บทที่ 306 : เลคเชอร์พลิกโลกความรับรู้!
________________________________________________________
ห้องประชุม
เสียงจ้อกแจ้กจอแจดังเล็ดลอดออกมาข้างนอก
หน้าห้องประชุมมีคณาจารย์ส่วนหนึ่งของภาควิชาคณิตศาสตร์เดินผ่านมา
"หือ? ทำไมข้างในเสียงดังจัง?"
"ไม่มีอะไรมั้ง? ก็เลคเชอร์สาธารณะนี่?"
"ไอ้พิธีกรจางเย่นั่นมาเปิดเลคเชอร์ใช่ไหม? ทำไมวุ่นวายจัง? เสียงกรี้ด?"
"เหอะ วิชานี้กลายเป็นหนังสยองขวัญไปแล้วสินะ ถึงขนาดมีเสียงคนกรี้ดด้วย? น่าแปลก ก็แค่เลคเชอร์นี่นา"
แล้วหลายคนตรงนั้นก็พากันเดินผ่านไป
………...
ชั้นล่างมีนักศึกษาจำนวนมากได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวในห้องประชุม ทุกคนต่างสงสัยกันสุดๆ ใครรู้บ้างเนี่ยว่าในนั้นเกิดบ้าอะไรขึ้น?
มีแต่คนที่อยู่ในห้องประชุมเลคเชอร์สาธารณะเท่านั้นที่รู้ คำพูดของจางเย่นี่แหละที่เป็นตัวก่อความแตกตื่นได้หนักขนาดไหน!
เหิมเกริมจริงๆ!
เหิมเกริมจนไม่เกรงกลัวฟ้าดิน!
กล้าเสนอทฤษฎีนี้ออกมา ถ้าไม่อัจฉริยะก็คนบ้า!
จางเย่ยืนอยู่หลังแท่นบรรยาย มองสีหน้าแตกตื่นของเหล่านักศึกษา คณาจารย์และพวกนักข่าวแล้ว ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกสะใจเป็นบ้า? ราวกับว่า ณ ชั่วขณะนี้เขาช่างยิ่งใหญ่ รู้สึกดีจริงๆ ในโลกของจางเย่มีคนที่ชื่อว่า หูซื่อ เป็นอดีตอธิการบดีของมหาวิทยาลัยปักกิ่งในช่วงต้นของยุคสาธารณรัฐ หูซื่อกับอวี๋ผิงป๋อเป็นผู้เปิดประเด็นขึ้นมาว่า ‘ความฝันในหอแดง’ แปดสิบบทแรกกับสี่สิบบทหลังไม่สอดคล้องกัน ทั้งในแง่ความงามทางศิลปะและความหมาย จึงลงความเห็นอย่างหนักแน่นว่าเหตุที่มีความแตกต่างกันนั้นเป็นเพราะสี่สิบบทหลังมีคนอื่นเขียนต่อ ซึ่งก่อให้เกิดความวุ่นวายใหญ่หลวง ตอนนี้จางเย่เองก็กำลังทำอย่างที่หูซื่อกับอวี๋ผิงป๋อทำแบบเดียวกัน บังเอิญจริงๆ ที่หูซื่อก็เป็นอดีตอธิการบดีของมหาวิทยาลัยปักกิ่งแห่งนี้เช่นกัน ต้องบอกว่า นี่อาจเป็นการจัดการของโชคชะตา อย่างน้อยจางเย่ก็เชื่อเช่นนั้น ดังนั้นเขายิ่งต้องบรรยายให้ดี จะต้องบอกความจริงให้คนในโลกนี้ได้รับรู้! นี่เป็นทั้งเพื่อแสดงความเคารพแก่เฉาเสวี่ยฉินและผลงานอย่าง ‘ความฝันในหอแดง’!
"อาจารย์จาง!" มีคนยกมือ
เป็นนักศึกษาหญิงชั้นปีสามแซ่ซ่งนั่นเอง
จางเย่ยิ้ม "เชิญพูด"
รุ่นพี่สาวแซ่ซ่งลุกขึ้น เธอเองก็อยากจะโยนแนวคิดและสิ่งที่เคยรับรู้มาออกไป แต่เธอทำไมได้ เธอทนรับข้อสรุปของจางเย่ไม่ได้จริงๆ "ถ้าคุณสรุปว่า สี่สิบตอนหลังไม่ใช่ผลงานของท่านเฉาเสวี่ยฉิน แล้วเป็นใครกัน? ใครจะปลอมตัวมาเขียนต่อได้ขนาดนั้น?"
ทุกคนเงี่ยหูรอฟัง
จางเย่มองเธอ ตอบว่า "คำถามของคุณมีช่องโหว่อยู่สองข้อ ข้อแรก ที่ผมเพิ่งพูดไปนั่นไม่ใช่การด่วนสรุป แต่คือความจริง เรื่องที่ว่าทำไมผมพูดเช่นนั้น ผมจะอธิบายและวิเคราะห์ให้ฟังเป็นลำดับต่อไป" สำหรับเรื่องนี้ จางเย่มีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง เขาจึงพูดด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม แม้จะยังมีข้อถกเถียงว่าใครเป็นผู้เขียนผลงานนี้จนจบ ทว่าสี่สิบบทหลังนั้นไม่ใช่ผลงานของเฉาเสวี่ยฉินแน่นอน เรื่องนี้ไร้ข้อโต้แย้ง "ข้อสอง ผมคิดว่าคำว่าปลอมตัวมาเขียนตรงนั้นไม่ถูกต้อง อาจมีคนคิดว่าสี่สิบบทให้หลังกับแปดสิบบทแรกนั้นมีความสอดคล้องกันดีถูกต้อง แต่ผมกลับไม่คิดเช่นนั้น ผมยังคงเห็นว่าไม่มีความสอดคล้องกันตรงไหนอยู่ดี แน่นอน เรื่องนี้เราจะพูดกันต่อไปอย่างช้าๆ ส่วนที่คุณถามว่า ใครเป็นคนเขียนสี่สิบบทหลังนั้น ผมให้คำตอบคุณได้ตอนนี้เลย"
นักศึกษาหญิงแซ่ซ่งถาม "ใครคะ?"
จางเย่ยิ้ม คราวนี้ไม่ได้ฟันธงลงไป แต่กลับใช้คำพูดที่หนักแน่นว่า "ผมคิดว่าเป็นเกาเอ้อ!"
ใคร?
เกาเอ้อ?
มีไอ้เกาเอ้อนี่ที่ไหนวะ!
นักศึกษาหลายคนถึงกับงุนงง เห็นได้ชัดว่าไม่รู้จักคนนี้ ทว่ามีศาสตราจารย์และนักศึกษาของเป่ยต้าบางคนที่รู้จักคนนี้!
นักศึกษาซ่งแทบพูดไม่ออก "เกาเอ้อเป็นผู้เรียบเรียงและเก็บรักษาความฝันในหอแดงนี่คะ ถือว่ามีบุญคุณต่อฉบับที่ตกทอดกันมาอย่างใหญ่หลวง เขา..เขาทำไมถึงกลายเป็นคนเขียนล่ะ? นี่มันพูดเพ้อเจ้อไปแล้วนะ แถมเกาเอ้อกับท่านเฉาเสวี่ยฉินไม่ได้อยู่ในยุคเดียวกันด้วย! พวกเขาจะร่วมประพันธ์ความฝันในหอแดงได้ยังไง?" สิ่งที่เธอพูดถือเป็นการอธิบายไปในตัว ทำให้นักศึกษาเป่ยต้าและคนอื่นๆหลายคนพลอยรับรู้ไปด้วยว่าเกาเอ้อคนนี้เป็นใคร
คนเรียบเรียงกลายเป็นคนแต่ง?
หัวหน้าภาคฉางข่ายเกอแทบจะหมุนตัวจากไป ไอ้จางน้อยนี่มันยิ่งพูดยิ่งเกินจริงเข้าไปทุกทีแล้ว!
จางเย่กลับยังคงมีสีหน้าเยือกเย็นเหมือนเป็นเรื่องปกติ "ผมไม่ได้บอกว่าเกาเอ้อกับเฉาเสวี่ยฉินแต่ง ‘ความฝันในหอแดง’ ร่วมกันนะครับ ในความเห็นของผม เนื่องจากบทต่อจากแปดสิบบทของ ‘ความฝันในหอแดง’ ไม่ทราบหายไปด้วยเหตุผลกลใด ท้ายสุดเกาเอ้อจึงเขียนต่อในฐานะผู้คลั่งไคล้คนหนึ่ง เขียนต่ออีกสี่สิบบท!"
กลุ่มนักข่าวกระพริบตาปริบๆ ต้นฉบับหาย?
นักศึกษาซ่งคัดค้าน "เป็นไปไม่ได้ค่ะ!"
หลี่อิงลุกขึ้นตะโกน "ไม่มีหลักฐาน!"
"นั่นสิอาจารย์จาง" นักศึกษาชายแซ่โจวไม่เห็นด้วย "คุณพูดแบบนี้ได้ยังไงกัน?"
จางเย่ยิ้ม "ไม่ใช่ไม่มีหลักฐาน หลักฐานน่ะมันมีอยู่จริงๆ แต่ทุกคนไม่ได้ให้ความสำคัญ เลยไม่มีใครทันคิดถึง จึงได้ละทิ้งสิ่งที่เห็นอยู่ตำตาไป ตอนนี้ที่ผมต้องทำ คือเปิดตาของทุกคนให้กว้าง ให้ดูทุกคนได้ดูสิ่งที่ควรจะได้เห็นถึงความจริงตั้งแต่แรก"
พูดจบ จางเย่ก็เปิดแฟ้ม หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งมาวางบนเครื่องฉายหน้าจอ ภาพถูกฉายขึ้นไปให้ทุกคนได้เห็นทั่วกัน จากนั้นกวาดตามองทุกคนและกล่าวว่า "ผมมีกลอนบทนี้ ซึ่งไม่ใช่ผมเป็นคนเขียน ทว่าเป็นกวีชื่อดังสมัยราชวงศ์ชิง ทั้งเป็นนักวิพากษ์กวีและนักวาดภาพมีชื่อ จางเหวินเทา เป็นผู้เขียน กลอนบทนี้ชื่อว่า ‘แด่สหายเกาหลันซู’ เนื้อหาบทกวีนี้ไม่มีอะไรสำคัญ รูปแบบการเขียนธรรมดา และลายมือไม่ได้สูงส่ง แต่กลับมีสิ่งที่สำคัญคือบันทึกท้ายกลอน พวกคุณดูด้านล่าง จะเห็นที่เขียนไว้อย่างชัดเจนว่า --- ตำนาน ‘หงโหลวเมิ่ง’ ท้ายแปดสิบบท หลันซูเติมแต่ง"
ประวัติศาสตร์และบุคคลสำคัญของโลกใบนี้แตกต่างกับโลกของจางเย่อยู่บ้าง เพียงแต่บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ที่มีความเกี่ยวข้องกับสี่ยอดวรรณกรรมนั้น ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก ไม่อย่างนั้น โลกใบนี้ก็จะกลายเป็นว่าไม่มีสี่ยอดวรรณกรรม อย่างไรเสียต้นฉบับและข้อมูลหลักฐานที่มี กลับหายสาบสูญไปเป็นจำนวนมาก เช่นข้อมูลและบทกลอนที่จะนำมายืนยันได้ว่า ‘ความฝันในหอแดง’ ไม่สมบูรณ์ของโลกใบนี้ก็ได้หายไปเป็นจำนวนมาก และกลอนที่เกี่ยวข้องอย่าง ‘ลำนำสวีตูเหมิน’ ที่จางเย่หาไม่พบ อาจเพราะยังไม่มีคนค้นพบ หรือถูกทำลายไปด้วยเหตุผลจากการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ของแหวนเกม จะอย่างไรสองโลกก็ไม่เหมือนกัน ความเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย อาจทำให้ประวัติศาสตร์ต่างออกไปอย่างใหญ่หลวง อีกทั้งข้อมูลที่หาพบในโลกใบนั้น ไม่สามารถนำมายืนยันได้ เพราะไม่ได้ถูกเก็บรักษาและตกทอดเอาไว้อย่างดีเช่นเดียวกัน จางเย่ใช้ความพยายามมากมายจึงหาพบได้ส่วนหนึ่ง แม้จะมีน้อยไปบ้าง แต่ก็มากพอจะสนับสนุนแนวคิดของเขา
"หงโหลวเมิ่ง ท้ายแปดสิบบท หลันซูเติมแต่งครบถ้วน?" มีหลายคนที่พอเห็นบันทึกข้อความนี้พลันชะงักงัน บ้างส่ายหน้าพรืด "นี่มันจะบอกอะไรได้เหรอ?"
จางเย่ชี้หน้าจอ "ถึงกลอนบทนี้จะไม่มีชื่อเสียง ขนาดระบบค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตที่ทันสมัยที่สุดก็ยังหาไม่พบ พบเพียงในหนังสือรวมวรรณกรรมในห้องสมุดส่วนน้อยเท่านั้นก็ตาม ก่อนอื่นเลย ผมขอเตือนคุณทุกคน อย่าได้ดูเบาข้อมูลนี้เป็นอันขาด สำหรับการศึกษา ‘ความฝันในหอแดง’ กลอนบทนี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง หลันซูคนนี้คือใคร? ก็คือเกาเอ้อ ชื่อรองว่าหลันซู จางเหวินเถานักกวีสมัยชิงผู้นี้บอกพวกเราแล้วว่า หลังแปดสิบบทของ ‘ความฝันในหอแดง’ นั้น เกาเอ้อเป็นคนเติมแต่ง!"
นักศึกษาหญิงแซ่ซ่งครุ่นคิด ก่อนส่ายหน้า "คำ 补 (เติม) นี้มีหลายความหมายเกินไป หายไปแล้ว ค่อยหาพบ ก็เรียก 补 (เติม) อักษรแหว่งหน้าขาดหาย ต่อมาซ่อมแซมเข้าไป ก็เรียก 补 (เติม) คำว่าเติมในที่นี้ ดูเหมือนจะแปลว่า เติมส่วนที่ขาดหายซ่อมแซมลงไป เสียมาก ยังบอกอะไรชัดเจนไม่ได้" นักศึกษาคนนี้นับว่ามีความรู้ทางภาษาจริงๆ
ศาสตราจารย์เจิงพยักหน้า
คณาจารย์ของเป่ยต้าคนอื่นๆ และเหล่านักศึกษาร่วมชั้นเรียนต่างพยักหน้า
จางเย่ยังคงยิ้ม "ผมเชื่อว่าผมไม่ใช่คนแรกที่ได้เห็นกลอนบทนี้ ผมเชื่อว่าทั้งคนในอดีตหรือปัจจุบันก็ยังมีบางส่วนที่เคยผ่านตา ทว่าทุกคนก็ไร้ซึ่งข้อยกเว้น ล้วนแล้วแต่เป็นเช่นนักศึกษาแซ่ซ่งคนนี้ จึงได้บอกว่าเกาเอ้อคือผู้เก็บรักษาตกทอด ‘ความฝันในหอแดง’ ไว้ แต่พวกคุณเคยคิดหรือเปล่าว่า คำว่า 补 (เติม) นั้นยังมีอีกความหมายหนึ่งคือ เติมเต็มให้สมบูรณ์!”
ทุกคน "...."
นักศึกษาซ่งพูดไม่ออกแล้วจริงๆ "นี่มัน..."
อาจารย์จางคุณแม่*ตั้งใจพาเข้ารกเข้าพง[1]นี่หว่า! คำว่า 补 (เติม) ของคุณจะอธิบายกันแบบนี้ ก็ไม่ใช่จะไม่ได้ แต่ว่ามัน...
จางเย่พูดต่อไป "อีกทั้งจากการวิเคราะห์ของผม จากข้อมูลที่เกี่ยวข้องและที่มีบันทึกไว้ หากเป็นดังที่ทุกคนพูดจริงๆ การที่เกาเอ้อทำการ ‘ซ่อมแซม’ อย่างนั้นแล้วการเรียบเรียง ‘ความฝันในหอแดง’ ก็เป็นเพียงเขาคนเดียวที่ทำอย่างนั้นหรือ? แล้วในบทกลอนก็บอกแต่ชื่อของ เกาเอ้อ เป็นเกาเอ้อคนเดียว? งั้นทำไมใช้คำว่า 俱 (ครบถ้วน)? เป็นเขาทำเองหมดเลย? ไม่มีคนอื่นทำด้วยเลย? ไม่ต้องว่าใครหรอก ผมจะถามว่า แล้วเฉิงเหว่ยหยวนล่ะ? เฉิงเหว่ยหยวนที่ร่วมงานกับเกาเอ้อนั่นล่ะ? เหอๆ เพราะฉะนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ ไม่เหมาะสมที่จะใช้เช่นนั้น คำว่า 补 (เติม) นั่นน่ะ แปลว่า เติมให้สมบูรณ์ ก็คือเป็นเขาคนเดียวเติมแต่งจนครบสมบูรณ์ยังไงล่ะ!"
เป็นมุมมองและทฤษฏีที่แปลกใหม่เกินไปแล้ว!
ศาสตราจารย์เจิงสูดลมหายใจลึก
เหยามี่ฟังจนตะลึง!
นักศึกษาโจวยังคงไม่เห็นด้วย เขาแสดงความสงสัยออกมาทันที "อาจารย์จาง สมมุติว่าทฤษฎีของคุณถูกต้อง ใครจะรับประกันได้ว่านักกวีสมัยชิงท่านนี้รู้ความจริง? ย้อนกลับไปตอนนั้น ใครจะรู้บ้างล่ะว่าจางเหวินเถาไม่ได้ยินได้ฟังระหว่างทาง ถึงได้กลายเป็นอย่างนี้ แถมไม่มีการศึกษาไหนที่ระบุถึงกลอนบทนี้โดยตรง อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น!"
"นั่นสิ!"
"อย่าว่าแต่เขาไม่ใช่มหากวีสักหน่อย"
"ใช่ จางเหวินเถาฉันไม่เห็นรู้จัก คำพูดเขาน่าเชื่อหรือไง?"
เหล่านักศึกษาต่างโต้แย้งกันเซ็งแซ่
จางเย่ยิ้มแล้วกล่าว "พวกคุณคิดว่าจางเหวินเถาแค่ได้ยินแล้วมาเล่าต่อใช่ไหมครับ? ได้ อย่างนั้นผมจะให้คุณดูอะไรอีกอย่าง" พูดเสร็จก็ใส่กระดาษเอสี่อีกแผ่นเข้าไป "ทุกคนดูนะครับ กลอนบทนี้จางเหวินเถาแต่งไว้อาลัยให้กับน้องสาวของเขา มีบันทึกตรงนี้ว่า น้องสาวแต่งให้คนแซ่เกาขุนนางฮั่น ความคือเช่นนี้ ก่อนตายนั้น น้องสาวแต่งให้กับขุนนางฮั่นแซ่เกา ดังนั้นผมกล้าฟันธงได้เลยว่า เกาเอ้อผู้นี้ ที่จริงก็คือน้องเขยของจางเหวินเถา"
"หือ?"
"เชี่*ไรนิ!"
"ไม่ใช่ล่ะมั้ง?"
ทุกคนตะลึงกันจนกลั้นไม่อยู่แล้ว!
น้องเขย? น้องสาวนายสิ! แบบนี้ก็ได้เหรอ?
จางเย่พูดต่อไปว่า "ถ้าเป็นจริง อย่างนั้นนักกวีจางเหวินเถา ทำไมจะไม่รู้ถึงผลงานของน้องเขยตนเอง? ต้องไปฟังคนเล่ากันมา? ฉะนั้นสิ่งที่เขาพูดถึงได้น่าเชื่อถืออย่างยิ่ง!" เขายังพูดไม่จบ "แน่นอน เนื่องจากข้อมูลมีจำกัด จางเหวินเถากับเกาเอ้อนั้นเป็นญาติดองกันหรือไม่ ยังฟันธงให้ชัดลงไปไม่ได้ด้วยแนวระเบียบวิธีการศึกษา ซึ่งที่ผมพูดถึงก็เพื่อเปิดมุมมองให้กับทุกคนเท่านั้น" ในโลกของชายหนุ่ม มีทั้งคนในครอบครัวของจางเหวินเถาที่นำทำเนียบตระกูลมาปฏิเสธข้อความนี้ ทั้งยังมีคนบอกว่า ‘แด่สหายเกาหลันซู’ บอกว่าตอนที่จางเหวินเถาเขียนนั้นเขายังไม่ได้รู้จักเกาเอ้อ ต่างฝ่ายต่างก็มีเหตุผล ทั้งเป็นที่ถกเถียงกันใหญ่โต
แต่ความจริงก็คือ ‘ความฝันในหอแดง’ ล้วนเต็มไปด้วยปริศนาอยู่แล้ว ผลงานชิ้นนี้มีความลับซ่อนไว้มากเกินไป แม้แต่ทางโลกของจางเย่เอง ก็ยังมีความลับมากมายที่ไม่ได้เปิดเผยออกมา
ถกเถียงกันถือเป็นเรื่องปกติ ไม่มีข้อถกเถียงสิกลับแปลกประหลาด!
เรื่องราวในประวัติศาสตร์มากหลายยากตรวจสอบ หากไม่มีหลักฐานหรืองานเขียนอะไรถูกค้นพบเพิ่มเติม หลายเรื่องก็จะยังคงเป็นปริศนาตลอดไป ก่อให้เกิดการถกเถียงไม่สิ้นสุด
จางเย่แค่นำออกมากล่าวถึงก่อนเท่านั้น เพียงบอกกล่าวกับทุกคน คำพูดของเขานั้นมีข้อมูลเอกสารรองรับ ทั้งยังมีเหตุมีผล ไม่ได้พูดมั่วซั่วไปโดยไร้หลักฐานยืนยัน
อีกด้าน
ฉางข่ายเกอที่เดิมทนฟังไม่ได้จนคิดจะจากไปนั่งลงใหม่!
ยังมีคนที่เมื่อครู่ดูหมิ่นจางเย่ว่าพูดจาไม่อยู่กับร่องกับรอย ทั้งคณาจารย์และพวกนักศึกษาของเป่ยต้า รวมถึงเหล่านักข่าว พลันเงียบเสียงลงกริบ
แน่นอนว่าพวกเขายังคงไม่เห็นด้วยกับขวัญที่ใหญ่โตจนปิดคลุมฟ้าของจางเย่ ทว่าหลังการใช้หลักฐานยืนยันของจางเย่แล้ว พวกเขาพลันพบว่าเป็นเรื่องที่ยากจะปฏิเสธ เมื่อเทียบกับจางเย่แล้ว เรื่องของเกาเอ้อนั้น พวกเขาแม่*ไม่สามารถหยิบหลักฐานเอกสารใดๆ ออกมาแสดงให้เห็นชัดได้!
========================
[1] ตั้งใจพาเข้ารกเข้าพง เป็นคำเปรียบเปรย อย่างการพาเข้าป่า คือ การพาออกนอกลู่นอกทาง
*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*