"เอาจริงดิได้ฝึกที่นี่อะนะ กูจะรอดไหมเนี่ย"
"ทำใจเถอะเพื่อนก็ให้อาจารย์เลือกมันก็เป็นงี้แหละ"
ทุกคนคงจะสงสัยว่าพวกผมสองคนพูดเรื่องอะไรกัน เรื่องที่ผมพูดกันอยู่นั่นก็คือเรื่องฝึกงานและที่สำคัญสถานที่ที่ผมได้ไปนั้นก็คือสำนักงานราชการ แค่คิดก็เหมือนจะไม่รอดแล้ว ผมจะอธิบายคร่าวๆให้เข้าใจ พวกผมเป็นนักเรียนสายอาชีพซึ่งตอนนี้ผมอยู่ปีสามแล้ว ผมเรียนด้านศิลปะสาขาคอมกราฟิก ปีสามทุกรุ่นจะมีฝึกงานตลอดทั้งเทอมแรกแต่เหมือนจะได้ยินมาว่าจะจบแค่รุ่นผมแล้ว
"ยังดีที่ได้มาคู่ถ้าแยกกันกูเหงาตายแน่"
"ก็จริง5555" ผมหัวเราะกับท่าทางเหมือนจะตายของไอ้ 'ณัฐ' เพื่อนสนิทของผม รู้จักกันตั้งแต่เข้าปีแรก ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดหรือเข้าหาคนไม่เก่ง ก็มีมันนี่แหละที่เข้ามาคุย ตอนนี้ผมสองคนนั่งรออาจารย์มาเพื่อพาไปที่ฝึกงาน เอาจริงๆก็ไม่ได้มีแค่พวกผมสองคนที่ฝึกอยู่ที่นั่นยังมีเพื่อนในกลุ่มไปอีกสองซึ่งอยู่คนฝ่ายกัน ดูเหมือนรถของอาจารย์จะมาแล้วผมเลยสกิดขาไอ้ณัฐที่กำลังนอนพลิกไปพลิกมาอยู่ให้ลุกขึ้น
"อาจารย์สวัสดีครับ" ผมยกมือไหว้อาจารย์ที่ปรึกษาและเป็นคนที่จับผมมาลงฝึกที่นี่
"สวัสดีนักเรียนที่น่ารัก ตื่นเต้นไหมเนี่ย"
"นิดหน่อยครับจารย์" ผมตอบหัวเราะแห้งๆ
"งั้นก็ขึ้นรถเลยเดี๋ยวจะไปสายเอา เราจะต้องสร้างความประทับใจแรกเข้าใจไหม" อาจารย์เรียกให้ขึ้นรถที่ภายในมีเพื่อนที่ผมพูดถึงนั่งรออยู่มันโบกมือทักทายให้ผม ผมก็ยิ้มๆส่งไป
"เดี๋ยวผมขี่รถไปเองจารย์ผมเอารถมาให้ไอ้ณัฐมากับผมได้"
"ไปถูกใช่ไหมขี่รถดีๆล่ะ แล้วไปเจอกันที่อาคารหลังใหม่โอเคนะลูก" ผมกับไอ้ณัฐพยักหน้าตอบรับก่อนจะขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์คู่ใจออกนำไปก่อน
พอถึงที่หมายผมก็วนหาที่จอดกันอยู่ซักพักเพราะหาที่จอดไม่ได้กว่าจะได้ที่เล่นเอาซะน้ำมันยุบไปเยอะเลย ไม่นานรถของอาจารย์ก็ขับเข้ามาผมสองคนยืนรอก่อนที่อาจารย์จะสั่งให้พวกเราดูความเรียบร้อยของเสื้อผ้าต่างๆ แล้วก็พาขึ้นลิฟท์ชั้นที่กดคือชั้นที่ห้า เท่าที่ดูเหมือนจะมีห้องประชุมอยู่สองห้องและห้องทำงานอีกสองห้องอาจารย์ให้ผมกับไอ้ณัฐยืนรอข้างนอกก่อน ไม่นานเท่าไหร่ก็เรียกพวกผมให้เดินไปอีกห้องนึงผมเดินตามอย่างเงียบๆ ภายในก็ดูจะแออัดหน่อยๆผมชายมองไปเรื่อยๆจนเดินมาถึงโต๊ะที่อาจารย์บอกว่านี่คือหัวหน้าฝ่ายบริหารผมยกมือไหว้สวัสดีอย่างมีมารยาท
"นี่คือเด็กสองคนที่ครูจะฝากให้ฝึกงานน่ะค่ะ..." ผมไม่ได้ฟังที่เขาพูดคุยกันซักเท่าไหร่อย่าว่าแต่ผมเลยไอ้ณัฐก็ยืนหาวมาหลายรอบแล้ว เท่าที่ผมได้ยินผ่านๆหูเหมือนว่าหัวหน้าฝ่ายคนนี้จะชื่อวันดี
ดูเหมือนจะคุยกันเสร็จแล้วพวกผมกับอาจารย์ก็ลากัน แล้วหัวหน้าฝ่ายก็พาทัวร์เดินดูแต่ละส่วน แบ่งได้คร่าวๆ5ฝ่าย ผมถูกส่งมาอยู่ช่วยฝ่ายกฎหมายซึ่งพี่เลี้ยงของผมแอบน่ากลัวนะเนี่ย...
"สวัสดีครับพี่" ผมยืนไหว้อยู่หน้าโต๊ะทำงานพี่เขาที่กำลังจดจ่ออยู่กับหน้าคอมพิวเตอร์ ภายนอกของเขาดูยังวัยรุ่นอยู่ หน้าตาดีแต่ติดตรงที่คิ้วหนาขมวดเข้าหากันจนแทบจะผูกเป็นปม ผมคืนค้างท่าไหว้จนพี่เขาเงยหน้ามองขึ้นมาก่อนจะพูดว่า "อืม" ห้ะ! แค่นี้เรอะ!
ทำผมไปต่อไม่ถูกเลย แล้วนี่ต้องทำไงต่อผมหันซ้ายหันขวามองไอ้ณัฐที่ได้โต๊ะนั่งแล้วมันกับผมแยกกันอยู่คนละฝ่ายมันได้ไปอยู่มาตรฐานซึ่งนั่งอยู่คนละส่วนกันเลย ไอ้ณัฐมองผมทำท่าหัวเราะใส่ ผมทำได้แค่ถลึงตาด่ามันในใจ เหมือนมันอ่านใจผมได้มันทำท่าดันแว่นโดยใช้นิ้วกลาง นี่ถ้าเกิดไม่ได้อยู่ในที่ทำงานนะผมคงเดินไปเขกกระบาลมันแล้ว
"มานั่งตรงนี้" ผมหันไปตามเสียงก็เห็นพี่เขากำลังยกกล่องเอกสารออกจากโต๊ะจากที่ตอนแรกรกมากมีแต่กองแฟ้มเอกสารและข้าวของวางละเกะละกะเต็มโต๊ะไปหมด ผมรีบเดินเข้าไปช่วยหยิบออก โต๊ะทำงานของผมกับพี่เขาอยู่ติดกันเลย เอกสารต่างๆถูกยกไปเก็บไว้ข้างโต๊ะเขา งานคงเยอะมากเลยสินะเนี่ยผมนึกในใจ เมื่อพี่เขาจัดอะไรเสร็จก็กลับมานั่งพิมพ์งานต่อ แล้วนี่ผมต้องทำอะไรต่อล่ะ? ผมชะโงกดูเพื่อนของผมที่ตอนนี้มันกำลังตั้งใจฟังพี่เลี้ยงสอนงานอยู่ แล้วกลับมาดูที่ผม ผมก็อยากจะชวนคุยนะแต่ติดตรงที่ผมไม่กล้านี่สิแถมพี่เขายังตั้งใจทำงานแบบไม่สนใจใครเลย แล้วใครจะกล้าเรียกวะ จะหยิบโทรศัพท์มาดูเวลาก็ไม่กล้าอีกอึดอัดจังโว้ย!!
"ช่วยตรวจคำผิดให้พี่หน่อย" ผมสดุ้งเพราะอยู่ดีๆพี่เขาก็พูดขึ้นมาตอนผมกำลังเหม่อๆ มาพร้อมกับกองเอกสารปึกใหญ่ยื่นมาให้ผม ผมรับมาไว้วางบนโต๊ะ "โครตหนักอะ พี่เขายกมือเดียวได้ไง"
"พี่คงแข็งแรงมั้ง"
"ห้ะ!" ผมถึงกับห้ะอย่าบอกนะเมื่อกี้เผลอพูดไปอะ ผมหันไปยิ้มๆแก้เขินก่อนจะกลับมาจดจ่ออยู่กับเอกสาร
ผมเป็นคนที่สายตาสั้นเลยต้องก้มมองเอกสารในมือจนแทบจะสิงได้เลยสายตากวาดมองไล่ดูคำผิดทุกบรรทัดไม่ให้มีตกหล่นจนตาแทบแห้ง พอไล่ดูใบสุดท้ายเสร็จผมนี่ถึงกับโล่งเลยกว่าจะครบนี่ล่อไปเป็นชั่วโมงโอ้ยปวดตาไปหมด ผมเอนหลังเข้ากับที่พิงของเก้าอี้ เหมือนจะได้ยินเสียงกระดูกลั่นเลย
"เสร็จแล้วหรอ" พี่เขาหันมาถาม ผมพยักหน้าตอบ
"มีตรงไหนผิดมั่งไหม" เขาชะโชกดูกระดาษว่างเปล่าที่ผมวางไว้เผื่อมีคำผิดจะได้จดเลขหน้าใส่เอาไว้
"เหนื่อยไหม จริงๆมันไม่มีคำผิดหรอกอีกอย่างมันของปีที่แล้วที่เอาให้ทำเพราะกลัวจะไม่มีไรทำ" พี่เขาพูดด้วยสีหน้านิ่งเฉย
"อ่าวพี่..." ผมนี่ร้องเลยครับ ผมทำท่าทางเหมือนจะจะสลบ
"ก็เห็นนั่งเกร็งๆ" เขาพูด ผมเลหลือบเห็นพี่เขาแอบยิ้มมุมปากแต่ก็ไม่กี่วิเขาก็เปลี่ยนเป็นหน้านิ่งๆเหมือนเดิมผมกับพี่เขาก็ได้พูดคุยกันบ้างจนรู้ว่าพี่เขาชื่อ 'เปรม' พี่เปรมบอกว่าเขาอายุยี่สิบหกทำงานที่นี่ได้สามปีแล้วแต่หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้พูดคุยหรือทำอะไรเลยได้แต่นั่งจ้องพี่เปรมทำงานจนถึงเวลาเลิกงานของผม
.
.
.
ผมเดินออกมาจากลิฟท์พร้อมไอ้ณัฐสภาพมันตอนนี้คือเหมือนหมดพลังกายไปมาก ผมถามมันว่าได้ทำอะไรมั้ง มันบอกว่าได้เขียนรองรับเอกสารอะไรไม่รู้เยอะแยะไปหมด ผมขำท่าทางที่มันกำลังสาธยาย ผมก็เล่าในส่วนของผมให้มันฟังบ้าง มันทำหน้าอิจฉาบ่นโวยวาย
"ไอ้ยอดทำไมมึงแม่งดีจังวะ มาเปลี่ยนที่กับกูเถอะมาวันแรกกูก็แทบตายแล้ว" ผมหัวเราะเยาะเย้ยสมน้ำหน้ามัน แหมทีเมื่อเช้ายังกวนตีนอยู่เลยมาตอนนี้อิดออดอยากแลกที่ เหอะ! เสียใจด้วยว่ะเพื่อน
"โถ่ ไม่ต้องร้องนะเพื่อน มันก็แค่วันแรกเดี๋ยวพี่เปรมเขาก็คงให้งานกูทำบ้างแหละ" ผมตบบ่าปลอบใจไอ้ณัฐ
"เดี๋ยวกูเลี้ยงไส้กรอกไม้นึงนะเพื่อน อย่าเศร้านะครับเพื่อน" มันพยักหน้า ผมเดินคุยกันไปจนถึงที่จอดมอเตอร์ไซค์ของผม บังเอิญเจอเพื่อนอีกสองคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ มันสองคนหันมาทักทาย
"อ่าวเพื่อนกลับบ้านกันยังไงเนี่ย" ผมถามไอ้ 'เอ' และไอ้ 'พี'
"กูรอรถตาช่วยมารับอะไอ้พีมันก็รอเพื่อนที่เทคนิคมารับ" ไอ้เอเป็นคนเดียวที่ขี่มอเตอร์ไซค์ไม่เป็นคนเดียวทุกวันนี้มันต้องขึ้นรถประจำมาเรียนตลอด ส่วนไอ้พีมันมีเพื่อนข้างบ้านเรียนเทคนิคมันก็อาศัยติดรถมาด้วยเพราะเป็นทางผ่านแม่มันไม่ให้เอารถมอเตอร์ไซค์มาถ้าหากไม่มีเหตุจำเป็น ผมก็อยู่คุยกันกับพวกมันอยู่ซักพักก็แยกย้ายกันเดี๋ยวจะกลับถึงบ้านเย็น ผมแวะซื้อไส้กรอกให้ไอ้ณัฐตามที่สัญญาแล้วไปส่งไอ้ณัฐที่วิลัย เพราะมันเอารถไว้นี่เมื่อเช้า หลังจากที่ลากันผมก็ขี่รถกลับบ้านทางประจำ ผมมักจะขี่ทางหน้าเขื่อนเพราะจะได้ไม่ต้องติดไฟแดง ช่วงเย็นๆก็จะมีผู้คนไม่ว่าจะหญิงหรือชายต่างก็มาวิ่งออกกำลังกายหน้าเขื่อนกันทุกวัน ตลอดที่ผมเรียนที่นี่ถนนเส้นนี้ไม่ค่อยเปลี่ยนไปเลยโดยเฉพาะถนนเนี่ย! เป็นคลื่นเลยบางจุดก็ขรุขระขี่รถผ่านทีหน้าสั่นทุกรอบ ผมก็ภาวนาให้เขามาทำถนนใหม่ซะที รถผมจะพังตอนไหนก็ไม่รู้
ผมขี่ออกมาจากหน้าเขื่อนโผล่มาที่ถนนใหญ่ ตอนเย็นแบบนี้รถก็ไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ส่วนมากก็จะเป็นนักเรียนเทคนิคที่เลิกเรียนเวลานี้ บางครั้งผมก็เห็นพวกเขาชอบขี่รถแข่งกันเนื่องด้วยถนนจะโล่งมาก ผมอดไม่ได้ที่จะขำกับท่าขับของแต่ละคน บางคนนี่ท่ายังกะตั๊กแตนเห็นกี่ทีก็กลั้นขำแทบไม่อยู่
.
.
.
ผมขี่รถช้าๆ รับลมชมบรรยากาศริมทางที่เป็นท้องไร่ท้องนาอย่างที การกลับบ้านของผมก็ไม่มีอะไรมากหรอกผมใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงในการขี่รถกลับบ้าน วันนี้มีตลาดคนส่วนใหญ่เรียกตลาดนี้กันว่าตลาดหน้าอำเภอผมเลี้ยวเข้าหาที่จอดก่อนจะเดินซื้อของกินไม่วายที่จะไม่ลืมแวะซื้อผัดไทเจ้าประจำตลอดแน่นอนว่ารสชาติอร่อยมากราคาก็ไม่แพงแค่กล่องละสิบบาท ผมชอบซื้อไปฝากยาย ยายผมก็ไม่เคยเบื่อ หลังจากเสร็จธุระการจ่ายตลาดผมหิ้วถุงกับข้าวไปแขวนหน้ารถและเปิดโทรศัพท์ดูเวลาตอนนี้ก็ห้าโมงกว่าแล้วผมรีบเก็บโทรศัพท์ ขี่รถกลับบ้าน ระยะทางจากตลาดกับบ้านก็ไม่ไกลเท่าไหร่ขี่ถนนสายคันคลองไปเรื่อยๆ ก็จะเจอกับทางเลี้ยวลงเข้าหน้าโรงเรียนประถมผมก็เป็นศิษย์เก่าของที่นี่บ้านผมจะอยู่หลังโรงเรียนติดกลับทางขึ้นแม่น้ำเจ้าพระยา
ซอยเข้าบ้านก็จะเป็นเลนเดียวเวลามีรถใหญ่สวนมาผมนี่แทบจะหลบเข้าป่าข้างทาง บ้านของแต่ละคนก็จะติดๆกัน ผมขี่รถมาจอดหน้าบ้าน ประตู้รั้วเหล็กสีม่วงถูกดันออก ผมเอารถเข้าจอดที่โรงรถก่อนจะหิ้วสัมภาระต่างๆเข้าบ้าน เอาผักผลไม้แช่ตู้เย็นแจกแจงกับข้าวให้กับคนในบ้าน
"วันนี้มีตลาดหน้าอำเภอหรอ" ยายผมถามพลางหยิบกล่องผัดไทเปิดดู
"ใช่ครับ แต่วันนี้ของกินไม่ค่อเยอะเท่าไหร่" ผมตอบโดยที่มือก็ยังสาละวนกับการเตรียมวัตถุดิบทำกับข้าว ผมเตรียมของอะไรต่างๆเสร็จก็เร่งฝีเท้าเข้าครัวทันทีเย็นนี้ผมจะทำกระเพราไข่เยี่ยวม้าเมนูง่ายๆใครๆก็ทำได้ ผมทำทุกอย่างอย่างทะมัดทะแมง แต่สิ่งนึงที่ผมไม่ชอบเลยคือ... การผัดพริกกระเทียมทุกคนคงจะเข้าใจผมใช่ไหม ผัดไปไอไปจนน้ำตาไหล เมื่อได้ที่ผมไส่หมูสับลงผัดให้สุกตามด้วยเครื่องปรุงรสแล้วใส่ไข่เยี่ยวม้าที่หั่นเตรียมไว้แล้วกลิ่นหอมเตะจมูกทำเอาท้องผมร้องโครกครากตบท้ายด้วยใบกระเพรา ผัดคลุกไม่กี่ก็จัดจานได้ น่าตาน่ากินรสชาติอร่อยแน่นอนการันตีโดยเชฟยอร์ช ฝีมือการทำกับข้าวนี้ได้แม่ผมสอนมาตั้งแต่เด็กเผื่อเวลาไม่มีอะไรกินจะได้ทำกินเองได้ ผมตักเตรียมข้าวสวยใส่จานยกไปวางไว้บนโต๊ะก่อนจะจัดหนักกินกับข้าวฝีมือตัวเองอย่างเอร็ดอร่อย ผมเก็บเรียบไม่เหลือแม้แต่ข้าวเม็ดเดียวนั่งย่อยได้ซักพักผมก็เก็บถ้วยจานต่างๆล้างเก็บให้เรียบร้อยก่อนจะเข้าอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อเปลี่ยนผ้า หลายๆคนคงจะเป็น เวลาอาบน้ำผมชอบเปิดคอนเสิร์ตวันนี้ผมโคฟเวอร์เป็นพี่โป่งหิน เหล็ก ไฟ ร้องเพลงพลังรัก
"พลังแห่งรัก! ใคร่! มันมีพลังพลัง บัญชาให้คุณทำอะไรได้ทุกๆอย่าง"
"พี่โป่งครับ เบาๆหน่อยโว้ยดังมาถึงในห้องเลย" ไม่ใช่ใครนั่นเสียงพี่ 'เบส' พี่ชายผมเองแต่เป็นพี่ไม่แท้นะเราอายุห่างกันเจ็ดปีถึงอายุจะห่างกันเยอะแต่ผมกับพี่เบสก็สนิทกันมาก
"โถ่ อารมณ์กำลังมาเลย" ผมเบาเสียงเพลงตะโกนตอบออกไป
"นี่ขนาดอารมร์กำลังมายังดังขนาดนี้ ตอนมาเต็มคงได้ยินยันปากซอย" ไม่เข้าใจอารมณ์ศิลปินเล้ย! ผมเงียบไม่ได้ตอบอะไรกลับไปก่อนเร่งเสียงเพลงที่เปิดค้างไว้ ไม่นานนักผมก็อาบน้ำทาแป้งเปลี่ยนเป็นชุดนอนเสร็จเรียบร้อย ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูแจ้งเตือนข้อความจากไอ้ณัฐที่ส่งมา
-ยอด ตีป้อมกัน
ไม่เอาอะขี้เกียจ-
ไปชวนไอ้เอไอ้พีเล่นไป๊-
-วุ๊! ก็ได้
ผมปิดโทรศัพท์นอนคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ตอนนี้เป็นเวลาเกือบๆสองทุ่มผมยังไม่ง่วงเท่าไหร่ปกติผมเป็นคนนอนดึกอยู่แล้ว ในห้องเงียบมากจนได้ยินเสียงยุงบินอยู่ข้างหู ผมนอนพลิกพลิกมาไม่รู้จะทำอะไรนึกได้ว่าอ่านหนังสือค้างไว้เห็นดังนั้นผมดีดตัวลุกขึ้นจากเตียงเดินจ้ำไปที่ชั้นหนังสือ มีหนังสือมากมายเรียงเต็มไปหมด ผมเป็นคนที่ชอบอ่านพวกนิยายมันไม่แปลกใช่ไหมถ้าผู้ชายอย่างผมชอบอ่าน ผมเลือกหยิบนิยายเรื่องนึงออกมาภายในมีที่คั่นบ่งบอกว่าอ่านถึงตรงนี้ ผมล้มตัวนอนอ่านที่เตียงไม่ลืมที่จะเปิดเพลงเบาๆไปด้วย
.
.
.
ผ่านไปไม่รู้กี่ชั่วโมงแล้ว ผมเอามือปิดปากหาวมือคว้าโทรศัพท์ปิดเพลงไม่ลืมที่จะเสียบสายชาร์จแบต ตอนนี้ผมง่วงจนขี้เกียจที่จะลุกเอาหนังสือไปเก็บไว้ที่เดิม ผมวางไว้บนหัวนอนแทนมือเอื้อมปิดไฟพร้อมเข้านอน...
.
.
.
เปรมpart
กว่าผมจะกลับถึงบ้านก็เย็นมากแล้ว ผมหยิบข้าวกล่องออกมาจากตู้เย็นเตรียมเวฟ ในตู้เย็นก็อย่างที่เห็นไม่มีอะไรมากนอกจากข้าวกล่องแช่แข็งกับน้ำเปล่ามีเบียร์ไม่กี่ขวด ผมไม่ได้ทำกับข้าวกินเองมานานมากแล้ว ระหว่างรอข้าวกล่องอุ่นเสร็จผมกดน้ำร้อนชงกาแฟดื่ม ยืนคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปแต่อยู่ๆก็มีหน้าไอ้น้องฝึกงานแวบเข้ามาในหัว "แล้วพรุ่งนี้เราจะสอนอะไรให้ดีล่ะเนี่ย" ผมสบัดหัวไล่ความคิด ผมไม่รู้จริงๆว่าจะต้องสอนอะไรเพราะงานของผมก็มีแต่เรื่องที่ไอ้น้องฝึกงานไม่เข้าใจแน่ เห้อ... ผมพ่นลมหายใจออกมาจังหวะเดียวกันข้าวกล่องของผมก็อุ่นเสร็จ ผมใส่ถุงมือยกกล่องช้าวออกมาวางไว้ทีโต๊ะหน้าทีวี มือเอื้อมหยิบรีโมทกดเปิดไล่ดูรายการทีวีไปเรื่อยๆ ก่อนจะเจอรายการที่ถูกใจจึงตั้งใจกินข้าวพลางดูทีวีไปด้วย หลังจากเก็บอะไรเสร็จผมถอดเสื้อผ้าโยนลงตะกร้านุ้งผ้าขนหนูปิดเพียงท่อนล่าง ผมเดินมาหยุดที่หน้ากระจกบานใหญ่ใช้สายตาพินิจวิเคราะห์รูปร่างตัวเอง ผมชอบออกกำลังกายนั่นทำให้ผมมีกล้ามและซิคแพคเป็นลอนชัดเจน นึกคิดถึงตอนที่ผมยกปึกเอกสารนั้นแล้วเจ้าเด็กนั่นเผลอหลุดปาก "พี่คงแข็งแรงจริงๆนั่นแหละ" ผมรีบเดินเข้าห้องน้ำเพื่อชะล้างร่างกายเพราะยังมีงานอีกเยอะที่ผมต้องทำ