห็นแบบนั้นเลยพูดให้ทางเซเลน่าสบายใจว่า...
"นายท่านไม่ต้องห่วงในเมืองข้างหน้านี้พวกเราค่อยไปหาซื้ออันใหม่จากที่นั่นก็ได้ หรือว่าในสมุดเล่มนั้นมีสิ่งสำคัญของท่านอยู่อย่างนั้นหรอ?"
"ไม่หรอกกลับกันมันก็เป็นแค่ความทรงจำที่มีกับพวกเมดและคนรับใช้เท่านั้น ก็แค่รู้สึกเสียดายนิดหน่อยเท่านั้นเอง"
"หากท่านเสียดาย ให้ข้าพากลับไปเอามันไหม? แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าครั้งนี้จะหนีออกมาได้อีกหรือเปล่า"
"ช่างเถอะ! ไหนๆ แล้วนี่อาจจะเป็นศักราชใหม่ในการการเดินทางครั้งใหม่กับบันทึกเล่มใหม่ ไม่คิดอย่างนั้นบ้างหรอ?"
...พอเซเลน่าตัดสินใจได้แล้วที่จะเลือกทิ้งสมุดบันทึกเล่มเก่าของตัวเอง ทั้งสองก็รีบมุ่งหน้าเดินทางไปที่เมืองแพริออท