บทที่ 16 ทางข้างหน้า
ไฟในเตาผิงกำลังลุกโชน ขับไล่ความหนาวที่เล็ดลอดเข้ามาทางช่องประตูและหน้าต่าง บนกำแพงเหนือเตาผิงแขวนหัวกวางซึ่งมีเขาขนาดใหญ่ เมื่อถูกแสงสว่างจากเปลวไฟ เงาของเขากวางที่ทาบประทับบนกำแพงด้านหลังดูหงิกงอราวกับกรงเล็บขนาดมหึมา
ฝั่งตรงข้ามคือโต๊ะตัวยาวสีแดงเข้ม บนนั้นเต็มไปด้วยหนังสือและม้วนกระดาษ ส่วนใหญ่เป็นเอกสารราชการที่รอเขาลงนาม โดยปกติโรแลนด์จะจัดการงานเอกสารที่นี่...นับตั้งแต่ดัดแปลงห้องชั้นสามของปราสาทเป็นสำนักงานเป็นต้นมา เขาก็เริ่มรู้สึกชอบที่นี่ขึ้นมาทีละนิด
หากมองผ่านหน้าต่างบานยาวด้านหลังออกไปจะเห็นเมืองที่ทอดตัวออกไปเบื้องหน้า สุดปลายทางเป็นกลุ่มภูเขาที่เชื่อมต่อกันไปสุดสายตา นั่นคือเทือกเขาสิ้นวิถีซึ่งพาดผ่านเกือบทั้งทวีป และกั้นแบ่งอาณาจักรเกรย์คาสเซิลกับผืนดินรกร้างออกเป็นฝั่งตะวันตกกับตะวันออก เนินเขาทิศเหนือเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเทือกเขาสิ้นวิถีเท่านั้น
และด้านล่างเชิงเขาก็เป็นสวนดอกไม้ที่ถูกล้อมด้วยรั้วไม้ กระท่อมไม้ซึ่งเคยเป็นที่ฝึกพลังของอันนาถูกรื้อออกแล้ว สระอิฐถูกดัดแปลงเป็นโต๊ะตัวยาวสำหรับวางอุปกรณ์จิบชายามบ่าย หากอากาศดีเขาจะลงไปอาบแดดอยู่ข้างล่าง หรือไม่ก็นอนงีบบนเก้าอี้โยกซึ่งสั่งทำขึ้นโดยเฉพาะ
แม้ปราสาทแห่งนี้จะไม่ใหญ่มาก แต่อย่างไรเสียก็เรียกได้ว่าเป็นปราสาทขนาดกลางที่มีสวนดอกไม้เป็นของตัวเอง หากเป็นชาติที่แล้ว เขาไม่มีทางได้ครอบครองปราสาทหินแท้ๆ แบบนี้เด็ดขาด แค่จะเข้าไปดูยังต้องจ่ายค่าเข้าชมเลย แต่ว่าตอนนี้ นอกจากจะได้ครอบครองปราสาทแห่งนี้แล้ว เขายังได้ปกครองเมืองด้วย
“ฝ่าบาท เวลานี้ค่าใช้จ่ายสำหรับจ้างช่างและคนงานเบ็ดเตล็ดเป็นเงินก้อนใหญ่มาก เงินจำนวนนี้เป็นเงินส่วนพระองค์เอง หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป กระหม่อมเกรงว่าพวกเราจะอยู่ได้ไม่ถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า” บารอฟถือกระดาษหนังแกะหนึ่งปึก รายงานสภาพการเงินระยะนี้ให้โรแลนด์ฟัง
รายรับและรายจ่ายของเมืองชายแดนไม่มีอะไรซับซ้อน ทางแรกมาจากการขายแร่และอัญมณี ทางเส้นนี้ถูกป้อมปราการลองซองผูกขาดไว้ ผลผลิตของเหมืองเนินเขาทิศเหนือจะถูกแปรสภาพเป็นข้าวสาลีและขนมปัง และไม่มีการเก็บภาษีใดๆ ทางป้อมจะส่งคนมาแลกเปลี่ยนสินค้าเอง หรืออธิบายง่ายๆ ก็คือ เหมืองเนินเขาทิศเหนือก็คือแหล่งลงทุนในลักษณะหุ้นส่วนของกลุ่มขุนนางชั้นสูงของป้อมปราการลองซอง ส่วนพวกขุนนางที่ประจำอยู่ที่เมืองชายแดนนั้นอาจเรียกได้ว่าเป็นผู้ดูแลที่ถูกพวกผู้ถือหุ้นส่งมาอีกที ที่ดินของพวกเขาส่วนใหญ่อยู่ทางทิศตะวันออกของป้อม มาประจำอยู่ที่นี่ก็เพียงชั่วคราว และคนที่มาอยู่ที่นี่แต่ละปีก็ไม่เคยซ้ำหน้ากันเลย
ความจริงแล้ว เมืองชายแดนเพิ่งก่อตั้งได้ไม่ถึงสามสิบปี เทียบกับป้อมปราการลองซองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานถึงเกือบสองร้อยปีแล้วย่อมไม่ต่างจากทารกเพิ่งเกิด ตอนแรกดยุคไรอันตั้งใจจะสร้างที่นี่เป็นด่านหน้าสำหรับเตือนภัยสัตว์อสูรเท่านั้น ทว่าพวกนักบุกเบิกพบแหล่งทรัพยากรแร่อันอุดมสมบูรณ์ทางเนินเขาทิศเหนือ ทำให้เขาตัดสินใจตั้งเมืองขึ้นที่นี่โดยใช้ชื่อว่าเมืองชายแดน หรือในอีกแง่หนึ่งก็คือ เมืองแห่งนี้เกิดขึ้นได้เพราะเหมืองเนินเขาทิศเหนือแท้ๆ
เพื่อป้องกันการทุจริตต่างๆ ดยุคไม่รับข้อเสนอของพวกขุนนางที่ขอส่งคนของตัวเองไปขุดเหมือง แต่ใช้วิธีร่วมกันว่าจ้างคนท้องถิ่นและผู้อพยพบริเวณนั้น หรือแม้กระทั่งนักโทษให้มาขุดเหมืองแทน แร่ที่ขุดได้จะถูกแบ่งตามอัตราส่วนผู้ถือหุ้นของแต่ละตระกูล ทางป้อมเพียงแค่จ่ายค่าจ้างบางส่วนและเสบียงตลอดปีให้แก่ลูกจ้างเท่านั้น ค่าตอบแทนนี้เป็นจำนวนเงินที่แน่นอน ไม่มีวันเพิ่มขึ้นหรือลดลงตามปริมาณการผลิตของเหมือง ในบรรดาประชากรสองพันกว่าคนของเมืองชายแดน มีจำนวนกว่าครึ่งที่ีทำงานให้เหมือง
ส่วนรายได้อีกทางมาจากกิจการอื่นๆ ภายในเมือง...เช่นโรงตีเหล็ก ร้านเหล้า โรงทอ และอื่นๆ ภาษีอันน้อยนิดของเมืองชายแดนก็ได้มาจากคนกลุ่มนี้เป็นส่วนใหญ่ ทว่าตลอดปีก็เก็บได้ไม่เท่าไรนัก ผู้ปกครองคนก่อนก็ไม่ได้เห็นเมืองแร้นแค้นแห่งนี้สำคัญอะไร ตั้งแต่พระราชาแห่งเกรย์คาสเซิลส่งโรแลนด์มาอยู่ที่นี่ เขาก็ย้ายกลับป้อมแล้วไม่กลับมาที่นี่อีกเลย
ดังนั้น หากโรแลนด์คิดจะจ้างคนสร้างกำแพงเมืองก็ต้องควักเงินตัวเอง ถ้าเป็นเจ้าชายตัวจริงคงไม่มีวันทำอย่างนี้แน่นอน แต่สำหรับโรแลนด์แล้ว ขอแค่ทำให้เมืองแห่งนี้มั่นคงได้ ต่อให้ต้องผลาญทรัพย์สินทั้งหมดที่มีก็ยังคุ้มค่า อย่างไรเสียต่อไปเขาจะไม่ยอมขายแร่แลกเสบียงแล้ว หากเปลี่ยนจากเสบียงเป็นเงินได้ การลงทุนครั้งนี้ก็ถือว่าเล็กน้อยมาก
ปัญหาเพียงอย่างเดียวก็คือป้อมปราการลองซองจะยอมยกเลิกการผูกขาด แล้วทำการค้าแบบปกติกับเมืองชายแดนหรือไม่...ข้อนี้่ดูไม่ต่างจากการแย่งเนื้อจากปากเสือทีเดียว แต่เอกสารอ้างอิงของบารอฟแสดงให้เห็นว่า เหมืองแห่งนี้มีกำลังการขุดต่ำและการขนส่งที่ไม่สะดวก ทำให้ปริมาณแร่ที่ขุดได้ในแต่ละปีมีมูลค่าเพียงหนึ่งพันกว่าเหรียญทอง เทียบกับรายได้ทั้งหมดของป้อมแล้วเป็นเพียงเศษเงินเท่านั้น ผู้ที่จะเสียผลประโยชน์ก็มีแต่กลุ่มขุนนางที่ลงทุนร่วมกันเท่านั้น
เมื่อคำนึงถึงการพัฒนาเมืองชายแดนในระยะยาวแล้ว เขาจะต้องเอารายได้ทางนี้กลับมาให้ได้ โรแลนด์รู้ดีว่า ต่อให้คนพวกนั้นคืนทุนไปตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีก่อน พวกเขาก็ยังไม่ยอมปล่อยมือง่ายๆ อยู่ดี ยุงตัวเล็กแค่ไหนก็ยังมีเนื้อ แล้วนับประสาอะไรกับกิจการที่นอนอยู่เฉยๆ ก็กวักเงินมาได้เล่า เขายินดีให้ส่วนลดและการชดเชยแก่ผู้ถือหุ้นเก่าแก่พวกนั้น เช่นว่าขายแร่ให้ในราคาครึ่งเดียว แต่หากจะให้เขาส่งเรือบรรทุกแร่ไปเต็มลำแล้วแลกเสบียงกลับมาเพียงครึ่งลำอีก เขาไม่มีวันยอมเด็ดขาด
ขณะที่โรแลนด์กำลังจ้องใบรายการสินค้าอย่างครุ่นคิดนั้น บารอฟกำลังจับสังเกตโรแลนด์
สามเดือนที่ผ่านมานี้ หรือหากพูดให้ถูกก็คือหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ เจ้าชายเปลี่ยนแปลงไปมากอย่างยากจะอธิบาย คนนอกอาจจะยังไม่รู้สึก แต่เขาซึ่งอยู่กับเจ้าชายทุกวันจะมองข้ามเรื่องนี้ไปได้อย่างไร
เขาได้ยินกิตติศัพท์อันเลวร้ายของเจ้าชายโรแลนด์ วิมเบิลดันตั้งแต่ตอนที่อยู่เกรย์คาสเซิลแล้ว เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ยโสโอหัง ไม่มีสมบัติผู้ดี...โด่งดังก็แต่เรื่องประเภทนี้ สรุปแล้ว ไม่เคยก่อปัญหาร้ายแรงใหญ่ๆ แต่ปัญหาจุกจิกกวนใจมีได้ไม่เว้นวัน ยังห่างไกลจากพี่ชายสองคนของเขามาก
เขาเคยผิดหวังอย่างรุนแรงตอนที่รู้ว่าพระราชาจะส่งเขามาที่นี่ หากไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายสัญญาว่าหลังสิ้นสุดการชิงตำแหน่งรัชทายาทแล้วจะแต่งตั้งเขาเป็นเจ้ากรมคลังอย่างเป็นทางการล่ะก็ เขาคงไม่มาที่นี่แน่นอน
ช่วงสองเดือนแรกที่มาถึงเมืองชายแดน เจ้าชายยังแสดงพฤติกรรมน่าระอาอย่างที่เคยทำประจำ เที่ยวล่วงเกินขุนนางทุกคนที่ล่วงเกินได้ โชคดีที่เมืองแห่งนี้มีขนาดเล็กมาแต่ไหนแต่ไร ต่อให้ตำแหน่งขุนนางบริหารว่างลงทั้งหมด เขากับพวกขุนนางอีกสิบกว่าคนที่พามาด้วยก็ยังพอช่วยประคับประคองเมืองต่อไปได้
ทว่าหลังจากนั้น บางอย่างก็เปลี่ยนแปลงไป
ความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไรนะ เขาคิด น่าจะ...ตั้งแต่ตอนที่ช่วยชีวิตแม่มดคนนั้นไว้
ใช่ว่าบารอฟไม่เคยสงสัยว่าเจ้าชายอาจถูกปีศาจเข้าสิงหรือถูกแม่มดในเงามืดบงการอยู่ แต่ความเป็นไปได้ข้อนี้น้อยมาก หากปีศาจหรือแม่มดมีความสามารถนี้จริงจะมาบงการเจ้าชายทำไม สู้ไปบงการพระราชาหรือพระสันตะปาปาไม่ดีกว่าหรือ และเหตุผลอีกข้อที่ลบข้อสงสัยเขาไปได้ก็คือ เขาเห็นเจ้าชายถือพันธนาการอาญาสิทธิ์กับตาตัวเอง
ของสิ่งนี้คือไม้ตายที่ศาสนจักรใช้รับมือแม่มด พลังปีศาจใดๆ ก็ล้วนพ่ายแพ้ต่อพันธนาการอาญาสิทธิ์ทั้งสิ้น ทว่าโรแลนด์กลับสัมผัสมันได้โดยตรง หรือพูดอีกอย่างก็คือ ต่อให้เขาไม่ใช่เจ้าชายลำดับที่สี่ตัวจริง ทว่าเป็นราชาปีศาจที่ไม่กลัวแม้แต่พลังของพระเจ้าจริงๆ เขาก็ไม่จำเป็นต้องเปิดโปงอีกฝ่ายอยู่ดี สู้รักษาชีวิตตัวเองไว้ไม่ดีกว่าหรือ
เจ้าชายยังคงยโสโอหังและชอบทำอะไรตามใจตัวเองเหมือนเดิม แต่เจ้าชายคนนี้กับคนก่อนหน้านี้กลับให้ความรู้สึกที่ต่างลิบลับ ไม่สิ บารอฟคิด ต้องบอกว่าตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิงมากกว่า
จุดที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนที่สุดน่าจะอยู่ที่เป้าหมาย เขารู้สึกว่าเจ้าชายกำลังวางแผนอะไรบางอย่าง และเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายนั้น จึงจำเป็นต้องใช้วิธีที่คนธรรมดาเข้าไม่ถึง เหมือนอย่างตอนที่เจ้าชายเคยอธิบายให้เขาฟังว่าทำไมถึงต้องช่วยชีวิตแม่มดไว้ตอนนั้น แผนการของเจ้าชายอาจจะยังไม่รอบคอบ เต็มไปด้วยช่องโหว่รอบด้าน แต่เขาก็กำลังเดินตามแผนที่วางไว้จริงๆ ซ้ำยังเชื่อมั่นในผลลัพธ์มากเสียด้วย
นี่คือจุดที่น่างุนงงที่สุด ราชบัลลังก์อาจจะตกเป็นของพี่น้องของเจ้าชายคนใดคนหนึ่งก็ได้ แต่มันจะไม่ตกมาถึงมือเจ้าชายแน่นอน เรื่องนี้เขาเองก็คงรู้ดี คิดจะพัฒนาเมืองเล็กๆ อย่างเมืองชายแดนนี่น่ะหรือ ต่อให้เป็นผู้วิเศษก็ทำไม่ได้! โรแลนด์กำลังวางแผนที่บ้าขนาดไหนกัน บ้าถึงขั้นที่บอกว่าจะทำให้เมืองเล็กๆ ซึ่งอยู่นอกแนวชายแดนเจริญกว่าเมืองวาเลนเซีย มิหนำซ้ำยังบังคับให้เขาเชื่อหมดใจว่าแผนนี้จะสำเร็จอย่างนั้นหรือ
หากเป็นเพียงความเพ้อฝันของคนบ้าก็ว่าไปอย่าง ทว่ากำแพงเมืองที่เจ้าชายทุ่มทุนสร้างนี้แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาไม่ได้เป็นอย่างนั้น เขาคิดจะอยู่รักษาเมืองที่นี่จริงๆ โดยอาศัยผลผลิตจากการเล่นแร่แปรธาตุอย่าง ‘ซีเมนต์’ มาสร้างกำแพงเมืองที่ไม่น่าจะสร้างสำเร็จได้ตามหลักการก่อสร้างทั่วไป
ในตระกูลของบารอฟก็มีนักเล่นแร่แปรธาตุเหมือนกัน แต่เขาไม่เคยได้ยินว่าพวกเล่นแร่แปรธาตุจะผลิตของชนิดนี้ออกมาได้ การวางอนาคตงานก่อสร้างไว้กับสิ่งที่ไม่เคยมีใครพบเห็นมาก่อนแบบนี้คือความมั่นใจหรือความสะเพร่า ในแผนการทั้งหมดที่โรแลนด์วางไว้ ยังมีเรื่องที่เขาไม่รู้อีกมากมายแค่ไหน เขาพบว่าตัวเริ่มจะสนใจอนาคตข้างหน้าขึ้นมานิดๆ แล้ว
........................................