[ควินซ์]
"ครับคุณวิภา วันนี้ผมไม่สะดวกจริงๆ ต้องขอโทษด้วยครับ"
(ไม่เป็นไรค่ะ คุณควินซ์) ปลายสายไม่ได้เกรี้ยวกราดหรือโมโห (เรานัดกันวันอื่นก็ได้ค่ะ วันเสาร์ก็ได้นะคะ บริษัทเราเปิดทำการวันเสาร์ด้วยค่ะ)
"เสาร์อาทิตย์นี้ผมต้องบินไปจีน คงไม่สะดวก" ว่าแล้วก็เปิดปฏิทินดูตารางงาน "งั้นถ้าผมกลับมาจากจีนแล้วจะติดต่อไปอีกทีนะครับ"
(ได้ค่ะ ขอบคุณที่เลือกบริษัทเรานะครับ)
"ครับ" ผมกดตัดสายแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
รู้สึกหงุดหงิดไม่น้อยที่ต้องยกเลิกนัดกับบริษัทจัดหาคู่ จู่ๆ ไอ้บอสบ้ามันก็เพิ่งมาบอกว่าเย็นนี้มีนัดทานข้าวกับลูกค้า เล่นเอาตารางชีวิตผมรวนไปหมดเลย
เมื่อเช้าแม่ของผมเดินทางมาจากเชียงใหม่เพื่อมาเยี่ยมและพูดเรื่องสำคัญอย่างการแต่งงานของผม ผมถูกบ่นเกือบสามชั่วโมงเต็มๆ แถมแม่ยังจะให้ผมลาออกจากบริษัทอีกเพราะงานเยอะจนไม่มีเวลาหาคนรัก
งานสมัยนี้ยิ่งหายากอยู่นะแม่ แถมเงินเดือนที่ไอ้คุณบอสและเพื่อนสนิทคนนี้ให้มันก็เยอะซะจนไม่อยากเปลี่ยนงาน จริงๆ ให้เปลี่ยนงานมันก็ได้แต่บางอย่างเราทำจนเคยชินไปแล้วก็ไม่อยากไปเริ่มอะไรใหม่ๆ
ตอนนี้ผมก็มีความสุขดีกับงาน เพราะงานของผมมันหลากหลายและได้พบเจอผู้คนมากมายมันเลยไม่น่าเบื่อ
พูดถึงเรื่องหาคนรัก ผมก็ไม่มีแฟนมาจะเอ่อ...เจ็ดแปดปีแล้วมั้ง แฟนคนล่าสุดเมื่อแปดปีที่แล้วเลิกกันก็เพราะเรื่องความบ้างานของผมนี่แหละ เฮ้อ
ตอนนี้ก็อายุสามสิบสองแล้ว จะหาคนรักก็ยากหน่อย แล้วผมก็คิดอะไรอยู่ก็ไม่รู้ถึงไปติดต่อบริษัทหาคู่เพื่อหาคู่เดตให้ผม แต่เอาเถอะ...ลองดูก็ไม่เสียหาย
แต่ยังไม่ทันได้ลองก็พังพินาศเพราะงานอีกแล้ว
"เฮ้อ" ถอนหายใจอีกครั้งแล้วเริ่มตั้งใจทำงานต่อ
ตรงหน้าผมคือสำเนาบทละครเรื่องใหม่ของคุณศศิกานต์และตอนนี้มันกำลังถูกผมขีดเขียนด้วยปากกาไฮไลท์เน้นข้อความ จากที่อ่านดูคร่าวๆ แล้วมีบทตัวเอกที่เหมาะกับนักแสดงของเราอยู่ ถึงจะไม่ใช่บทพระนางแต่ก็เป็นตัวละครที่น่าสนใจ
หลังจากตัดสินใจที่จะเอาบทนี้ให้กับนักแสดงที่คิดไว้ในหัวแล้วก็เริ่มเช็กคิวงานในเว็บไซต์ของบริษัทก่อน เมื่อเห็นว่าว่างก็โทรไปสอบถามผู้จัดการส่วนตัวของนักแสดงอีกทีเพื่อความมั่นใจ
"ใช่ครับ ยังไม่ได้รับงานใช่มั้ย อืม งั้นสองสามวันนี้อย่าเพิ่งรับงานละคร พอดีผมมีบทน่าสนใจให้น้องคะนิ้งแต่ยังไม่แน่ใจว่าจะได้รึเปล่า"
"ไม่ต้องขอบคุณขนาดนี้ก็ได้ครับ ผมทำตามหน้าที่" ผมบอกปัดนัดกินข้าวของผู้จัดการนักแสดงออกไป เขาว่าจะเลี้ยงอาหารขอบคุณแต่จุดประสงค์ก็คงอยากติดสินบนให้ผมช่วยดันเด็กเขาล่ะมั้ง
วงการบันเทิงน่ะนะ เรื่องพวกนี้เป็นปกติ
รีบคุยธุระและรีบตัดสายไป บางทีผมอาจจะต้องเปลี่ยนผู้จัดการคนนี้ออกไปแล้วสิ พฤติกรรมค่อนข้างแย่อยู่นะ แต่เรื่องที่เขาดูแลศิลปินดีก็ต้องยกให้จริงๆ
กว่าผมจะจัดการเรื่องงานละครเสร็จก็ปาไปห้าโมงสิบห้าแล้ว จากบริษัทไปร้านอาหารมาดามลิลลี่ก็ครึ่งชั่วโมง ถ้ารถติดก็หนึ่งชั่วโมง ผมรีบลุกจากโต๊ะเพื่อไปแจ้งนับหนึ่งว่าอีกสิบนาทีต้องออกจากบริษัทแล้ว
เมื่อเข้าห้องทำงานของท่านประธานไปก็พบกับความว่างเปล่า
ผมเลยเดินเข้าไปเปิดประตูที่อยู่ทางขวาด้านหลังโต๊ะทำงานเพื่อไปตามคน ในห้องทำงานนี้ยังมีห้องนอนกับห้องน้ำด้วย ทำไมต้องมีเหรอ ก็เพราะคนบ้างานอย่างนับหนึ่งมันทำงานข้ามวันข้ามคืนไม่กลับบ้านน่ะสิ
เข้ามาในห้องนอนแล้วก็ปิดประตู มองหาเจ้าของห้องก็ไร้เงาแต่หูได้ยินเสียงฝักบัวคงกำลังอาบน้ำใหม่อยู่ มองไปที่ตะกร้าเสื้อผ้าที่ใช้แล้วก็เห็นเสื้อสูทวันนี้เลอะหมึกปากกาก็ร้องอ้อ
"จะใส่สูทสีดำเหรอ" มองเสื้อผ้าบนเตียงที่เตรียมไว้จะใส่คืนนี้แล้วรู้สึกว่าเนคไทมันไม่เข้ากับสูทนักเลยไปเปิดลิ้นชักหาเนคไทเส้นใหม่ให้
ตอนที่กำลังหาเนคไทอยู่ เสียงในห้องน้ำก็เงียบไปแล้วและนาทีต่อมาก็มีคนเดินออกมาจากห้องน้ำ
"หาอะไรควินซ์" เสียงทุ้มน่าฟังเอ่ยถาม
"กำลังหาเนคไทใหม่ให้" ว่าจบแล้วก็เจอสีที่เหมาะ "รีบแต่งตัวซะ เดี๋ยวไปไม่ทันนัด"
มีเสียงตอบกลับมาแค่อาๆ อืมๆ ไม่ได้กระตือรือร้นเลย ผมปิดลิ้นชักตู้เสื้อผ้าแล้วหันไปมองเพื่อนสนิทพ่วงตำแหน่งเจ้านายเล็กน้อยก็รู้สึกวันนี้เหมือนมีอะไรแปลกๆ
"เสื้อคลุมอาบน้ำไปไหน" ปกตินับหนึ่งจะชอบใส่เสื้อคลุมอาบน้ำหลังอาบน้ำเสร็จแต่วันนี้กลับมีผ้าขนหนูพันรอบเอวแค่ผืนเดียว
ผมไม่ได้รู้สึกเขินอายอะไรแต่แค่แปลกใจ
วันนี้เพื่อนผมมันก็ดูแปลกๆ ทำตัวพิลึกกว่าทุกวัน
"ลืมหยิบเข้าไป" ตอบหน้าตายแล้วใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดผมเปียกๆ ต่อไป "ทำไม? นายเขิน?"
"แก้ผ้าจนเห็นหมดทุกสัดส่วนแล้วยังมีอะไรให้เขิน" ตอบกลับไปอย่างไม่คิดอะไรแล้วเอาเนคไทไปวางที่เตียง
"จริงเหรอ เห็นหมดแล้วจริงดิ" อะไรของมันวะ
"เลิกเล่นแล้วรีบแต่งตัว" เริ่มขมวดคิ้วยุ่ง "อย่าให้ลูกค้าต้องรอ"
คนถูกตำหนิไม่ได้สะทกสะท้านยังคงทำอะไรอ้อยอิ่งต่อ ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเดินไปหยิบไดร์เป่าผมออกมาเพื่อเป่าผมให้เจ้านายคนนี้
นับหนึ่งเดินมานั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะกระจกอย่างว่าง่าย ผมเริ่มเป่าผมให้เขาด้วยสีหน้าปกติเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทำให้ นับหนึ่งเป็นพวกทำแต่งานแต่การใช้ชีวิตติดลบต้องมีคนคอยสั่งคอยกำกับดูแล
ไม่งั้นก็ลืมนอนลืมกินลืมพักอ่ะคนนี้
"ควินซ์"
"อะไร"
"นายชอบคนแบบไหน"
ผมขมวดคิ้วทันที "จู่ๆ มาถามอะไร"
"ก็อยากรู้สเปกเพื่อนบ้าง ผิดอะไร" นับหนึ่งว่าอย่างไหลลื่น "ไม่ค่อยเห็นมึงมองใครเท่าไร"
ทำงานงกๆ ทุกวันจะเอาเวลาไหนไปมองหาคนกัน
"ก็ไม่ได้มีสเปกตายตัวนะ" ขยุ้มผมเปียกเบาๆ แล้วเอาไดร์เข้ามาเป่าใกล้ๆ "แต่คงต้องหน้าตาดี มีการศึกษา ฐานะยังไงก็ได้ แต่เอาจริงๆ มันก็ต้องดูที่นิสัยเป็นหลัก"
แม่บอกให้ผมรีบหาแต่เรื่องพวกนี้มันก็รีบไม่ได้ด้วยสิ มันต้องใช้เวลาศึกษานิสัยเยอะๆ
"ควินซ์" เรียกจังว่ะ วันนี้เป็นอะไรครับคุณ
"อะไร"
"มึงว่ากูหน้าตาดีมั้ย"
"ดี"
"กูดูมีการศึกษาปะ"
"จบตรีสามใบ โทหนึ่งใบ มึงยังไม่พอใจเหรอ?" จะเรียนเอาโล่รึไง
นับหนึ่งยังคงถามต่อด้วยสีหน้าปกติ "แล้วฐานะกูเป็นไง"
"มึงจะอวดรวยรึไงไอ้ป๋า" กูอยากเอาไดร์เป่าผมฟาดหัวจริงๆ
"แล้วนิสัยกูอ่ะ ดีใช่ป่ะ ดีมากใช่มั้ย"
วันนี้มันกินอะไรผิดมารึไงถึงได้มาถามอะไรแปลกๆ
"นิสัยมึงเหรอ"
"อืมๆ"
"ก็...เหี้ยไง"
เออ ไม่น่าถามเลยนะ