เอกลักษณ์หนึ่งของความฝันคือสุขสบาย ราวกับล่องลอยอยู่ในหมอกนุ่ม ดำดิ่งในกระแสน้ำอบอุ่น ร่วงหล่นลงหมู่เมฆปุกปุย แต่นาวีไม่อาจปล่อยให้นิทราเข้าครอบงำจนทุกอย่างหยุดนิ่ง เด็กหนุ่มยึดสติอันน้อยนิดเป็นอาวุธต่อกรกับความง่วงงุน ปกป้องจิตเปราะบางจากเงามืดที่พยายามกดประสาท
แต่เพื่ออะไร?
ตื่น…ถ้าแค่นี้ยอมแพ้แล้วต่อไปจะสู้ไหวเหรอ
ปุยเมฆนุ่มชวนง่วง
…เขาทำได้มากกว่านี้
เสียงดีดนิ้วเป๊าะทำให้ภาพรอบตัวพลันเปลี่ยน
นาวียืนจ้องเงาลูกกรงอยู่ตรงหน้าต่าง ทั้งที่ความทรงจำล่าสุดก่อนจะนอนลงคือตรงโซฟา อาการสะลึมสะลือที่มักเป็นหลังถูกคุมร่างตอนนี้ไม่ปรากฏแล้ว นับว่าการตรากตรำฝึกฝนนานหลักเดือนได้ผล
"รู้ตัวไหมว่าย่าเริ่มใช้จินกับหนูเมื่อไร"
"ประมาณ 25 วินาทีหลังผมหลับตาครับ"
"เก่งมากจ้ะ"
เด็กหนุ่มยิ้มรับคำชมเหมือนพึ่งถูกหยิบยื่นสมบัติล้ำค่า เขากลับไปนั่งจมกองผ้าห่มและหมอนอิงตามเดิม ตั้งตารอคอยการทดสอบใหม่ที่ผู้ฝึกสอนกำลังจะมอบ
"รูปแบบต่อไปจะยากขึ้นแล้ว ย่าอยากให้หนูดึงการควบคุมกลับ"
ความง่วงแทรกแซงการรับรู้ของเขา นาวีเห็นว่าแขนขาขยับไปเอง ลุกเองอะไรเองที่มองผ่านสายตางุนงงแล้วเหมือนคนเดินละเมอ ต้องใช้เวลาพักหนึ่งกว่าจะรับรู้ได้ว่ามันไม่ปกติ เขาเพ่งสมาธิไปที่เท้าซ้ายขวาอย่างยากเย็น ร่างกายไม่ประสานกันจนเดินเก้ ๆ กัง ๆ ไปรอบห้อง แวะตรงประตู ทุบผนังอย่างไร้เหตุผล ชนชั้นวางจนข้าวของร่วงลงมา
ท่ามกลางหนังสือและของประดับห้อง กล่องกระดาษที่ร่วงหล่นเปิดออกให้เห็นสิ่งด้านใน มันดึงความสนใจของนาวีได้ชะงัด เด็กหนุ่มหลุดออกจากคำสั่งของหญิงชราโดยไม่ต้องพยายามเลย
ตุ๊กตาเซรามิก?
มันไม่ควรมาอยู่ตรงนี้
ผู้สับสนถือรูปปั้นรังนกไว้ในมือ เหมือนเห็นภาพเศษชิ้นส่วนบางอย่างแตกกระจาย ความรู้สึกหวาดกลัวพุ่งขึ้น เขาเอาแต่ขมวดคิ้วจ้องนานจนผู้ชราเอ่ยทัก
"นาวี หนูไม่มีสมาธิเลย"
"แต่ของตกแต่งอันนี้…"
"ย่าหวังกับหนูไว้มากนะ"
เด็กหนุ่มวางรูปปั้นลงที่เดิมทันทีที่ได้ยิน เขาปิดกล่องรวดเร็ว จัดข้าวของที่ล้มลงขึ้นเก็บให้เป็นระเบียบ ก่อนกลับโซฟายาวที่ประจำด้วยสีหน้าหวั่นเกรง
"หนูว่าย่าเอามันไปทิ้งดีไหม"
"ไม่ครับ!"
หญิงชราจ้องลึกในดวงตาสั่นไหวของเขา ริมฝีปากเรียบเป็นเส้นตรงตักเตือนให้ผู้อ่อนเยาว์ทบทวนตัวเองใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่การกระทำ คำพูด ทุกความคิดในสมอง แต่ข้อสันนิษฐานต่างกระจัดกระจายจนไม่รู้ว่าสิ่งไหนที่ทำให้ย่าไม่พอใจที่สุด เด็กหนุ่มได้แต่เดาสุ่มอย่างลนลาน
นาวีเริ่มอธิบายเสียงตะกุกตะกัก "มะ-มันเหมือนจะเดจาวูครับ ทำให้ผมนึกถึง…" เสียงของเขาเบาลงทุกถ้อยคำที่เอ่ย "แค่รู้สึกคุ้น ๆ ผุดขึ้นมาแป๊บเดียว ผมเผลอไป…ขอโทษครับ"
"อ้าว หนูก็เข้าใจนี่ว่าอันตราย ทำไมถึงยังละเลยง่าย ๆ ล่ะ หนูโกรธย่าอยู่เหรอ ย่าไปทำอะไรให้หนูไม่พอใจหรือเปล่า"
"ไม่ใช่นะครับ แค่—"
คำปฏิเสธร้อนรนของเด็กหนุ่มถูกเสียงถอนหายใจขัดจังหวะ ย่ายกมือขึ้นอย่างป้องกันตัวเอง ส่ายหน้าเชื่องช้าเพื่อบอกว่าไม่อยากได้ยินคำแก้ตัวใด ๆ อีกต่อไปแล้ว
"ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่อย่างนี้ แต่หนูก็ยังพยายามจำ อยากกลับไปเป็นแบบเดิมอีกเหรอนาวี"
เด็กหนุ่มทั้งส่ายหน้าและรีบอธิบายเร็วจี๋ รัวจนฟังไม่รู้เรื่อง ย้ำวนอยู่กับการปฏิเสธว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้อยากให้คนที่โหดร้ายเห็นแก่ตัวคนนั้นย้อนกลับมา ฉายทุกความรู้สึกผิดที่ไม่รับผิดชอบผ่านประโยคเสียใจ แต่ไม่มีคำใดเลยที่สำคัญให้หญิงชราหยุดฟัง
"ย่าหวังดีกับหนูนะ ย่ารักษาหนูไม่ได้หรอกนะถ้าหนูไม่ให้ความร่วมมือ"
ผู้อาวุโสพร่ำเตือนเสมอว่าพลังมหาศาลของเขามาพร้อมคำสาป หากมีรำลึกก็จะใช้พลังไปทำร้ายคนรอบข้าง หากใช้จินเป็นจะอันตรายจนยากปราบปราม ย่าถึงเน้นสอนแค่การควบคุมตัวเองให้เท่านั้น ไม่ถูกเชื่อใจจนกว่านาวีจะพิสูจน์ได้ว่าเขาหายดีแล้วจริง ๆ
ทุกคำเตือนหมายถึงอย่างเดียว
'ห้ามจำได้'
"ย่า….ย่าจะเอารูปปั้นไปทิ้งก็ได้ครับ" นาวีเอ่ยเสียงเล็ก ๆ พูดโดยไม่เงยขึ้นมอง ตาจ้องอยู่กับตักตัวเอง
"หืมม 'ก็ได้' เหรอ"
"ขอโทษครับ ครั้งหน้าผมจะระวังกว่านี้"
สีหน้าผิดหวังของย่ายังคงเดิม
"ผมจะไม่สนใจอดีตอีกแล้ว"
เมื่อผู้ฟังยอมก้าวลงกับดักจากยาพิษก็กลายเป็นน้ำเชื่อม สีหน้าแข็งกร้าวของผู้อาวุโสเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนและเป็นมิตร ย่าเอ่ยต่ออย่างใจดี
"เริ่มฝึกกันใหม่นะ?"
ผู้เรียนหลับตาลง สัมผัสของจินคุมทั่วร่าง
นาวีเตือนตัวเองในใจว่าต้องไม่ละความพยายาม เพื่อวันที่จะได้ออกไปข้างนอก ได้ยืนหยัดอยู่ท่ามกลางสมาคมของย่าอย่างสมภาคภูมิ วันที่พลังของเขาจะได้ใช้เพื่อตอบแทนผู้อื่น ได้ช่วยเหลือสมาคมอย่างที่ย่าช่วยเหลือเขามาโดยตลอด เขาจะไม่ทำให้ย่าผิดหวังจนกว่าจะถึงวันนั้น
___
ตรงหน้าตึกเป็นสนามหญ้ากว้างขวาง มีเวทีครึ่งวงกลมเตี้ย ๆ ตั้งหันด้านนูนไปทางทิศตะวันออก
ผู้คนในชุดโทนขาวยืนอยู่หน้าเวที สมาชิกหลักร้อยชีวิตแบ่งเป็นสองฝั่งซ้ายขวาเพื่อให้มีพื้นที่ตรงกลางไว้เดิน แต่ละคนมีรอยยิ้มสดใสประดับอยู่บนใบหน้า ไม่มีการพูดคุยกันจนบรรยากาศเงียบสงัด ยิ่งขับให้เสียงกรีดร้องเสียขวัญของเด็กสาวให้ชัดเจนขึ้น
สมาชิกใหม่ของศูนย์ถูกผู้คุมลากไปตามทางเดิน มุ่งหน้าไปหาหญิงชราที่ยืนรออยู่บนเวที ย่าผายมือออกต้อนรับ พยักหน้ากับชายหญิงวัยกลางคนที่ยืนดูอยู่ด้วยกัน เป็นการยืนยันว่าลูกสาวของพวกเขาจะไม่เป็นอะไร ให้เมินเฉยต่อเสียงหวีดร้องหวาดผวาที่กรีดลึกไปถึงกระดูก ทำเป็นไม่ได้ยินคำอ้อนวอนอย่างหวาดกลัว
นาวีไม่โทษเธอ ถ้าเขาโดนพ่อแม่ส่งมาอยู่ในศูนย์ฟื้นฟูแปลก ๆ กลางป่าเขา โดนลากไปหาหญิงชราน่ากลัว มองซ้ายขวาเห็นแต่พวกยืนยิ้มมีความสุขจนหลอน เขาก็คงร้องโหยหวนประสาทเสียเหมือนกัน
โชว์รักษาคน—กิจกรรมโปรดของนาวี ช่วงเวลาที่ได้ยืนเท้าเปล่าท่ามกลางผืนหญ้าอุดมสมบูรณ์ รับลมพัดเย็นสบาย ไม่ต้องทำอะไรนอกจากยืนยิ้มเฉย ๆ แล้วมองดูคนอื่นทุกข์ทรมาน ที่ไม่รู้ว่าเป็นการทรมานจริงหรือมารยากันแน่ สร้างละครตบตาให้ผู้สนับสนุนประเคนเงินทองไปพร้อมกับล่อลวงให้ผู้ติดตามของหล่อนยิ่งเชื่อถวายหัวกว่าเดิม
เมื่อย่าแตะศีรษะของเด็กสาวแล้วพูดเบา ๆ ไม่กี่คำ ร่างที่เคยดิ้นรนกรีดร้องบ้าคลั่งเหมือนผีเข้าสงบลงทันที หล่อนรักษาคนไข้อาการหนักต่อหน้าธารกำนัลในเวลาไม่ถึงอึดใจ เรียกเสียงร้องทึ่ง ๆ ของผู้ปกครอง เสียงปรบมือจากสมาชิกของศูนย์ปนเปไปกับคำชื่นชม เสียงสะอื้นไห้จากความเลื่อมใสจอมปลอม
เด็กสาวคนนั้นถูกจ้างมาแน่ ๆ ทุกอย่างถูกจัดฉากขึ้น แต่ทุกคนก็ยังเชื่อย่าอย่างน่าสมเพช
นาวีรู้ตัวทันทีว่าตัวเองกำลังฝัน
เขาลุกขึ้นมาเดินรอบห้องอย่างใช้ความคิด เสี้ยวปริศนาที่ถูกลืมไปในอดีตถูกไขออกง่ายดายในปัจจุบัน ย่าใช้จินรักษาเด็กคนนั้น คุมให้เธอยามทำตามง่ายดายเหมือนตุ๊กตาตัวหนึ่ง ทำไมเขาถึงไม่สังเกตตั้งแต่ตอนนั้นนะ ทั้งคนในตึกคุกก็—
ไม่! เลิกคิดไปได้เลย ลืมไปแล้วเหรอย่าเตือนว่าไง
นาวีคนเก่าเป็นตัวตนย่ำแย่น่าเดียดฉันท์ เป็นตัวอันตรายที่สมควรถูกลืม 'ห้ามจำได้' เขาต้องจำข้อนี้ไว้ให้แม่น
___
"ควบคุมร่างกายตนเอง ไม่ให้ร่างกายเป็นผู้ควบคุม อย่าลืมว่านี่ไม่ใช่ความฝัน"
นาวีนอนบนโซฟาตัวยาว ท่ามกลางกองผ้าห่มนุ่มสบาย จมอยู่กับนิทรานุ่มนวล หลงระเริงไปกับการแหวกว่ายในธารน้ำ เขาคิดว่าตัวเองหลับอยู่ ไม่ได้สนใจด้วยว่าร่างกายทำตามคำสั่งหรือไม่ มือไม้ขยับลากไปตามอากาศเองอย่างเป็นเอกเทศ
"มีสติ เลือกที่จะรับรู้"
เด็กหนุ่มรู้ดีว่าต้องทำอย่างไร แต่เขาเลือกที่จะยอมให้ถูกชักจูงโดยไม่ต่อต้าน ให้ภาพมายาฝันและความสุขสบาย เบี่ยงเบนความสนใจไปจากจินที่เหมือนคลื่นหมอกปกคลุมทั่วร่าง
"หนูไม่อยากออกไปข้างนอกแล้วเหรอ แค่ผ่านอีกครั้งเดียวเท่านั้นเอง การทดสอบครั้งสุดท้ายแล้ว ตั้งใจหน่อยสิลูก"
จริงสิ ย่าบอกว่าถ้าผ่านด่านนี้ได้เขาจะได้ออกไปข้างนอก ผู้ถูกทดสอบควรต้องพยายามมากเป็นพิเศษ แต่ข้างนอก…เขานึกถึงแสงแดด นึกถึงสนามหญ้ากลางสวนสวย นึกถึงต้นไม้และบรรยากาศเงียบสงบ นึกถึงกลิ่นกาแฟ นึกถึงใบหน้าชวนคิดถึง
นาวีดึงสมาธิมารับรู้อยู่แค่แขนขา จินของย่าถูกผลักโยนกลับไป เอาชนะการถูกควบคุมได้เบ็ดเสร็จในพริบตา ต่างจากครั้งก่อน ๆ ที่ต้องสู้ยื้อผลักกันอยู่นานจนน่าแปลก เมื่อเขาลืมตาขึ้นเห็นท่าทางประหลาดใจของผู้อาวุโสจึงเริ่มกังวลทันที ถ้าย่ารู้ว่าเมื่อกี้เขาคิดถึงอะไรละก็…
"ดีมากจ้ะ" โชคดีที่หญิงชราไม่ได้สังเกต ไม่ก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก ความสำเร็จของผู้ฝึกฝนทำให้ย่าพอใจจนมองข้ามไป รอยยิ้มชื่นชมกว้างจนอาจตีความได้ว่าละโมบ "เดี๋ยวลองใหม่อีกครั้งนะ"
"แต่ย่าบอกว่าสุดท้าย—"
"ย่าจำได้จ้ะ คือเราต้องมั่นใจก่อนว่าหนูจะไม่เป็นอันตรายกับคนอื่นจริง ๆ"
แสงอาทิตย์นอกหน้าต่างฝ้าลับไปหลายชั่วโมงแล้ว ใต้ตาที่เป็นรอยคล้ำเตือนว่าเขาอ่อนล้ามากแค่ไหน "งั้นพักสักครู่ได้ไหมครับ ผมเริ่มเหนื่อยแล้ว"
"ไม่คิดว่าย่าเหนื่อยบ้างเหรอ หนูแค่ต้องป้องกันตัวเองเฉย ๆ แต่ย่าต้องใช้จินทั้งวันเลยนะ"
คำว่าเห็นแก่ตัวถูกตีเป็นตราบาปร้อนผ่าว ทำให้ผู้ฟังรู้สึกอับอายจนเถียงไม่ออก ยิ่งไม่สามารถพูดแสดงความผิดหวัง จากการเรียนรู้มาทั้งเดือนต่อให้เหตุผลอะไรไปอีกฝ่ายก็ขัดก่อนจบ
ท่าทางห่อเหี่ยวของเด็กหนุ่มถูกอ่านออกในพริบตา และราวกับว่าย่าล้อเล่นกับความหวังของนาวีเป็นงานอดิเรก หญิงชราเอ่ยให้สัญญาครั้งใหม่ "พยายามหน่อยนะ ถ้าหนูหายดีแล้วจริง ๆ ย่าอาจจะบอกเรื่องในอดีตกับหนูก็ได้"
"ครับ" ผู้เยาว์ทำน้ำเสียงให้สุภาพอย่างยากเย็น "ผมจะไม่ทำให้ย่าผิดหวัง"
_____