"หนูรู้ไหมการกลายเป็นเด็กหมายถึงอะไร เด็ก ๆ น่ะยังพึ่งพาตัวเองไม่ได้ ต้องกลับมาที่บ้าน ต้องอยู่ใต้ปีกของผู้ปกครอง ต้องถูกกุมบังเหียนตลอดเวลา"
"ไม่…ไม่ใช่สักนิด"
"คือการได้ควบคุมคนที่รัก"
หญิงชราไล่ต้อนนาวีให้จนมุม ดึงเรื่องแล้วเรื่องเล่าออกมาเผชิญหน้าผู้อยากลืม คิดว่าเขาไม่เคยสงสัยในความเห็นแก่ตัวของตัวเองเหรอ รู้ไหมเขาพยายามมากแค่ไหนกว่าจะอยู่ร่วมกับมันได้สำเร็จ
เด็กหนุ่มทิ้งพลังงานที่อุตส่าห์สะสม ทิ้งความใจเย็นไปกับการดิ้นรนหนีทั้งที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ เขาเดินเร็วรวดเดียวไปถึงประตู หันหลังให้หญิงชราที่จ้องมองตาไม่กะพริบ ก่อนค้นพบว่ามันถูกล็อกจากด้านนอก
"นาวี กลับมานี่ก่อน เรายังคุยกันไม่จบเลย"
ผู้ฟังปิดกั้นไม่รับรู้แล้ว เขาพยายามดึงกระชากลูกบิดสลับกับเอาตัวกระแทกประตูให้เปิด ความตื่นตระหนกช่วยขุดแรงเฮือกสุดท้ายให้พาร่างหนี กระตุ้นกล้ามเนื้ออ่อนเพลียให้เครียดเกร็งพาเจ้าของพ้นจากอันตราย
ย่าลุกเดินตรงมาหาเขา
"ทำไมหนูถึงยอมรับความจริงไม่ได้ล่ะ"
"ยะ-อย่าเข้ามา"
เปิดสิ เปิด เขาต้องหนี
หญิงชราจับกระแสความสับสนในสีหน้าของผู้อ่อนเยาว์ได้รวดเร็ว เข้าใจเหยื่อดียิ่งกว่าตัวเหยื่อเองเสียอีก
"มีอะไรที่อยากลืมอยู่รึเปล่า"
"ไม่มี!!"
เสียงของสุนัขจนตรอกแข็งกร้าวกว่าปกติไปมาก ย่าถึงกับหยุดนิ่งเพื่อประเมินปฏิกิริยาของเด็กหนุ่มใหม่ นาวีไม่เคยตอบสนองรุนแรงกับคำถามขนาดนี้มาก่อน ไหล่บางสั่นน่าสงสาร สีหน้าถอดสีของคนที่เหยียบระหว่างเส้นสติกับแตกสลาย
หญิงชราอยากสำรวจจุดอ่อนใหม่เกินกว่าจะปล่อยไป "พยายามจะลืมอะไรจ๊ะ เล่าให้ย่าฟังได้นะ"
เด็กหนุ่มถอยหนีไปจนหลังแนบประตู ไม่มีทางหนี ภาพของปีศาจชราเข้าใกล้และชัดขึ้นทุกฝีก้าว—ภาพร่างที่นอนอยู่บนเตียงโรงพยาบาล ในมุมที่หรี่ไฟจนมืด คราบแดงบนผ้าเขียว—กรงเล็บงองุ้มจับแขนเขา
นาวีหายใจเฮือกหวาดผวา เผลอผลักย่าออกไปเต็มแรง
ร่างชราถอยไปลื่นเหยือกน้ำที่กลิ้งบนพื้น ก่อนหงายหลังล้มเสียง 'พลั่ก!' ใหญ่ แมววิ่งหนีกระจายเข้าตามมุมมืดของห้อง
นาวีมองอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นอยู่หลายวินาที ในหัวยังจินตนาการอยู่ว่าแม่มดเฒ่าจะลุกขึ้นมาประชิดตัว จิกตาเขาด้วยเล็บแหลม สาปแช่งเขาด้วยไฟโกรธ สั่งลงโทษมนุษย์ที่กล้าเหิมเกริม แต่หล่อนกลับนิ่งสนิท
"ยะ-ย่า?" ผู้เยาว์เอ่ยเรียกเสียงขาดช่วง ใบหน้าขาวซีดเมื่อนึกว่าทำอะไรลงไป ต่อให้เป็นยายแก่ปีศาจแต่ด้วยวัย 80 กว่าล้มนิดล้มหน่อยก็อาจถึงชีวิต นาวีเดินเข้าไปคุกเข่าลงข้างหล่อนอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เห็นเลือดออกเป็นหย่อมแดงข้างศีรษะแตก ดวงตาปิดสนิท คราบเลือดเปื้อนพื้นกระเบื้องสีขาวเป็นวง
เขาควรเรียกคนมาช่วย แต่ประตูล็อก ทะ-ทำยังไงดี—จู่ ๆ ร่างแน่นิ่งลืมตาโพลง ย่าลุกขึ้นมาบีบคอ
นาวีร้องเสียงหลงออกมาได้ครึ่งคำ กลายเป็นเสียงไอค่อกแค่กเมื่อนิ้วโป้งเหี่ยวย่นกดหลอดลมคอ แรงมือหนักเกินจะเป็นแรงคนแก่ เด็กหนุ่มหายใจติดขัด หัวหมุนติ้ว เลือดสูบฉีดพุ่งขึ้นแต่ถูกปิดกั้น หัวอึดอัดเหมือนจะระเบิด
มืออ่อนแรงของนักโทษพยายามแกะนิ้วออกอย่างไร้ผล ประสาทเริ่มพร่าเบลอขึ้นทุกขณะ เด็กหนุ่มรีบควานหาของแข็งใกล้มือมาฟาดให้หล่อนปล่อย ความตกใจและหวาดกลัวปนเปจนขาดสติ
ฟาดไม่ยั้งจนกว่าจะปล่อย
เหวี่ยงลงหัวคนร้ายซ้ำ ๆ
ทุบศัตรูเลือดสาดครั้งแล้วครั้งเล่า
นาวีรู้ตัวอีกทีตอนนั่งตัวสั่นอยู่มุมห้อง เหยือกน้ำในมือแตกพังไปแล้วจนเหลือแต่ด้าม เสียงชีพจรเต้นตุบตับดังรัวเป็นกลองแข่งกับลมหายใจหอบ มือเขาเปื้อนเลือดทั้งถูกเศษแก้วบาดเหวอะหวะ แต่ทุกความเจ็บปวดแผ่ขึ้นอย่างเชื่องช้า การรับรู้ด้านชาไปทุกส่วน
เขา…เขาพึ่งทำอะไรลงไป? เด็กหนุ่มเลื่อนตัวถอยหนีแต่ข้างหลังมีแต่ผนัง ดวงตาหวาดผวามองดูผลงานตัวเองบนพื้นกระเบื้องขาว ตั้งแต่ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดกับรอยยุบ สีแดงเปรอะเส้นผมแห้งพันยุ่งเหยิง เศษเนื้อเยื่อผสมปนจนดูไม่ออกเลยว่าอะไรเป็นอะไร
ก้าวร้าว ชอบใช้ความรุนแรง—
แผลฉกรรจ์บนใบหน้าผู้ชราค่อย ๆ สมานตัวต่อหน้าเขา แล้วชั่วนาทีเดียวที่ยาวนานเป็นชั่วโมง ย่าก็สูดหายใจเฮือกลุกขึ้นมา
ประสาทหลอน—
"แย่จริง หนูทำชุดย่าเปื้อนหมดเลย" หล่อนใช้ชายเสื้อไหมพรมเช็ดโลหิตแดงแล้วก็ปัดเศษแก้วตามไหล่ออก อากัปกิริยาดูใจเย็นผิดมนุษย์
"ตัว…ตัวอะไร ย-ย่า อึก…เป็นตัวอะไร"
"แน่ใจเหรอว่าใช่ย่า?"
เจ้าของรอยยิ้มหลอนพุ่งเข้ามาใกล้ นาวีจับหาอาวุธที่พึ่งใช้เมื่อครู่มาป้องกันตัว แต่สิ่งที่อยู่ใกล้มือเขากลับไม่ใช่เหยือกน้ำ
ชิ้นส่วนเซรามิก?
เสียงดีดนิ้วดังขึ้นรัว ๆ ตามอารมณ์ร้อนรน อยากจะปลุกให้เด็กหนุ่มผู้หวาดหวั่นกลับจากฝัน
"นาวี ตื่น กลับมาก่อนลูก"
"…?"
"สิ่งที่หนูเห็นมันไม่จริง ตื่นเดี๋ยวนี้!"
หญิงแก่ยืนห่างจากเด็กหนุ่มหลายก้าว รักษาระยะห่างเผื่อโดนทำร้ายแต่ก็เอ่ยถามเสียงกังวลอยู่ตลอด ท่าทางอย่างผู้ปกครองใจดีที่อยากเข้ามาดูอาการของหลานรักใกล้ ๆ เพราะเป็นห่วง ใบหน้าหล่อนไร้รอยแผล ไม่มีเลือด ปราศจากร่องรอยอื่นนอกจากเส้นย่นบอกวัย
โลหิตแอ่งน้อยที่เห็นมาจากมือนาวีเพียงคนเดียว มันถูกบาดเหวอะหวะ สีแดงฉานตัดกับเสื้อผ้าสีบริสุทธิ์ เขากวาดมองหาคำตอบไปทั่วห้องอย่างสับสน สายตาหยุดอยู่ตรงของประดับที่พังไม่มีชิ้นดี มันควรมีร่างผู้ชรานอนอยู่ตรงนั้น แต่กลับเป็นเศษกระเบื้องเคลือบกระจัดกระจาย
รังนกแหลกละเอียดจนยากจะบอกว่าเคยเป็นอะไร หัวลูกนกหลุดออกจากตัว พ่อนกถูกทุบพังเป็นเสี่ยง ดูรวม ๆ ไม่ต่างจากเศษขยะชิ้นหนึ่ง
—มือเขาเย็นเหมือนกำลังจับน้ำแข็ง ค่อย ๆ สูญเสียความร้อน กำลังจะกลายเป็นศพเย็นชืด พยายามปลุกเท่าไรก็ไม่ตื่น—
ผู้ป่วยหวีดร้องเสียงเสียขวัญที่สุดในชีวิต
เขาถูกผู้คุมลากออกไป ชายตัวใหญ่กว่าช่วยกันจับกุมจากข้างหลัง ป้องกันไม่ให้นักโทษไปทำร้ายใครได้อีก ไม่รู้เลยว่าเด็กหนุ่มช็อกเกินกว่าจะรับรู้อะไรได้แล้ว แต่กระทั่งเสียงของตัวเองก็ไม่ผ่านเข้าหู เส้นความเป็นจริงกับภาพหลอนหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว
___
หล่อนปั่นหัวให้เขาหลอน?
การสะกดจิต?
ฝันไปเอง?
'ลูกผู้ชายหนักแน่นมั่นคง! เสียเลือดไม่เสียน้ำตา!' เสียงดังสนั่นจากสื่อการสอนพุ่งเข้าโสตประสาท
เขาอยู่ในห้องเรียนพิเศษตั้งแต่เมื่อไร?
การเปลี่ยนแปลงของสภาพรอบตัวดูกำกวม นาวีจำได้ถึงเส้นทางผ่านลูกกรง นักโทษดุร้าย เงื้อมือปีศาจที่แอบหลบอยู่ตามมุมมืด แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นความทรงจำอดีตเก่าก่อนหรือเมื่อครู่นี้ ในสถานที่ที่ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน กระทั่งการบอกความต่างของเวลายังยาก
นักโทษนอนตะแคงหันหลังให้ภาพเคลื่อนไหว ความเย็นของพื้นห้องซึมผ่านผ้าบางไปจนถึงผิวไหล่ เขารู้สึกหนาวมากกว่าปกติจนต้องนอนกอดขาซุกกับตัวเองให้ความอบอุ่น ป้องกันพื้นเย็นเฉียบดูดเอาอุณหภูมิของร่างกายไปหมด
หิว หนาว หนวกหู เจ็บมือ กลิ่นคาวเลือดชวนพะอืดพะอม หลายอย่างรบกวนผู้อ่อนแรงไว้จากการหลับใหล
เด็กหนุ่มยังอยู่ในเสื้อผ้าชุดเดิม รอยเลือดเก่า ๆ แห้งเป็นสีน้ำตาลถูกทับด้วยเลือดใหม่จากแผลเซรามิกบาด เหมือนอยากให้เขาได้ย้ำเตือนถึงผลลัพธ์ของการกระทำตัวเองในทุกลมหายใจ แม้นักโทษจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำอะไรผิด
พึ่งทำร้ายย่า—นึกความสามารถของหล่อนให้ออก เป็นอมตะ? เป็นคนเสียสติ เหี้ยมโหดเกินมนุษย์ สมควรถูกรักษาและแก้ไข แต่…ไม่ใช่ เศษเซรามิกไม่ใช่หรือ เขาพึ่งทำร้ายลูกนกตาย คู่ควรกับความทรมานในตอนนี้แล้ว
นาวีกัดริมฝีปากเรียกสติ ต้องจำให้ได้ว่าทุกอย่างเป็นแผนของหล่อน ย่าอยากจะควบคุมเขา อยากให้เขาสับสนจนเป็นบ้า ไอ้ของประดับห้องนั่นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลยกับสิ่งสำคัญแท้จริง เขามีคนที่รอให้กลับไป แต่แล้วมันคืออะไรล่ะ นึกให้ออก
'น่าขยะแขยง ผิดปกติ' เสียงก่นด่าแทรกเข้าโสตประสาท พุ่งชนความนึกคิดที่พึ่งเข้ารูปเข้ารอยให้กระจัดกระจาย
ย่าลักพาตัวเขามา
แสบท้องมาก
เขาถูกหลอกว่าทุกอย่างเป็นความฝัน
ง่วง อยากจะหลับแต่หลับไม่ได้ ปวดหัวหนึบไปหมด
อย่างน้อยก็ห้ามลืมว่ามาที่นี่ทำไม
'ศีรษะของลูกน้อยหนุนพอดีบนไหล่ ให้สัมผัสไออุ่นของมารดา ใช้มือประคองลำตัว'
หาสิ่งเตือนตัวเองสิ นาวียกมือขึ้นมาดูโดยอัตโนมัติ
'งานแต่งงานของคู่สามีภรรยา ฝ่ายหนึ่งปกป้อง ฝ่ายหนึ่งอุ้มชู ถือไม้เท้ายอดทอง'
เขามองทำไม? มันควรจะมีอะไรอยู่ตรงนั้น
___
ที่เดียวที่ได้นอนคือห้องผาสุข เด็กหนุ่มล่องลอยอยู่ในนิทราเบาสบาย ปราศจากความฝันและความเจ็บปวดใด ๆ รบกวน จนกระทั่งเสียงดีดนิ้วปลุกให้เขาตื่น
นาวีกะพริบตาขึ้นมองผ่านความงัวเงีย ไม่รู้ว่ากำลังนึกจำอะไรอยู่ ในใจมันเหนื่อยจนคิดอะไรไม่ค่อยออก สมองว่างโล่งตอนคิดหาเหตุผล อยู่ท่ามกลางกองผ้าห่มนุ่มสบายจนไม่อยากคิดเรื่องเครียด ความอบอุ่นที่โอบล้อมไหล่บางชวนให้นึกถึงสัมผัสอ่อนโยน แข็งแกร่ง อยากเอนพิงไปนาน ๆ
เขาได้กลิ่นชาหอมกรุ่นคล้ายดอกเก๊กฮวย เห็นแสงธรรมชาติอันชวนให้นึกถึงท้องฟ้าคราม ได้ยินเสียงลมเอื่อยล่อลวงให้อยากกลับสู่นิทรา…รู้สึกเหมือนอยู่บ้าน
แมวอ้วนกระโดดขึ้นมาอยู่บนตัก ขนสีขาวล้วนของมันนุ่มชวนลูบ ดูคุ้นเคยแต่ไม่รู้ทำไมนึกไม่ออก มันครางเสียงครืดคราดเรียกให้เกาคอ มองหน้า กะพริบตา บอกรักด้วยภาษาสัตว์
"เป็นฝันร้ายหรือคราวนี้"
"ครับ…น่ากลัวมากเลยล่ะ"
เด็กหนุ่มถอนหายใจออกด้วยเสียงอ่อนเพลีย ทั้งเสียดาย เศร้าใจ คิดถึง รู้สึกผิด สงบสุข อยากฝังลืม ความรู้สึกที่อยู่ในอกเหมือนทั้งชั่วอายุคนอัดแน่นในคืนเดียว แต่ถึงอย่างนั้นกลับยุ่งเหยิงเกินกว่าจะอธิบายเป็นคำ
"ดีที่จำไม่ได้แล้ว"
_____