[ควินซ์]
น้องน้อย...นับสองน่ะเหรอ
ใบหน้าของผมซับสีแดงทีละนิดอย่างอับอาย สมองคล้ายหยุดทำงานไปชั่วขณะมึนเบลอไปหมดอย่างทำอะไรไม่ถูก ปากพูดอะไรไม่ออกสักคำ
สีหน้าแปลกประหลาดกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของผมเหมือนจะทำให้นับหนึ่งรู้สึกเป็นต่อขึ้นมา
"นี่มึงเข้าใจผิดเรื่องนับสองกี่รอบแล้ว"
ก็น่าจะเยอะอยู่...
"ใครใช้ให้มึงพูดไม่ชัดเจนเอง" เรื่องอะไรที่ผมจะยอมรับว่าตัวเองหน้าแหกกัน "ทุกครั้งเป็นเพราะมึงพูดไม่เคลียร์เองรึเปล่า"
เสียงบ่นอุบอิบที่ดังพอจะกระแทกหูผมว่าขึ้น "มึงก็ฟังไม่เคลียร์แล้วชอบมโนเองปะวะ"
อ้าว นี่มันว่าผมขี้มโนเหรอ
ตรงไหนที่ผมขี้มโนกัน ไม่มี!
"ตกลงนี่มึงจะมาขอโทษกูหรือมาแขวะกูกันแน่" ตอนนี้ผมรู้สึกว่าอารมณ์เย็นขึ้นมาบ้างแล้วแต่ยังคงโกรธคำพูดของมันเมื่อวานอยู่ "กูถามจริงนะ กูไม่ดีเหรอวะ มึงถึงมาตัดเพื่อนกับกู"
เออ ผมอยากรู้ว่าผมทำอะไรผิดเหมือนกัน
ถึงขั้นจะเลิกคบกันเลยนะ
"กูไม่ได้ตัดเพื่อนแบบนั้น" นับหนึ่งขมวดคิ้วยุ่ง
"แต่มึงเป็นคนพูดเอง หน้ามึงจริงจังไม่ได้ล้อเล่นด้วย!" ผมอยู่กับมันมาเป็นสิบยี่สิบปี มันโกหกหรือมันล้อเล่นทำไมผมจะดูไม่ออก
ตอนนั้นมันคิดที่จะตัดเพื่อนจริงๆ
"มันก็เออใช่ แต่ตัดเพื่อนในความหมาย.."
ผมโวยวายลั่นห้อง "เนี่ย มึงพูดว่ามึงจะตัดเพื่อนจริงๆ"
"โอ๊ย ฟังกูให้จบก่อน ไอ้เวร!" นับหนึ่งตะโกนใส่หน้าผมอย่างเหลืออดแล้วตรงเข้ามาตะครุบไหล่ผมทั้งสองอย่างแรงแล้วเขย่าตัวผมจนหัวสั่นหัวคลอน "มึงอย่าเพิ่งมโนไปก่อนได้มั้ย ชอบว่านับสองมโน มึงก็มโน ไอ้เหี้ย"
"ปล่อย!"
"ไม่ปล่อยจนกว่ามึงจะฟังกู!" นับหนึ่งถลึงตามองจ้องผมราวกับจะกลืนกินผมลงท้องยังไงยังงั้นทำเอาผมขนลุกจนเผลอมองค้าง
นับหนึ่งเป็นคนที่เข้มงวดมากทำให้บรรยากาศรอบตัวมักดูเป็นคนดุๆ เป็นประธานเฮี้ยบๆ เนี้ยบระเบียบจัด พนักงานบริษัทไม่กล้าหย่อนยาน ขนาดนับสองยังรู้สึกกลัวและเกรงนับหนึ่งมากกว่าไอศูรย์ออสตินแต่ผมที่เป็นเพื่อนกับมันมานมนาน เห็นความบ้าบอของมันมาก็เยอะเลยไม่เคยรู้สึกหวาดกลัว
แต่ตอนนี้กลับรู้สึกกลัวขึ้นมานิดๆ ยังไงไม่รู้
แววตาสีน้ำตาลเข้มจ้องมองผมนิ่งใบหน้าเรียบตึงดูคาดเดาอารมณ์ไม่ออก ผมเผลอสบตาเข้าแล้ว็ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ
"มึงฟังกูนะ ควินซ์"
นับหนึ่งพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ คล้ายกำลังสงบสติอารมณ์และพยายามปรับโทนเสียงให้นุ่มนวลขึ้น ผมปิดปากเงียบไม่พูดอะไรเพื่อรอฟังมันพูด
แต่พอรอฟังมันพูดก็เสือกเงียบนานอีก
"มีอะไรก็พูดสิ" ผมเร่งมัน
"กูบอกว่าเราเลิกเป็นเพื่อนกันใช่มั้ย"
"เออ" ผมนิ่วหน้า
"ใช่ เลิกเป็นเพื่อน"
"..."
"แล้วให้มึงมาเป็นแฟนกู"
"...!"
"กูจะเป็นผัวมึง เข้าใจยังควินซ์!"
--------------
อะไรนะ...
ผมว่าผมได้ยินไม่ค่อยชัด ไม่สิ ผมว่า...ผมต้องหูฝาดหูเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ
"มึง...พูดว่าอะไรนะ" เสียงของผมคล้ายแหบแห้งอย่างเห็นได้ชัดและตื่นตระหนกสุดขีด
นับหนึ่งกุมไหล่ของผมแน่นขึ้นเหมือนตัวเองมันเองนั้นก็ทั้งเขินทั้งตื่นเต้น สังเกตได้จากใบหูและลำคอที่แดงก่ำแดงเถือกแล้วก็อึ้ง
เดี๋ยวๆ ไอ้อาการสาวน้อยเขินแตกนี่มันอะไรกัน
มันกำลังเขินผมอยู่จริงดิ
บ้าน่า ไม่น่าเป็นไปได้!
"มึงก็ได้ยินแล้ว" นับหนึ่งเม้มปากแน่นแล้วจ้องตาผมไม่กะพริบ "กูพูดชัดมากเลยนะ"
"มึงกำลังล้อเล่นเหรอวะ"
"กูกำลังจริงจัง!" มันตะโกนใส่หน้าผมแล้วเขย่าตัวผมอีกรอบ "เรื่องนี้มันใช่เรื่องตลกเหรอ!"
"ไม่"
ถ้าไม่ได้ล้อเล่นก็แปลว่าจริงจัง
ผมยังคงมีสีหน้าสับสนและสมองก็รวนไม่น้อย การจัดลำดับความคิดจึงช้ามาก ค่อยๆ ทบทวนคำพูดเมื่อกี้อย่างช้าๆ เพื่อให้ตัวเองเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง
"มึงบอกว่าให้กูไปเป็นแฟนมึง"
เอ่ยอย่างไม่แน่ใจ
นับหนึ่งพยักหน้า "ใช่"
"แฟนที่แปลว่า เอ่อ... คนรักอย่างงั้นเหรอ" เอ่ยตะกุกตะกักด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
"ทำไม? หรือคราวนี้มึงจะแปลคำว่าแฟนเป็นพัดลมอีก" แล้วทำไมต้องแขวะกันด้วยวะ!
ผมหน้าแดงวาบ "ไม่ใช่แบบนั้น!"
"แล้วมันยังไง" นับหนึ่งไล่ต้อนผมไม่หยุด "หรือกูยังพูดไม่ชัดอีก"
"ไม่ๆ ชัดแล้ว ชัดแล้ว!" ผมรีบพูดก่อนที่มันจะทำอะไรบ้าๆ ไปมากกว่านี้
นับหนึ่งได้ยินแบบนั้นแล้วก็ฉีกยิ้มกว้างราวกับฤดูใบไม้ผลิทันที แววตาคมกริบอ่อนโยนขึ้นและเปล่งประกายเจิดจ้าซะจนผมพูดอะไรไม่ออกแต่ดีที่ตอนนี้มันเลิกจิกไหล่ผมสักที
"มึงเข้าใจแล้ว? เข้าใจแล้วใช่มั้ย?" ถามอย่างตื่นเต้นคล้ายเด็กห้าขวบที่ได้ของเล่นไม่มีผิด "มึงไม่เข้าใจผิดแล้วใช่มั้ย!"
ผมนิ่วหน้านึกอยากด่านับหนึ่ง... มึงคิดว่ากูเป็นคนชอบเข้าใจผิดรึไง!
เอ่อ แต่ผมก็ชอบเข้าใจผิดจริงๆ นั่นแหละ
แต่มันก็ไม่ได้ผิดที่ผมมั้ย
เพราะไอ้หนึ่งชอบพูดไม่ชัดเจนตั้งแต่แรกเถอะ!
"อืม เข้าใจแล้ว" ผมพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ
"งั้นแปลว่ามึงตกลงเป็นแฟนกูแล้วใช่มั้ย" นับหนึ่งว่าอย่างระริกระรี้ท่าทางเหมือนหมาไซบีเรียนแสนร่าเริงไม่ผิด
ผมย่นคิ้วเข้าหากันแล้วปัดมือนับหนึ่งออกจากไหล่ตัวเองด้วยสีหน้าเรียบนิ่งทำให้อาการดีใจของนับหนึ่งหยุดชะงักและเพิ่งสังเกตสีหน้าผมที่ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ไปมากกว่าตกใจ
"มึงประสาทปะ"
คนฟังอึ้งอ้าปากพะงาบๆ "มึง มึงว่ากูเหรอ"
"เออ มึงบ้าปะ"
ผมหัวเราะหึแล้วผลักอกมันอย่างแรง สีหน้าของนับหนึ่งมึนงงงเหมือนไม่เข้าใจสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น
"มึงคิดว่ามึงจะให้กูเป็นแฟน"
"..."
"แล้วกูต้องตอบตกลงงั้นเหรอ"
นับหนึ่งอึ้งเหมือนไม่คาดคิดมาก่อนว่าตัวเองจะถูกปฏิเสธ
"มึง มึงไม่ได้ชอบกูเหรอ"
อยากจะหัวเราะให้ฟันร่วงจริงๆ
"มึงมั่นหน้าไปรึเปล่า ไอ้ป๋า"
"..."
"คิดว่าทุกอย่างจะเป็นไปอย่างที่มึงต้องการทุกอย่างเหรอ"
"..."
"กูถึงบอกไง มึงมันประสาท"
มันชอบผม
แล้วผมต้องชอบตอบเหรอ
ก็บอกแล้วไง
เลิกชอบมานานแล้ว เหอะ
[นับหนึ่ง]
ผม...กำลังถูกปฏิเสธ?
ไม่ๆ ไม่ใช่กำลัง
แต่ถูกปฏิเสธไปแล้ว!
อะไรนะ นับหนึ่งคนนี้เนี่ยนะถูกปฏิเสธ!
"ทำไม" เสียงของผมแหบแห้งและมองไปที่อีกคนอย่างไม่เข้าใจและจับต้นชนปลายไม่ถูก "ทำไมมึงไม่ชอบกูกลับ"
ไหนนับสองบอกว่ามีโอกาสที่ควินซ์จะชอบผมกลับด้วยไง
แล้วทำไมถึงถูกปฏิเสธเล่า ทำไม ทำไม
ผมทำผิดตรงไหนเนี่ย
"แล้วทำไมกูต้องชอบมึงกลับ" ควินซ์ย้อนถามผม "มึงมีอะไรให้กูต้องชอบ"
"มี!" เออ มีเยอะด้วย ใครๆ ก็ชอบผม!
ควินซ์หลุดขำแล้วกอดอก "แล้วมึงมีอะไรให้กูต้องชอบ"
เมื่อได้ยินคำนี้แล้วมันก็อดไม่ได้ที่จะยืดอกขึ้นมา เอาล่ะ ผมรอคำถามนี้อยู่เลยและผมก็มั่นใจมากว่าตัวเองมีดีเหมือนกัน
"กูหล่อ"
ใช่ๆ หล่อมาก ติดโพลของวงการบันเทิงด้วย
หนึ่งในสิบอันดับหนุ่มหล่อของประเทศ!
"กูรวยมาก"
ถูกต้อง ธุรกิจมากมาย เงินเยอะแยะแถมบ้านก็รวย มีเงินใช้ยันชาติหน้า
"การศึกษาก็ดี"
เรียนโรงเรียนมีชื่อเสียง เรียนมหา'ลัยท็อปๆ ของประเทศแถมยังได้เกียรนิยมด้วย อ้อ มีปริญญาหลายใบด้วยนะ ผมฉลาดมากๆ
"ชาติตระกูลก็ดี"
ไม่นับมีพ่อนิสัยบัดซบก็ถือว่าทางฝั่งแม่ของผมมีพื้นฐานชาติตระกูลดีอยู่เหมือนกัน
"นิสัยเหรอ กูดีกับมึงไม่เคยทำร้ายมึง ตามใจมึงก็บ่อย เอาใจมึงก็เยอะ"
"..."
"ถ้ากูไม่ดีกับมึงจริงๆ" ผมเลิกคิ้วขึ้นด้วยความรู้สึกภูมิใจ "มึงคงเลิกคบกูไปนานแล้วไม่ใช่เหรอ"
ใช่แล้ว ถ้าผมเป็นคนเหี้ยจริงๆ นิสัยไม่ได้เรื่องจริงๆ แล้วทำไมควินซ์ถึงยังทนคบกับผมอยู่ได้ล่ะ
"มันก็ใช่" สีหน้าควินซ์ดูอ่อนลงแต่ยังคงเสียงแข็ง "แต่...นี่คือข้อดีมึงเหรอ"
"แล้วตรงไหนมันไม่ใช่ข้อดีของกู" เออ นี่ข้อดีสุดๆ เลยนะ ใครได้ผมไปเป็นแฟนนี่คือทำบุญมาสิบชาติได้มั้ง แต้มบุญไม่เยอะไม่มีทางได้นับหนึ่งนะ ขอบอก!
ควินซ์ส่ายหัวแล้วถอนหายใจก่อนจะถามผมที่ทำเอาผมอึ้งสุดๆ
"ถ้ากูบอกว่ากูชอบมึงเพราะมึงมีเงิน"
"..."
"ชอบแค่เงินของมึง รักแค่เงินของมึง ชอบมึงเพราะหล่อ"
"...!"
"มึงต้องการให้กูชอบแค่นี้?"
ไม่สิ ไม่ใช่!
ผมต้องการใช้ควินซ์ชอบที่ตัวผมไม่ใช่ปัจจัยภายนอกสิแต่ว่าตอนนี้ผมเรียบเรียงจัดระเบียบคำพูดไม่ถูกเลยไม่รู้ว่าต้องพูดอะไรออกไป
"ไม่ใช่ คือ.." ผมกำลังจะพูดแต่
"เอาเป็นว่าข้อดีของมึงพวกนี้ใช้ไม่ได้กับกู" ควินซ์ตัดบท "ถ้ามึงไม่มีอะไรจะพูดแล้วก็กลับไป กูจะทำสปา"
ควินซ์เดินไปหยิบโทรศัพท์ที่อยู่มุมห้องเพื่อตามพนักงาน
"อ้อ แล้วก็นะ เมื่อกี้...กูจะถือว่ามึงไม่เคยพูดอะไรแล้วกัน" เสียงนุ่มนวลว่าอย่างเย็นชา "กูจะทำเป็นลืมๆ ไปแล้วกัน"
ผมไม่ยอมแพ้ง่ายๆ และถามต่ออย่างดื้อดึง "ทำไมต้องลืม"
"คำว่าชอบของกูมันไม่มีค่าขนาดให้มึงจำเลยเหรอ"
ควินซ์เหลือบมองผมด้วยหางตาแล้วมองไปทางอื่นจากนั้นถอนหายใจคล้ายเหน็ดเหนื่อยกับผม สีหน้าท่าทางของควินซ์มันบ่งบอกว่าขี้เกียจจะเสวนากับคนโง่แล้ว
มันเป็นสีหน้าที่ควินซ์ชอบใช้เวลาคุยกับนักลงทุนโง่ๆ ที่พูดจาฟุ้งเฟ้อไม่มีสาระและตอนนี้มันกำลังใช้สีหน้านี้กับผมเล่นเอาสะเทือนไปทั้งใจเลย
ผมโง่ตรงไหนวะ!
"อยากจะพูดอะไรก็พูดได้"
"..."
"แล้วการกระทำมึงล่ะ"
"…"
"กูยังไม่เห็นการกระทำที่บอกว่ามึงชอบกูเลย"
ผมนิ่งฟังแล้วขมวดคิ้ว...การกระทำ? แล้วผมต้องทำอะไรอ่ะ
ยิ่งผมเผยสีหน้าหมาเมากาวหมางงงวยออกไปยิ่งทำให้ควินซ์ส่ายหัวกว่าเดิม ควินซ์เลิกสนใจผมแล้วกดโทรศัพท์แต่ผมก็ยังแอบได้ยินควินซ์บ่นอยู่นะ
"ใครเชื่อคำพูดคนเจ้าชู้เหรอ มีแต่ควายเท่านั้นแหละที่เชื่อ"
จึก
"เชื่อมันคงได้มีเขางอกบนหัวแน่ๆ"
จึก จึก
เหมือนดั่งธนูปักแทงทะลุหัวใจไม่มีผิด ผมยืนซึมกระทืออยู่กับที่เหมือนคนหลงทางทำอะไรไม่ถูกได้แต่นิ่วหน้าคิ้วขมวดมองควินซ์ต่อสายโทรศัพท์คุยกับพนักงาน
เจ้าชู้อะไร เลิกมานานแล้วเถอะ
โอ๊ยยย ทำไมควินซ์ต้องเอานิสัยเก่าผมมาพูดด้วยเนี่ย
แล้วทีนี้ผมต้องทำยังไงดี
"ควินซ์" ผมเรียกเขาอีกครั้งเพื่อที่จะคุยต่อ
"อะไร จะทำสปาแล้ว" ควินซ์ยกมือทำปรางค์ห้ามญาติ "กูพูดชัดเจนแล้ว โอเคนะ"
"ไม่โอเค!" ผมไม่ยอม
"เรื่องของมึง กูจะไปทำสปา หลบๆ" อีกคนดูไม่สนใจเลยยื่นมือมาดันตัวผมที่ขวางทางอยู่ให้หลบไปเพื่อเข้าห้องน้ำไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมทำสปาเต็มที่
ผมจะตามมันไปแต่ดันได้ยินเสียงเปิดประตูก็เห็นว่าเป็นพนักงานสปาจึงต้องหยุดความคิดที่จะตามควินซ์เข้าไปในห้องน้ำแล้วหมุนตัวไปนั่งบนเตียงแทนด้วยอารมณ์หงุดหงิด
พนักงานสาวไปเตรียมสถานที่ในห้องทำสปา ผมครุ่นคิดนึกได้ว่าถ้าทำสปาแล้วจะอารมณ์ดีขึ้นดังนั้นแล้วผมควรรอให้ควินซ์อารมณ์ดีกว่านี้แล้วค่อยคุยอีกรอบน่าจะดีกว่าแน่ๆ
คิดนั่นคิดนี่เสร็จก็เห็นควินซ์เดินออกมาจากห้องน้ำ เจ้าตัวมองผมแล้วขมวดคิ้ว "ยังไม่กลับอีกเหรอ"
ไล่เหรอ ฮึ ไม่กลับเว้ย
"กูเป็นคนซื้อคอร์สวีไอพีให้มึงดังนั้นห้องนี้มันก็เป็นของกู" อันที่จริงได้ฟรีจากไอ้เก้าแต่ต้องพูดเอาดีเข้าตัวเอง "แล้วทำไมกูจะอยู่ไม่ได้"
ควินซ์ร้องอ้อเบาๆ "อ้อ รวย" พยักหน้า "งั้นก็เชิญตามสบายและขอบคุณสำหรับคอร์สวีไอพี"
แค่นี้? ไม่มีอารมณ์ดีใจซาบซึ้งหน่อยเหรอ
"เริ่มทำสปากันดีกว่าครับ" เอาอีกแหละ หนีอีกแล้ว ควินซ์หันไปพูดกับพนักงานอย่างสุภาพด้วยใบหน้าอ่อนโยน
ทีกับผมนี่หน้าอย่างตึงเลยนะ
ผมมองควินซ์หายวับเข้าไปในห้องสปาแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นยีหัวตัวเองอย่างสมเพชและต่อว่าต่อขานตัวเองในใจ
ทำไมจะมีเมียมันยากขนาดนี้วะ
แล้วทีนี้เอาไงต่อดี
นั่งคิดไปคิดมาสารพัดจนหัวจะแตกก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองควรทำยังไงเพราะกลัวว่าทำอะไรลงไปแล้วจะผิดพลาดยิ่งกว่าเดิม
สุดท้ายแล้วก็ล้วงโทรศัพท์ขึ้นมากดเข้าไลน์อย่างจำใจ
ป๋าไง ป๋าหนึ่งไง : ไอ้เก้า อยู่ไหน