หนึ่งเดือนก่อนหน้า…
"ทำไมป้าทำงี้อะฮะ" ผมส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ จ้องมองผู้หญิงตาโตตรงหน้าเขม็ง
นี่จู่ๆป้าเขาก็จะทิ้งผมไปงั้นเรอะ!
ความรู้สึกใจหายมันวิ่งจู่โจมเข้ามาอย่างรวดเร็ว หรือผมทำอะไรผิด ทำอะไรให้ป้าเขาอึดอัดหรือเปล่า พวกผู้หญิงวัยนี้เขาไม่ชอบเด็กผู้ชายอย่างผมเหรอ
"เรนต้องเข้าใจนะว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา คือเวลาเราทำงานที่ใดที่หนึ่งนานๆแล้วเราก็อยากเปลี่ยนบ้างไรบ้าง" ป้าเขาพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนมันเป็นเรื่องโคตรธรรมดา
"ก็ถ้าเรามีความสุขดีอยู่กับงานที่ทำ แล้วทำไมเราต้องเปลี่ยนอะ" ผมได้แต่คิดแล้วก็สงสัย
"ก็บางทีมันก็อยากเจออะไรใหม่ๆบ้าง"
"แล้วป้าได้งานใหม่แล้วเหรอฮะ"
"เอ่อ... ก็ยังนะ แต่แหม ขอน้าพักก่อนบ้างสิ เนี่ยพักหลังนี่ไม่ค่อยได้มีเวลาดูซีรีส์เกาหลีเลย น้าอยากมีเวลานอนดูซีรีส์ทั้งวันบ้าง อยากแบบนอนตื่นสายๆทุกวันโดยไม่ต้องรีบมาขึ้นรถไฟฟ้า" ป้าเขาพยายามทำตาลอยแบบฝันๆ เหมือนว่ากำลังจะได้เจอช่วงเวลาที่แสนวิเศษสุดในชีวิต
แต่สายตานั่นแม่งโคตรดูมีพิรุธ ลาออกจากงานเพื่อไปนอนดูซีรีส์เกาหลีแล้วตื่นสายๆเนี่ยนะ! ไม่ใช่ละ!
"แค่ลุงสุกรีลาออก ป้าก็ไม่น่าจะน้อยใจลาออกตามลุงเขาเลยนี่ฮะ" ผมยังคงเดาถึงเหตุผลในการลาออกของป้าต่อไป ป้าเขามีเหตุผลอะไรของเขาวะ
"ไม่ช่ายยยย นั่นสุกรีเขาไปดีแล้ว น้าก็ต้องดีใจกับเขาด้วย"
"หรือป้าเสียใจที่พอร์ตเข้าประกวดของเราตกรอบ" ผมยังไม่ละความพยายาม นี่ปกติผมไม่ค่อยได้สนใจเรื่องของคนอื่นมากมายขนาดนี้นะ
"ไม่มีทางจะเสียใจ แค่เราสองคนมีโอกาสได้ทำงานร่วมกันน้าก็เป็นปลื้มจะแย่อยู่แล้ว นับเป็นโบนัสพิเศษของชีวิตน้าเลยนะที่ได้ทำงานกับวัยรุ่นหล่อๆเก่งๆแบบนี้" ป้ามองผมด้วยแววตาเอ็นดูเหมือนอย่างเคย เหมือนทุกครั้ง…
"แต่เราก็จะไม่ได้เจอกันแล้วดิ" เสียงผมเริ่มสั่น ใจผมเริ่มหายเป็นห้วงๆ
แล้วผมก็เห็นตาโตๆนั่นมีน้ำตาปริ่มขึ้นมาหนึ่งแวบ ก่อนเจ้าของตาโตๆเขาจะเงยหน้าขึ้นมองต้นไม้มองท้องฟ้าไปเรื่อยเปื่อย เขาคงจะพยายามให้น้ำตามันไหลกลับลงไปแหละ ผมเห็นเขากะพริบตาถี่ๆสองสามครั้ง ก่อนจะก้มหน้าลงมาหาผมอีกทีพร้อมกับยิ้มกว้าง
"เจอสิจ๊ะ น้าก็ยังอยู่บ้านเดิม เป็นน้าของลิสาเหมือนเดิม เวลาเรนมาหาลิสาที่บ้าน เรนก็เจอน้าได้ไง"
แม้ป้าเขาจะพยายามทำน้ำเสียงสดใสที่สุดในโลก แต่ผมก็สังเกตเห็นว่านัยน์ตาเขายังมีน้ำตาคลอๆอยู่ จะไม่สังเกตเห็นได้ไง ก็ตาเขาโตซะขนาดนั้น
"ลิสาบอกว่าป้าไม่ค่อยอยู่บ้านนี่ฮะ" ผมแย้งความเป็นจริงกะเขาไป คิดจะปลอบใจผมง่ายๆเหรอวะ
"เอ้อ…" ป้าเขาหน้าตาเลิ่กลั่กปนรอยยิ้ม
"แล้วป้าก็ไม่เห็นค่อยมาหาพ่อที่บ้านผม" ผมยิงความเป็นจริงเข้าไปอีกชุด
"เอ้อ…" ตอนนี้หน้าตาเขาเลิ่กลั่กมากขึ้นไปใหญ่ โอเค ป้าเขาอาจจะเขิน เหมือนคู่รักคู่นี้เขาจะยังไม่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ คิดว่าผมยังไม่เจาะประเด็นเรื่องนี้จะดีกว่า ผมไม่ชอบยุ่งเรื่องของใคร
"หรือป้าเบื่อผม" หรือต้นเหตุจริงๆมันอาจจะมาจากผมก็ได้นะ ก็ป้าเขาทำงานที่นี่มาตั้งนาน แล้วพอผมเข้ามาทำงานกับเขา เขาก็ลาออก
"นั่นยิ่งไม่ใช่ใหญ่ วัยรุ่นหน้าตาหล่อเกินเบอร์เกินหน้าเกินตาพ่อกับปู่ขนาดนี้ ใครจะเบื่อลง"
ตาโตๆนั่นกลับมาเป็นประกายพร้อมกับมือของป้าที่เอื้อมมาหวังจะขยี้หัวผม ทำให้ผมต้องพยายามเบี่ยงหัวออกมาอย่างเนียนๆ คือกว่าจะเซตเป็นทรงตั้งแบบนี้ใช้เวลาตั้งนาน
"อือ ผมก็ว่านะ ป้าไม่น่าเบื่อผม งั้นก็... คงเบื่อพ่อ" ผมอดไม่ได้ที่จะพาดพิงถึงพ่ออีกครั้ง
นั่นไง! ว่าละ! ป้าเขาชะงักไปเมื่อผมพูดถึงพ่อ พ่อผมก็แม่งเป็นคนน่าเบื่อจริงๆอะ แล้วนี่พ่อไปทำอะไรให้ป้าเขาเบื่อถึงกับเขาทนไม่ได้ต้องลาออก
"ก็..." ป้าดูอึกอักยิ่งมีพิรุธ ตาโตๆนั่นเฉไฉมองไปต้นไม้มองท้องฟ้าไปเรื่อยเปื่อยอีกรอบ
ตอนนี้เรากำลังนั่งคุยกันอยู่ที่สวนหย่อมด้านล่างที่มีชิงช้าและม้าหินเป็นส่วนประกอบ ผมขอคุยกับป้าเขาเป็นการส่วนตัว มันมีเรื่องต้องให้เคลียร์หลังจากที่ผมได้รับข่าวร้ายตอนที่เดินเข้าไปในห้องออกแบบเมื่อกี้
วันนี้ผมเข้าออฟฟิศมาทำงานแต่เช้า หลังจากที่ไม่ได้เข้ามาเสียนานเพราะติดสอบ แต่ตอนนี้เป็นช่วงปิดเทอมแล้ว ผมเลยมีเวลาว่างทั้งวัน อยู่บ้านทุกวันก็เบื่อ หรือจะไปหาไอ้ไอซ์ไอ้คิวทุกวันก็ยิ่งน่าเบื่อ ผมเลยคิดว่าเข้ามาช่วยงานของบริษัทน่าจะดีกว่า เผื่อพ่อจะให้เงินผมเพิ่ม
พูดถึงพ่อ นี่วันนี้ผมก็ขี่จักรยานมาคนเดียว พ่อเขาออกมาจากบ้านตั้งแต่ตอนเช้ากว่าผม ช่วงนี้เขาเป็นอะไรไปอีกแล้วก็ไม่รู้ ดูเครียดๆชอบกล แถมหลังๆมานี่ไม่ค่อยจะกลับไปกินข้าวเย็นที่บ้าน ผมคิดไปเองว่าเขาคงทำงานดึกมากทุกวัน แต่บางวันเขาก็กลับมาบ้านพร้อมถุงขนมจากร้านของคุณฝน ก็ถ้าเขาทำงานดึกๆ แล้วเขาเอาเวลาไหนไปซื้อขนมวะ พอถาม เขาก็บอกว่าเผอิญเจอคุณฝน คุณฝนเลยฝากขนมมาให้ แล้วทำไมเขาเผอิญเจอคุณฝนบ่อยจังเลยวะ
แต่ช่างเถอะ มันเรื่องของเขา
เอ้อ พูดถึงคุณฝน ตอนนั้นที่พวกเราเจอคุณฝนพร้อมๆกันที่หอศิลป์กรุงเทพ ผมก็ถามพ่อว่ารู้จักเขาด้วยเหรอ เพราะพ่อเขาทำท่าแปลกๆตอนเห็นหน้าคุณฝนครั้งแรก พ่อเขาก็บอกสั้นๆว่าเพื่อนเก่า ผมก็ไม่ได้สนใจอีก เพราะหลังจากวันนั้นแล้วผมก็ไม่ได้เจอเธออีกเลย และก็ตามนิสัยผม ผมไม่ชอบยุ่งเรื่องของใคร
ลืมเรื่องคุณฝนกับพ่อ แล้ววกกลับมาถึงเรื่องที่บริษัทกันต่อดีกว่า
เมื่อเช้าพอผมเข้ามาถึงห้องทำงานใหญ่ก็ต้องแปลกใจ เพราะมองไปรอบๆก็ไม่เจอใครจากแผนกออกแบบเลยซักคน ไปไหนกันหมดแต่เช้าแฮะ ปกติเช้าๆอย่างนี้เขาจะนั่งประจำที่โต๊ะกันเพื่อเช็กอีเมลหรือคุยงานกับแผนกอื่นๆ บ่ายๆโน่นเขาถึงจะเข้าไปฝังตัวทำงานในห้องออกแบบกัน
ป้าวันเพ็ญจากแผนกจัดซื้อเค้าคงเห็นผมกำลังยืนเคว้ง เค้าเลยเข้ามาบอกผมว่าพวกแก๊งของป้าลินเขากำลังไปรวมตัวกันอยู่ที่ห้องออกแบบแล้ว สงสัยจะมีงานใหญ่เข้ามาล่ะมั้ง เสียงเล็กเสียงน้อยบวกกับท่าทางซุบซิบของป้าวันเพ็ญทำให้ผมรู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที ข่าวดีแต่เช้าเชียว เดี๋ยวคงมีอะไรสนุกๆให้ทำ ผมขอบคุณป้าวันเพ็ญสำหรับข้อมูลที่ไม่ได้ถาม ก่อนจะหันกลับออกจากห้องใหญ่แล้วเดินตรงไปยังห้องออกแบบทันทีด้วยความตื่นเต้น
แต่ข่าวดีที่วาดหวังไว้ แม่งกลับกลายเป็นข่าวร้าย!
ป้าคิตตี้เขาเป็นคนแจ้งเรื่องนี้กับผมทันทีตอนที่เขาเห็นผมโผล่หัวเข้าไปในห้องออกแบบ
"เรน น้าลินเขากำลังจะจากพวกเราไปแล้ว!" น้ำเสียงป้าเขาสั่นเครือ แถมตัวโตๆของป้าเขาก็กำลังสั่นไหว
"ห้ะ ป้าลินเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายเหรอ!"
ผมงี้โคตรตกใจเลย ช็อกอ่า! ป้าเขาไม่เห็นมีอาการมาก่อนนี้เลย ลิสาเองก็ไม่เห็นเคยพูดถึงเรื่องนี้ หรือป้าลินเองก็เพิ่งจะรู้ตัว เหมือนอย่างในละครไง ที่พวกหมอเขาชอบปิดบังอาการป่วยของคนไข้ไว้เพราะกลัวคนไข้รับไม่ได้ เชี่ย! นี่เรื่องน้ำเน่าแบบในละครกำลังเกิดขึ้นกับผมเหรอเนี่ย!
"บ้าเหรอ! คิดได้ไง!" น้าเยลลี่เขาปราดเข้ามาพยุงผมไว้เมื่อเห็นอาการหน้าซีดเข่าอ่อนเข่าทรุดของผม ส่วนป้าลินและป้าคิตตี้หัวเราะก๊าก อะไรของป้าคิตตี้เค้าวะ เมื่อกี้เค้ากำลังเสียงสั่นอยู่ไม่ใช่เรอะ
ป้าสองคนเขาอยู่ที่โต๊ะใหญ่กลางห้องกัน ป้าคนตาโตนั่งเก้าอี้อยู่ ส่วนป้าคนตัวโตกำลังยืนเท้าโต๊ะอยู่
"พี่ลินเค้าลาออกจากบริษัทต่างหาก" น้าเยลลี่เฉลยหลังจากเห็นผมเลิ่กลั่ก
"ลาออก! แปลว่าจะไม่มาทำงานที่นี่แล้วงี้?" ผมทวนคำอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
ก็ยังดีที่ป้าเขาไม่ได้ป่วยเป็นมะเร็ง แต่เขาจะไม่มาทำงานที่นี่แล้ว ผมจะไม่ได้ทำงานกับเขาแล้ว โคตรจะเป็นข่าวร้ายเลยว่ะ โคตรช็อกโลก!
ผมเดินตรงเข้าไปที่ป้าตาโต แล้วกอดอกยืนจ้องมองตาโตๆนั่นด้วยความน้อยใจ
แล้วต่อจากนี้ใครจะสอนงานผมวะ ใครจะแนะนำเรื่องศิลปะให้กับผม ใครจะคอยซื้อขนมมาปรนเปรอผม แล้วยิ่งหลังๆนี่ ป้าเขาไม่ได้ซื้อเฉพาะขนม เขาดูแลหาซื้อให้ผมทุกอย่าง แค่ผมเอ่ยปากว่าอยากได้อะไร เขาก็จะรีบไปจัดหามาให้ทันที เขามีเพื่อนเยอะแยะ ผมอยากดูคอนเสิร์ตวง Three man down ป้าเขาก็ไปไถบัตรจากเพื่อนที่เป็นออกาไนเซอร์มาให้ การ์ตูนเรื่องโปรดของผมออกตอนใหม่ เพื่อนป้าที่เป็นเจ้าของสำนักพิมพ์ก็ส่งมาให้ผมก่อนจะวางขายอีก และป้าก็ยังพาผมไปตัดผมที่ร้านของเพื่อนเขาที่ได้รางวัลช่างผมระดับโลกมา ลุงแกแม่งตัดผมโคตรคูลเลย
ถ้าป้าลินลาออก ทุกอย่างที่ผมเคยมีเคยได้มันก็จะหายไป โลกคูลๆของผมก็จะพังทลาย!
นี่ป้าลินเขาทำงี้ได้ไงอะ ผมทำใจไม่ได้จริงๆว่ะ
"ป้าใจร้ายอ่า…" ผมพึมพำตัดพ้อออกไป
"ใช่ น้าลินเขาใจร้ายมาก เขากำลังจะทิ้งพวกเราไป" ป้าคิตตี้เริ่มดึงเข้าโหมดดราม่า ผมเห็นเขาเริ่มจะมีน้ำตาคลอๆ เขาคงกำลังเสียขวัญ เพราะลุงสุกรีก็เพิ่งจะลาออกไป แผนกเขากำลังจะไม่เหลือใครแล้ว
"คิตตี้…" ป้าลินเริ่มมีสีหน้ารู้สึกผิด ก็แน่ละ ตัวเองเป็นหัวหน้าแต่คิดจะลอยแพลูกน้อง
"หนูไม่ยอมจริงๆด้วย ซิสทำไมทำแบบนี้ ซิสไม่รักพวกเราแล้ว" ตอนนี้น้ำตาป้าคิตตี้เริ่มไหลออกมาเป็นสายแล้ว น้าเยลลี่เขาเลยรีบเข้าไปกอดปลอบใจ แล้วทั้งสองคนนั่นก็กอดกันร้องไห้ไปกันใหญ่
เฮ้ย ทำไมอ่อนไหวกันง่ายยังงี้วะ จิตใจของพวกเขาช่างเปราะบาง
ผมก็เศร้ามาก แล้วก็เสียใจมากเหมือนกัน แต่ผมจะไม่ร้องไห้ขี้แยเหมือนสองคนนี่แน่นอน เรื่องร้องไห้มันเรื่องของเด็กๆป่าววะ ผมร้องไห้ครั้งสุดท้ายก็นานมาแล้ว คงราวๆเมื่อต้นปีมั้ง ตอนนั้นที่ร้องก็มีเหตุผลที่ดีด้วย ก็เพราะพ่อเขาจำวันเกิดผมกับปู่ไม่ได้ไง ใครได้เจอเรื่องร้ายๆขนาดนั้นแม่งก็ต้องร้องไห้ป่าววะ
แต่วันนี้ผมโตแล้ว ผมต้องคีพคูลเข้าไว้ จะต้องหาวิธีที่มันดีกว่าจะมานั่งขี้แยกันแบบนี้
"ผมจะไปฟ้องพ่อ ว่าป้าคิดไม่ซื่อ ไม่จงรักภักดีกับบริษัทเราแล้ว" ผมมั่นใจว่าเรื่องป้าลินลาออกนี่คงยังเป็นความลับของแผนกเราอยู่ ป้าเขาคงจะบอกพวกเราก่อนที่จะบอกคนอื่น
"พ่อเค้ารู้แล้วล่ะเรน" ป้าลินลุกขึ้นจากเก้าอี้มาจับไหล่ทั้งสองข้างของผม "น้าบอกพ่อของเรนเมื่อกี้นี้ แล้วก็มาบอกพวกเรานี่แหละ ส่วนคนอื่นๆในออฟฟิศยังไม่มีใครรู้"
ผมจ้องไปในดวงตาโตๆนั่นของป้าลินแล้วก็ถอนหายใจ
นี่มันเรื่องเชี่ยไรกันวะเนี่ย
"ยังไงคุณเซนเค้าก็จะดูแลคิตตี้กับเยลลี่ต่อไปได้อย่างดีแน่ๆ คุณเซนเค้ารับปากกับพี่แล้ว" แล้วป้าก็หันไปบอกกับลูกทีมที่กำลังจะกลายเป็นอดีต อ่าว แล้วปล่อยให้พ่อผมรับช่วงไปเฉย
"ผมมีเรื่องต้องเคลียร์กับป้าตัวต่อตัวฮะ ตามผมมา"
แล้วก็โดยไม่รอฟังคำตอบ ผมฉุดข้อมือป้าลินให้เดินตามผมออกมาจากห้อง ปล่อยให้ป้าคิตตี้กับน้าเยลลี่มองตามเรามาอย่างงงๆด้วยน้ำตา งงกันไปก่อนเถอะนะ เรื่องแบบนี้มันต้องเคลียร์กันสองต่อสองว่ะ
แล้วนี่ก็เป็นเหตุให้เรามาอยู่ที่สวนหย่อมข้างล่างตึกนี่กัน ผมปล่อยให้ป้าเขานั่งแกว่งชิงช้าเล่นไปมาอย่างช้าๆเพื่อลดแรงตึงเครียดที่ต้องมาเคลียร์กับผม ส่วนตัวผมเองนั่งไม่ติดแล้ว
"นี่ถามจริงๆนะฮะ ป้ามีเรื่องไรกะพ่อป่าวเนี่ย ทำไมพ่อเค้าปล่อยให้ป้าลาออกง่ายๆอะฮะ"
ผมโคตรจะโมโหพ่อเลย มิน่า เมื่อกี้ตอนผมเข้าออฟฟิศมาเห็นเค้ากำลังคุยอยู่กับพี่มินตราในห้องประชุมเล็กที่เป็นห้องกระจก นี่พอป้าลินลาออกปุ๊บ นอกจากไม่ห้ามแล้วยังคิดจะโอนงานทั้งหมดไปให้พี่มินตราปั๊บเลยเรอะ
ป้าเค้าคงเบื่อพ่อจริงๆแหละ ก็พ่อน่าเบื่อจริงๆนี่นา
"น้าทำงานที่นี่มานานแล้ว อยากไปทำอย่างอื่นบ้าง พ่อเค้าเข้าใจน้าดี เราตกลงจากกันด้วยดี" คนพูดพูดไปก็แกว่งชิงช้าไปช้าๆ ผมว่าหน้าตาป้าแกดูเศร้าๆนะ
"จากกันด้วยดี?" ผมทวนคำ ทำไมป้าลินพูดเหมือนคนเลิกกันเลยวะ เดี๋ยวนะ นี่ป้าเค้าแค่ลาออกจากงาน หรือสองคนนี่เค้าเลิกกันด้วยวะ หรือเพราะป้าลาออกจากงาน เค้าเลยเลิกกัน หรือเพราะเค้าเลิกกัน ป้าเลยลาออกจากงาน
เกิดเรื่องเชี่ยไรขึ้นระหว่างสองคนนี้วะเนี่ย
เอาไงดี ผมจะจี้จุดถามป้าเค้าไปตรงๆดีมั้ย ป้าลินเค้าก็น่าจะรู้ว่าผมรู้เรื่องความสัมพันธ์ของเค้าทั้งสอง แล้วก็จริงอยู่ที่ผมไม่เคยคุยเรื่องนี้กับลิสา เพราะผมไม่ชอบนินทาหรือพูดเรื่องของใคร แต่ผมว่าคนฉลาดอย่างลิสาก็คงสังเกตได้แหละว่าน้าของเขาและพ่อของผมสนิทกันเกินเจ้านายกับลูกน้อง อือม์ แต่ก็แปลกนะ ปกติลิสาเล่าเรื่องทุกอย่างให้ผมฟัง คุยกับผมทุกเรื่อง แต่สำหรับเรื่องป้าลินกับพ่อนี่ ลิสาเขากลับไม่เคยพูดถึง
หรือมันจะมีอะไรที่ผมไม่รู้?
เอาไงดีวะ เอาจริงนิสัยผมก็ไม่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นซะด้วย
หรือไปคุยกับพ่อก่อนดีกว่าวะ วันนี้คุยกับป้าตาโตนี่ไปก็คงจะไม่ได้เรื่องได้ราว แล้วดูดิ ป้าแกเริ่มจะไกวชิงช้าเล่นอย่างสนุกสนานแล้ว แกทำเหมือนจะไม่ได้ไกวอีกแล้วในชีวิตนี้ แต่เอ่อ ก็จริง ป้าเขากำลังจะไม่ได้ทำงานที่นี่แล้วนี่เนอะ เขาคงอยากเล่นชิงช้าให้สุดเหวี่ยงเพื่ออำลาล่ะมั้ง
ผมถอยห่างออกจากชิงช้ามาหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้ม้าหิน ยกขาข้างหนึ่งขึ้นมาพาดบนเข่าอีกข้าง แล้วนั่งเท้าคางมองดูคุณป้าตาโตแกว่งไกวชิงช้าเล่นด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก แม้ตาโตๆนั่นจะมีแววเศร้าเจือปน แต่รอยยิ้มที่ยิ้มให้ผมนั่นก็ยังคงความสดใส เราอาจจะยังรู้จักกันไม่ถึงปีด้วยซ้ำ แต่ความรู้สึกผมเหมือนรู้จักกับป้ามานานแสนนาน
โคตรใจหายเลยว่ะ…
ตลอดวันนี้ทั้งวัน ผมทำงานอย่างไม่มีสมาธิ ผมต้องคอยวิ่งเข้าไปดูพ่อในห้องทำงานใหญ่บ่อยๆว่าพ่อเขาว่างบ้างหรือยัง อยากจะคุยกับพ่อเรื่องของป้าลิน แต่ปรากฏว่าคุณเซนเขามีประชุมตลอดเวลา แถมตอนเที่ยงก็ยังไม่ยอมพัก ได้แต่กินแซนด์วิชที่ผมแวะซื้อมาฝากตอนผมออกไปกินข้าวกับแก๊งป้าลิน แล้วตอนบ่ายเขาก็ต้องออกไปหาลูกค้าทั้งบ่าย เขาบอกให้ผมไม่ต้องรอเพราะเขาจะคงไม่เข้าออฟฟิศอีก
เฮ้อ เลยยังไม่ได้มีโอกาสคุยกันเลย
คืองี้ฮะ ส่วนใหญ่ตอนผมมาทำงานอะ ผมจะขลุกอยู่ในห้องออกแบบตลอด เพราะผมต้องใช้เครื่องไม้เครื่องมือในห้องนั้น ปกติผมจึงไม่ค่อยได้เจอหน้าพ่อหรอก แล้วอีกอย่าง ผมก็ต้องคีพคูลทำตัวมืออาชีพเหมือนพนักงานทั่วไป ไม่คุยเล่นกับพ่อในที่ทำงานเท่าไหร่ คือผมพยายามทำตัวแบบว่าไม่เหมือนเป็นลูกเจ้าของบริษัทไง ก็ต้องห่างๆพ่อเข้าไว้ก่อน ซึ่งพ่อเขาก็เหมือนกัน เขาไม่ได้ให้ความใส่ใจอะไรผมเป็นพิเศษกว่าใคร ก็ไม่รู้ว่าเพราะเขาต้องคีพคูลเหมือนกัน หรือเพราะเขาไม่ได้สนใจผมจริงๆ แต่ก็ช่างมันเหอะ เอาเป็นว่าวันนี้ทั้งวัน ผมยังไม่ได้พูดกะพ่อเกินหนึ่งประโยคเลย จบ
ตอนเย็นผมจีงรีบกลับไปคอยพ่อที่บ้าน ไม่เถลไถลไปหาไอ้ไอซ์ไอ้คิวเหมือนเคย วันนี้ยังไงผมก็ต้องถามเขาเรื่องของป้าลินให้ได้ อยากจะรู้ว่าเขาคิดยังไงเรื่องที่ป้าลินลาออก
แต่ปรากฏว่าพ่อเขาอยู่กินข้าวเย็นกับลูกค้าไม่กลับมากินข้าวบ้าน ส่วนปู่ก็มีนัดกินข้าวกับคุณยายของลิสา ผมเลยแห้ว อดคุยกับทั้งพ่อและทั้งปู่เรื่องของป้าลิน และผมก็ต้องกินข้าวเย็นกับคุณมะพร้าวกันแค่สองคน
"คุณเรนดูไม่ค่อยเจริญอาหารนะครับวันนี้ นี่อุตส่าห์เป็นราเมงจากร้านโปรดของคุณเรนเลยนะครับ"
วันนี้อาหารเย็นของเราคุณมะพร้าวเขาใช้วิธีโทรสั่งแกร็บเอา หลังๆนี่บริการของแกร็บเขามาเยือนเราบ่อยมาก ถ้าพ่อกับปู่ไม่อยู่บ้านพร้อมกัน คุณมะพร้าวจะใช้วิธีโทรสั่งอาหารที่ผมชอบแทน คุณแม่บ้านเขาจะได้ไม่ต้องเสียเวลาทำกับข้าว
"หรือคุณเรนเบื่อมิโซะซุปแล้ว รู้งี้ผมน่าจะสั่งน้ำซุปโชยุให้คุณเรนดีกว่า เอ หรือไม่ก็น่าจะสั่งทงคัตสึมาให้คุณเรนตั้งแต่แรกเลยซะก็ดี คุณเรนอาจจะเบื่อราเมงแล้ว" คุณมะพร้าวเขามักจะว้าวุ่นใจเรื่องที่มันผ่านไปแล้ว เพราะเขาชอบความเพอร์เฟค เขาจะต้องคอยสรรหาสิ่งที่ดีที่สุดมาให้ผมเสมอ
"อ่า ไม่ต้องรู้งี้หรอกฮะ มิโซะอะโอเคแล้ว" ผมตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นจากชามราเม็ง เพราะในใจกำลังร้อนรุ่ม
นี่ปู่รู้เรื่องป้าลินลาออกหรือยังวะ แต่ถ้าปู่ไปหาคุณยายของลิสา ปู่ก็ต้องรู้ป่าววะ คนชราสองคนนั่นเขาก็ต้องคุยกันเรื่องป้าของลินบ้างดิ เอ หรือป้าลินบอกคุณยายหรือยังวะว่าจะลาออก แต่ที่แน่ๆลิสาเคยไม่พูดถึงเรื่องนี้เลยแฮะ ผมว่าหลังๆนี่ลิสาดูไม่ค่อยพูดถึงเรื่องของป้าลินเท่าไหร่ มีไรป่าวว้า
"มีอะไรหรือเปล่าครับ คุณเรนดูไม่ปกติเลย"
เหมือนคุณมะพร้าวจะทวนคำถามที่ผมกำลังถามตัวเองในใจ คุณมะพร้าวเขาจะเฝ้าคอยสังเกตความเป็นไปทุกๆอย่างของผม บางทีผมก็แอบคิดไปเองว่า คุณมะพร้าวเขาน่าจะรักผมมากกว่าพ่อกะปู่รักผม
นี่เอาจริงแม่ของไอ้คิวเคยพูดนะ ว่าแปลกใจที่ผมยังเติบโตขึ้นมาได้โดยไม่เสียคน ทั้งๆที่พ่อก็ไม่อยู่ปู่ก็ทำแต่งาน ก็ไม่รู้ดิ ผมว่าพวกเด็กที่มันเกเรเพราะขาดความอบอุ่นจากที่่บ้านนี่มันเป็นพวกกระจอกอะ คือจะเกเรทั้งทีก็ไม่ควรต้องมีข้ออ้างป่าววะ อยากเกก็เกไปดิ เกจากใจเพียวๆเลย ดูคูลกว่ากันเยอะ
แต่เอ หรือว่าผมไม่ได้เกเรเสียคนเพราะผมไม่ได้รู้สึกว่าขาดความอบอุ่นวะ ถึงพ่อจะไม่อยู่ปู่จะไม่อยู่ แต่ยังไงที่บ้านก็มีคุณมะพร้าวอยู่ตลอดอะ คือผมว่า ถ้ารอบๆตัวเรามีใครสักคนที่เขาเอาใจใส่เราดีมากๆ เราก็รู้สึกโอเคแล้วหรือเปล่าวะ คนคนนั้นจะเป็นใครก็ได้อะนะ ไม่จำเป็นต้องเป็นคนในครอบครัวเราก็ได้
"คุณเรน…"
"อะ ฮะ?" ผมคีบเส้นราเมงเข้าปากพร้อมๆกับที่เงยหน้าจากชามราเมงขึ้นมองคุณมะพร้าว
"คุณเรนมีอะไรในใจครับ เล่าให้ผมฟังได้ไหม"
สายตาชราๆนั่นมองผมด้วยความสนอกสนใจ ยามเราอยู่กันตามลำพังคุณมะพร้าวเขามักจะแสดงความรักความห่วงใยต่อผมอย่างเปิดเผย แต่ต่อหน้าคนอื่นๆในครอบครัว เขาค่อนข้างจะสงวนท่าที ผมรู้ว่าเขาไม่อยากให้ปู่กับพ่อของผมเกิดอาการน้อยใจ ก็พ่อลูกสองคนนั่นเขาแสดงออกไม่ค่อยเก่งไง
ผมว้าวุ่นใจ ปกติไม่ค่อยชอบพูดเรื่องของตัวเอง แล้วก็ไม่ค่อยชอบพูดเรื่องของคนอื่นด้วย แต่ตอนนี้รู้สึกอยากพูดมากมาก เอาไงดีวะ อ้อนวอนให้คุณมะพร้าวไปยับยั้งพ่อไม่ให้ป้าลินลาออกดีไหม มันจะดูเหมือนเด็กน้อยเอาแต่ใจป่าววะ หรือแค่ระบายความอัดอั้นออกมาเฉยๆก็พอว่าไม่อยากให้ป้าลินลาออก หรือรอคุยกับพ่อก่อนดี หรือไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น รีบกินราเมงให้เสร็จแล้วขึ้นไปรอพ่อบนห้องนอน หรือรอเจอปู่แล้วค่อยให้ปู่ไปคุยกับพ่อก่อน หรือ…
โอ้ย เชี่ย! แม่งสับสน! แม่งเศร้า! ไม่ไหวแล้ว!
"ป้าลินเขาลาออกแล้วฮะคุณมะพร้าว เขาจะไม่ทำงานที่บริษัทเราแล้ว ผมจะไม่ได้เจอเขาแล้ว!"
ในที่สุดผมก็ระเบิดความในใจออกมาทั้งน้ำตาขณะมือก็ยังคีบตะเกียบอยู่ และแล้วความอดกลั้นที่จะไม่ร้องไห้ตลอดทั้งวันในวันนี้มันก็ได้ถูกปลดปล่อยออกมาแล้ว
"ผมไม่อยากให้เขาไปไหน ผมอยากเจอเขาบ่อยๆ" ผมสารภาพ
แต่เดี๋ยวนะ นี่คือผมกำลังร้องไห้จริงๆเหรอวะ? จะโคตรเศร้าอะไรเบอร์นี้ครับ? กะอีแค่ป้าคนนึงลาออกจากบริษัทของพ่อ?
"ป้าเขาจะทิ้งพวกเราไป ป้าเขาจะทิ้งผมไป ทำไมป้าทำแบบนี้" แต่ผมก็ยังไม่หยุดพรั่งพรู มันเหมือนห้ามใจตัวเองไม่ให้เศร้าไม่ได้ แล้วเสียงสะอึกสะอื้นก็ตามมาด้วย น้ำตาจะเริ่มไหลลงไปที่ชามราเมงแล้ว ดีที่ผมทันสังเกตเห็น จึงรีบเลื่อนชามออกไปให้พ้นรัศมีน้ำตาหยด เกือบไป!
เฮ้ย นี่ผมเป็นบ้าไรไปวะเนี่ย แม่งจะอ่อนไหวเกินไปไหมครับ อายุก็ไม่น้อยแล้วนะครับ มานั่งสะอื้นฮักๆต่อหน้าชามราเมงเนี่ยนะ ดึงสติหน่อยครับไอ้เวร ไอ้เชี่ยเรน!
พลันผมก็เริ่มจะรู้สึกตัว จึงวางตะเกียบลงแล้วยกมือขึ้นป้ายน้ำตา ก็แค่ป้าตาโตคนนึงป่าววะครับ ไม่ใช่ญาติซักกะหน่อย แคร์ไรมาก คีพคูลหน่อยครับมึง จะไปสนป้าเขาทำไม ทีเขาจะไปเขายังไม่สนมึงเลยครับ แม่ง!
ตลอดระยะเวลาสั้นๆที่ผมปล่อยโฮ สะอื้นฮักๆ แล้วก็ด่าตัวเองในใจ แล้วก็ได้สตินั้น คุณมะพร้าวเขาได้แต่นั่งพิงพนักเก้าอี้ มือประสานกันไว้ที่หน้าตัก แล้วก็มองดูผมอย่างเงียบๆ สายตาชราๆนั่นดูอ่อนโยนและเปี่ยมไปด้วยความเข้าใจ มุมปากชราๆนั่นยิ้มน้อยๆ รอจนผมเช็ดน้ำตาหมดจนหยดสุดท้าย แล้วแกก็ลุกขึ้นมากอดผมแน่นๆหนึ่งที แล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า
"ราเมงชามของคุณเรนเย็นหมดแล้ว ให้ผมเอาไปอุ่นให้ใหม่ไหมครับ"
ครับ ผมรู้อยู่แล้ว เนี่ยล่ะสไตล์บ้านผม เขาปลอบใจกันได้แค่นี้แหละครับ…