สายลมเย็นยะเยือกจนเสียดแทงขั้วหัวใจในค่ำคืนนี้เป็นเหมือนสัญญาณเตือนถึงสิ่งมีชีวิตทั้งหลายให้เตรียมพร้อมเข้าสู่ฤดูหนาวอันโหดร้ายที่กำลังมาเยือนในอีกไม่ช้าบนแผ่นดิน เมอร์ทาดัส
สภาพอากาศในช่วงฤดูหนาวที่ยาวนานคือความดุร้ายของภัยธรรมชาติที่น่าหวาดกลัวยิ่งกว่าการปล้นฆ่าหรือสงครามแย่งชิงดินแดนที่เต็มไปด้วยซากศพ ทุกๆปีผู้คนจำนวนมากจะถูกฆ่าตายจากการขาดแคลน
ในช่วงวิกฤตของฤดูกาลนี้ที่ความเย็นสามารถแช่แข็งทุกสิ่งบนพื้นดินได้ความน่ากลัวของมันคือการทรมานสิ่งมีชีวิตก่อนจะฆ่าอย่างช้าๆในสภาพที่สิ้นหวังไร้หนทางดิ้นรน
ผู้คนชาวเผ่าต้องเร่งกักเก็บเสบียงไว้ให้เพียงพอสำหรับการจำศีลซ่อนตัวอยู่ในถ้ำหรือแม้แต่การต่อเติมกระโจมหนังสัตว์ให้แน่นหนากว่าปกติเพื่อป้องกันพวกเขาจากพายุหิมะในช่วงอากาศที่เลวร้ายนี้
หากถึงจุดสูงสุดของการขาดแคลนอาหารบางเผ่าจะฆ่าทาสของพวกเขาเพื่อใช้เป็นอาหารสำรองให้แก่ผู้คนในเผ่า
อาจฟังดูโหดร้ายแต่กลับเป็นเพียงเรื่องปกติของชนเผ่าที่อาศัยบนโลกแห่งนี้ทุกชีวิตต่างเต็มไปด้วยความกระหายและป่าเถื่อนมีไว้สำหรับผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะมีชีวิตรอดอยู่ต่อไป
บริเวณพื้นที่ราบทางฝั่งแดนตะวันออก ห่างจากพื้นที่ล่าสัตว์ของชนเผ่าดอร์สที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนัก คือป่าผืนใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์เต็มไปด้วยพืชพรรณและสัตว์น้อยใหญ่จำนวนมากอาศัยอยู่
บรรยากาศในป่าดูมีชีวิตชีวาเสียงร้องของนกและเสียงกระทบกันของกิ่งไม้ทำให้รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวที่อยู่รอบตัว
ต้นไม้สูงหลากหลายพันธุ์เรียงรายกันอย่างหนาแน่น มีลำต้นแข็งแรงที่สามารถใช้เป็นที่ซ่อนอำพรางตัวได้อย่างดี
พืชที่เคยสีเขียวขึ้นปกคลุมพื้นดินเริ่มทยอยเปลี่ยนสีของมันอย่างช้าๆสร้างสัญญาณเตรียมตัวให้ความรู้สึกถึงฤดูที่กำลังมาเยือนเต็มไปด้วยความลึกลับ
ชาวเผ่าที่นี่รู้ดีว่าป่าแห่งนี้เป็นทั้งแหล่งอาหารและความอันตราย ในความเงียบสงัดมีเสียงของสัตว์ป่าที่เดินผ่านไปมาเป็นการเตือนให้ระวังอยู่เสมอ
ฝูงกวาง Rimeback ขนาดใหญ่ราว 3 เมตร ยืนอยู่ในทุ่งหญ้ากำลังเพลิดเพลินกับอาหารที่มีอยู่โดยไม่รู้ตัวว่าพวกมันกำลังถูกจับตามองจากอันตรายที่ซ่อนตัวอยู่ใกล้ ๆ
เสียงของใบไม้ที่ถูกลมพัดเบา ๆกระทบกับกิ่งไม้เล็กน้อยไม่สามารถทำให้มันรู้สึกถึงอันตรายที่แฝงตัวอยู่
นักล่าซึ่งซ่อนตัวอยู่บนกิ่งไม้สูงเฝ้ารอโอกาสอย่างมีสมาธิร่างของเขาหลบอยู่ในเงามืดของต้นไม้ใหญ่
ดวงตาจับจ้องไปที่เหยื่อชิ้นโตด้วยความมุ่งมั่น มือของเขาค่อยๆกระชับอาวุธที่เตรียมไว้เพื่อรอจังหวะที่เหมาะสมสำหรับการโจมตี
ด้วยขนาดของกวางไรม์แบคที่ใหญ่โต ทำให้มันเหมาะสมอย่างยิ่งกับการเป็นอาหารสำรองในช่วงฤดูหนาวนี้อาจทำให้ชนเผ่าอยู่รอดไปได้นานหลายวัน
ทุกลมหายใจของนักล่าเต็มไปด้วยความตึงเครียด ขณะที่เขาเตรียมพร้อมที่จะเสี่ยงโชคในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยอาจเป็นจุดเปลี่ยนที่จะนำไปสู่โอกาสรอดชีวิตหรือความล้มเหลว
เมื่อพบจังหวะในการลงมือ หอกหินด้ามยาวได้พุ่งตรงออกไปยัง Rimeback ตัวใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ต้นไม้
ความเร็วของอาวุธที่พุ่งออกไปนั้นแทบจะไม่มีสัตว์ป่าทั่วไปตัวไหนรอดพ้นจากการโจมตีนี้ได้แต่ก่อนที่ชายนักล่าจะทันได้ชื่นชมผลงานของตนเองเสียงลมที่พัดผ่านทำให้ Rimeback สัมผัสได้ถึงอันตรายที่กำลังใกล้เข้ามามันก็กระโจนหลบออกด้านข้างอย่างรวดเร็ว
เงาของมันเคลื่อนไหวราวกับความฝัน ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นไปยังตำแหน่งซ่อนตัวของนักล่าได้อย่างแม่นยำ
ดวงตาของมันส่องแสงประกายระยิบระยับในความมืดของเงาไม้ จู่ ๆดวงตาสีดำงดงามของ Rimeback ก็แปรเปลี่ยนเป็นสีฟ้าส่องประกายระยิบระยับคล้ายหมู่ดาวตกที่พร่างพรายอยู่บนฟากฟ้า ก่อนที่สีสันนี้จะไหลไปตามลำตัวของมันและขึ้นสู่เขาขนาดใหญ่ที่ประดับด้วยดอกไม้ที่บานสะพรั่ง
พลังวิญญาณที่ถูกกระตุ้นขึ้นส่งคลื่นพลังงานไปทั่วร่างกายเพียงไม่นานดอกไม้บนตัวกวางไรม์แบคค่อย ๆแง้มกลีบอย่างช้า ๆพร้อมละอองผงสีเงินที่รวมตัวกันกลางอากาศ พวกมันสร้างวงกลมลึกลับก่อนจะถูกยิงออกไปอย่างรวดเร็ว
แม้จะดูสวยงามและน่าหลงใหลแต่ภายใต้ความงามนั้นกลับซ่อนอันตรายไม่น้อยไปกว่าสัตว์ร้ายตัวอื่นในป่าแห่งนี้ การโจมตีของมันเป็นการเตือนให้รู้ว่ามันไม่ใช่เหยื่อที่ควรมองข้าม
ชายหนุ่มนักล่าที่ถูกค้นพบรีบเบี่ยงตัวหลบออกจากจุดที่เขาซ่อนตัวอยู่ทันที
"ไม่จริง!" เขาตะโกนในใจ
ด้วยการกระโดดเพียงครั้งเดียวร่างกายที่ปราดเปรียวของเขาก็เคลื่อนที่ไปยังจุดที่ปลอดภัยห่างออกไปหลายเมตร
ความตื่นเต้นและความกลัวปะปนกันในใจ เขาสัมผัสได้ถึงพลังที่อัดแน่นอยู่ในอากาศนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เผชิญหน้ากับสิ่งที่เรียกว่า
อสูรวิญญาณ
แม้จะเคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับพวกมันมาบ้าง แต่เขาไม่เคยคิดว่าพลังโจมตีของมันจะรุนแรงเกินกว่าที่เขาจะรับมือได้
"พิษกัดกร่อน!" เขาพูดออกมาดัง ๆและสัมผัสได้ถึงความวิตกกังวลที่เพิ่มขึ้น
จุดที่ถูกละอองเกสรพุ่งเข้าใส่คือกิ่งก้านของต้นไม้แข็งแรงที่เขาใช้ซ่อนตัว เพียงสัมผัสกับเกสรเหล่านั้นไม่นาน มันก็เริ่มกัดกร่อนกระจายเป็นวงกว้างพร้อมกับควันสีดำที่พวยพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว
"โอ้ .. เทพแห่งสัตว์ร้าย! " เขาตะโกนขึ้นด้วยความตกตะลึง ความตกใจแทรกซึมเข้าไปในทุกอณูของร่างกาย เท่านี้ก็เพียงพอที่จะบอกได้แล้วว่าความแข็งแกร่งนั้นแตกต่างจากสิ่งที่พวกเขาได้ยินมาอย่างมากมายเพียงใด
หลังจากการโจมตีถูกปล่อยออกไป กวางไรม์แบคก็คำรามร้องเตือนฝูงของมัน เสียงคำรามดังสนั่นกึกก้องไปทั่วป่าก่อนที่ทุกตัวจะรีบกระโจนหนีอย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณของการเอาตัวรอด
ชายหนุ่มรีบคว้าอาวุธที่ตกอยู่บนพื้นดิน เขารู้ดีว่าเวลาไม่คอยท่าขณะที่ฝูงกวางพยายามหลบหนีอย่างรวดเร็ว
ความเร็วของพวกมันอาจมากแต่ก็ยังไม่อาจเทียบกับฝีมือของนักรบระดับ 3 จากเผ่าดอร์สได้
ช่วงเวลาที่ทั้งสองฝ่ายต่างจดจ่ออยู่กับการไล่ล่าและหลบหนีชายหนุ่มกระชับหอกหินในมือของเขาอีกครั้งพร้อมกับเล็งไปยังกวางไรม์แบคตัวน้อยที่อยู่รั้งท้ายกลุ่ม
ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่เหยื่ออย่างมุ่งมั่น ด้วยลักษณะของกวางอสูรที่เพิ่งเกิดทำให้มันเคลื่อนที่ได้ช้ากว่าตัวอื่นในฝูงอย่างเห็นได้ชัด
ชายหนุ่มรู้สึกถึงความตื่นเต้นพลุ่งพล่านในเลือด ขณะที่เขากำลังไล่ตามกลุ่มสัตว์
ในช่วงวิกฤตแห่งความตายก่อนที่อาวุธในมือของนักล่าจะถูกขว้างออกไปเสียงของคลื่นพลังก็ดังสนั่นกลางท้องฟ้าที่โปร่งใสราวกับเสียงฟ้าร้องขนาดมหึมาที่ปะทะกับพลังงานที่แข็งแกร่ง
ลำแสงสีสันแปลกตาพุ่งตกลงจากฟ้าอย่างไม่คาดคิดทำให้ชายหนุ่มเสียสมาธิในทันที
อาวุธที่ควรจะถูกใช้สังหารเหยื่อกลับเปลี่ยนทิศทางไปยังลำต้นของพืชไม้ด้านข้างแทน ในขณะที่ฝูงกวางเมอร์เดียสทั้งหมดก็หายลับไปจากสายตาของเขาอีกครั้ง
ชายหนุ่มชื่อไคออร์สถูกดึงดูดโดยลำแสงสีเข้มที่ตกลงมาในทันทีก่อนตัดสินใจติดตามไปอย่างรวดเร็ว
ความรู้สึกบางอย่างบอกเขาว่าเหตุการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดา หากเขาเดาไม่ผิดทิศทางนั้นควรจะเป็นป่าอาถรรพ์ดินแดนต้องห้ามของชาวเผ่าทางตะวันออกที่ถูกกล่าวถึงว่าเป็นที่ซ่อนของสิ่งมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความลึกลับและพลังอันตราย
ไคออร์สหยุดชะงักมองไปยังลำแสงที่ร่วงหล่นลงมาอย่างมีอานุภาพคำพูดหนึ่งหลุดออกมาจากปากของเขาโดยไม่รู้ตัว
"นี่มันอะไรน่ะ...พลังนั่น?"
เขาเหลือบมองไปที่ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ในบริเวณซึ่งสั่นสะเทือนจากพลังที่เกิดขึ้น
แสงสีเข้มส่องประกายอยู่ชั่วขณะ ก่อนค่อยๆจางหายไปเมื่อไคออร์สเข้ามาถึงแนวชายป่าหนามสีดำทมิฬ
ทันทีที่เท้าเหยียบย่างเข้าใกล้ตัวป่าบรรยากาศรอบตัวของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วความเย็นที่ปกคลุมร่างกายเขาดูแตกต่างจากสภาพอากาศในฤดูหนาว มันเข้ามาในร่างกายเขาอย่างอ้อยอิ่งและคุกคามไม่เพียงแต่สัมผัสผิวหนังแต่ราวกับสามารถดูดกลืนวิญญาณของผู้คนให้หายไปอย่างช้าๆ
ในความเงียบงันนั้นไคออร์สรู้สึกได้ถึงลมหายใจของบางสิ่งเป็นความเงียบที่เต็มไปด้วยความน่าสะพรึงกลัว บรรยากาศรอบข้างแปลกประหลาด ราวกับว่าทุกสิ่งที่เคยมีชีวิตได้หายไปโดยไม่มีเสียงของสิ่งมีชีวิตอื่นแม้แต่เสียงใบไม้ไหว
ชายหนุ่มกลืนน้ำลายด้วยความหวาดหวั่น ดวงตาของเขาสอดส่องมองเข้าไปในความมืดมิดของคลื่นหนามของต้นแบล็คธอร์น
"เกิดอะไรขึ้นข้างในนั้นกัน…" เขากระซิบกับตัวเองในใจมีความรู้สึกว่าเขาไม่ควรอยู่ที่นี่เพียงลำพังแต่แรงดึงดูดจากลำแสงนั้นกลับทำให้เขาไม่อาจหันหลังกลับได้
ที่รกร้างแห่งนี้ตั้งอยู่มาอย่างยาวนานหลายร้อยปี เป็นพื้นที่ต้องสาปที่ชนเผ่าในดินแดนตะวันออกต่างเกรงกลัวและหลีกเลี่ยง
ความมืดมิดของป่าอาถรรพ์นี้ถูกซ่อนเร้นไปด้วยบรรยากาศของความตายและความสิ้นหวัง
ทุกย่างก้าวในป่านั้นเต็มไปด้วยเสียงกระซิบของวิญญาณที่หลงทางดังแว่วอยู่ในอากาศท่ามกลางความเงียบสงัดราวกับว่าป่าแห่งนี้มีชีวิตจิตใจ
แนวป่าด้านนอกถูกปกคลุมไปด้วยต้นหนามขนาดใหญ่สีดำทมิฬที่มีพิษร้ายแรง เหล่าต้นไม้แผ่กรงเล็บอันแหลมคมออกมากำลังรอคอยเหยื่อที่เผลอเข้าไปในอาณาเขตของมัน
ไม่มีใครรู้ว่าด้านในนั้นซ่อนสิ่งใดไว้ แม้กระทั่งผู้ที่ชำนาญในศาสตร์มืดต่างก็ไม่กล้าเสี่ยงที่จะเข้าไปสำรวจ กลิ่นของความเน่าเปื่อยและความตายแผ่กระจายอยู่ทั่วอากาศไม่มีชีวิตใดจะสามารถเติบโตได้ในที่แห่งนี้
ในอดีตเคยมีชนเผ่าใหญ่ที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและกล้าหาญตัดสินใจบุกเข้าไปในป่าด้วยหวังจะยึดครองดินแดนด้านหลังป่าอาถรรพ์แต่กลับได้รับเพียงความสูญเสียที่พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน
ชีวิตของพวกเขาถูกดูดกลืนไปในความมืดและเสียงกรีดร้องของเพื่อนร่วมเผ่าที่หายไปกลายเป็นตำนานอันสยองขวัญที่เล่าขานกันในหมู่ชนเผ่าถึงความโหดร้ายและอำนาจของป่าอาถรรพ์แห่งนี้
เมื่อมีครั้งแรกก็ย่อมมีครั้งที่สองตามมาและครั้งนี้กลายเป็นหายนะครั้งใหญ่ที่สุด
ในตอนนั้นหลังจากที่ผู้คนสามารถรุกล้ำเข้าไปด้านในของป่าอาถรรพ์ได้สำเร็จ พวกเขากลับไม่พบสมบัติล้ำค่าอย่างที่คาดหวังตามคำร่ำลือ แต่กลับต้องเผชิญกับการจู่โจมอันกระทันหันจากเหล่าอสูรวิญญาณที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด
อสูรทมิฬ สัตว์ที่เคยเป็นที่รักของธรรมชาติ แต่ถูกความมืดกลืนกินจากพลังของป่าอาถรรพ์จนกัดกร่อนพวกมันให้กลายเป็นสัตว์ร้ายไร้สติ
พวกมันมีดวงตาสีแดงราวกับเปลวไฟที่คอยจ้องมองไปที่ผู้บุกรุกอย่างหิวกระหายทั้งดุร้ายและกระหายเลือด เมื่อพวกมันเริ่มโจมตีเสียงคำรามของมันสามารถสั่นสะเทือนทั้งป่า ทุกก้าวที่เหยียบย่ำลงไปต่างมีพลังอันน่าสะพรึงกลัว
แม้จะมีนักรบและแม่มดระดับสูงจำนวนมาก แต่พวกเขากลับไม่มีใครต้านทานพลังของสิ่งมีชีวิตในป่าอาถรรพ์ได้แม้แต่คนเดียว
อสูรทมิฬที่พุ่งเข้ามาด้วยความเหมือนลมพัดจนไม่ทันให้พวกเขาตั้งตัวแรงกระแทกที่เกิดจากการโจมตีของมันนั้นรุนแรงพอจะทำให้ร่างของนักรบที่แข็งแกร่งต้องกระเด็นไปไกลหลายเมตร
ความหวาดกลัวและความตายที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณทำให้ผู้ที่รอดชีวิตต้องวิ่งหนีอย่างสิ้นหวัง เสียงกรีดร้องและเสียงกระทบของอาวุธในความมืดของป่าดังขึ้นเป็นเสียงสะท้อนแห่งความสูญเสียที่ไม่มีวันถูกลืมเลือน
สายลมพัดพากลิ่นคาวเลือดและความสิ้นหวังของผู้ที่ถูกโจมตีไปพร้อมกัน
พลังที่น่าสะพรึงกลัวเกินกว่าจะจินตนาการได้ทำลายกองทัพของชนเผ่าสูญสลายไปพร้อมกับความฝันที่จะได้ครอบครองดินแดนแห่งนี้ในชั่วข้ามคืน ผ
ู้คนต่างหลบหนีเอาชีวิตรอดบางคนยอมเป็นทาสให้แก่ชนเผ่าอื่นเพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไป ขณะที่เสียงกรีดร้องและความหวาดกลัวยังคงดังก้องอยู่ในหู ทุกชีวิตล้วนอยู่ในสถานการณ์ที่รุนแรงเกินกว่าจะทนรับได้
. . . แต่หายนะยังไม่จบลงเพียงเท่านี้
เมื่อเส้นทางในป่าอาถรรพ์ได้เปิดออก สัตว์ป่าและอสูรวิญญาณจำนวนมากได้หลุดเล็ดลอดออกไปจนทำลายชนเผ่าใกล้เคียงอย่างบ้าคลั่ง
พื้นที่ทั้งหมดกลายเป็นทะเลเลือดกินเวลานานหลายสิบวัน
ภาพของศพที่นอนระเกะระกะตามพื้นดินสามารถพบเห็นได้ทุกที่และเสียงคำรามอันน่าสะพรึงกลัวของอสูรทมิฬทำให้ผู้คนที่รอดชีวิตต้องซ่อนตัวด้วยความกลัวทุกชนเผ่าต่างพากันหลบหนีจนสุดท้ายต้องร่วมมือกันต่อสู้เพื่อปกป้องชีวิตของพวกเขา
ท้ายที่สุดขบวนนักรบพร้อมนักบวชระดับสูงจากอาณาจักรทวยเทพได้ปรากฏตัวขึ้นและจัดการสังหารอสูรวิญญาณที่หลบหนีออกมาได้สำเร็จก่อนทำการสร้างเขตผนึกรอบป่าวาลดัลอีกครั้งและนั่นคือจุดสิ้นสุดของเรื่องราวทั้งหมด
ถึงตอนนี้ไม่มีใครกล้าเหยียบเข้าใกล้ที่นี่เหล่านักเดินทางและกลุ่มล่าสัตว์ของชนเผ่าจะหลีกเลี่ยงให้ไกลที่สุดจากดินแดนมรณะจนกลายเป็นเรื่องราวถูกเล่าขานส่งต่อกันมาอย่างยาวนาน
ทันทีที่ไคออร์สนึกถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เคยได้ยิน แรงกดอากาศอย่างรุนแรงก็พุ่งตรงออกมาจากป่าทมิฬกระแทกเข้ากับร่างของเขาอย่างแรง จนทำให้เขาถลาไปข้างหลัง
เสียงกระแทกของพืชพรรณและเสียงคำรามของสัตว์ป่าที่ดังออกมาจากความมืดได้สะท้อนความน่าสะพรึงกลัวที่ซ่อนอยู่ในป่าแห่งนี้ ความรู้สึกตื่นตระหนกเข้าครอบงำจิตใจของเขาอย่างรวดเร็ว
ไคออร์สไม่มีเวลาให้คิดถึงสิ่งใดอีกเขารีบหลบหนีออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่หันหลังกลับมา
เสียงคำรามนั้นดังขึ้นอีกครั้งราวกับเป็นการเตือนจากโลกแห่งความตายสะกดเขาให้รู้สึกถึงความตายที่กำลังแผ่ขยายมาทุกขณะ
..ข้าต้องแจ้งเรื่องนี้แก่หัวหน้าเผ่าโดยเร็วที่สุด!!
เขาวิ่งไปด้วยความเร็วสูงสุดในขณะที่หัวใจเต้นรัวด้วยความหวาดกลัว
.
.
...
.
- ดินแดนทางใต้ ชนเผ่ามาร์จา -
ยามค่ำคืนที่ท้องฟ้าประดับด้วยหมู่ดาวเคราะห์ คลื่นทะเลยังคงพัดโหมกระหน่ำอย่างรุนแรง ราวกับธรรมชาติกำลังปลดปล่อยความโกรธเกรี้ยวออกมา เสียงคลื่นซัดสาดเข้าหาฝั่งดังก้องกังวานจนกลายเป็นกล่องดนตรีที่ขับกล่อมผู้คนในยามค่ำคืน
ความร้อนจากกองไฟกลางกระโจมสร้างเงาที่เต้นรำอย่างมีชีวิตชีวาบนผนังหนัง พร้อมกลิ่นหอมของสมุนไพรและเครื่องเทศจากพิธีกรรมที่ยังคงลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ
ท่ามกลางความเงียบสงบภายในกระโจมหนังสัตว์หลังใหญ่ของชนเผ่ามาร์จา จู่ๆดวงตาสีทองที่งดงามราวกับเปลวไฟส่องประกายก็เปิดขึ้นอย่างช้าๆ
แม้การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยของเขาจะดูเล็กน้อยไร้ความสำคัญแต่ก็สามารถปลุกความสนใจของชายอีกคนที่นอนอยู่เคียงข้างได้เป็นอย่างดี
ชายผู้มีร่างกายแข็งแกร่งและแววตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นขณะนี้กำลังนั่งอยู่ในท่าที่เงียบสงบเหมือนกับเสือที่พร้อมจะกระโจน เขาสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของ แม่มดข้างตัวที่เหมือนจะพบความสำคัญบางอย่างในคืนนี้
" เกิดอะไรขึ้น? "
ชายหนุ่มค่อยๆลุกขึ้นนั่งแต่ยังคงนิ่งสงบไม่ได้ตอบกลับไปทันที ขอบตาแดงก่ำราวกับเพิ่งตื่นจากฝันร้ายเขาหยุดนิ่งคล้ายกำลังหาสาเหตุของความรู้สึกที่แปลกประหลาดในหัวใจ
"ข้าสัมผัสได้ถึงพลังที่แปลกประหลาดบางอย่าง..."
เขากล่าวเสียงเบาแต่สายตาของเขาจับจ้องไปที่ทิศทางดินแดนตะวันออกแววตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
"ถึงมันจะเบาบางมากแต่ข้ารับรู้ได้ไม่ผิดแน่ อาจมีบางสิ่งเกิดขึ้นทางฝั่งดินแดนตะวันออก "
เนเรอุส หันหน้ามองผู้ที่อยู่เคียงข้างเขามาตลอดทั้งชีวิต ดวงตาของเขาสะท้อนความกังวลที่เก็บซ่อนไว้แต่ลึกลงไปในแววตามีบางสิ่งที่เกินกว่าคำพูดจะอธิบายได้
" พวกสุนัขรับใช้จากวิหารครั้งนี้พวกมันต้องวางแผนทำเรื่องชั่วบางอย่างอีกแน่!! "
เสียงที่ดูเกรี้ยวกราดของเขาดูเหมือนจะทำให้บรรยากาศรอบตัวอึมครึมยิ่งขึ้น ความผันผวนของพลังที่ผิดปกติทำให้เขารู้สึกกังวลอย่างไม่ทราบสาเหตุความรู้สึกที่เหมือนกำลังมีบางสิ่งซุ่มซ่อนอยู่ภายใน
"ไม่ว่ามันคืออะไร เราจะผ่านมันไปด้วยกันเหมือนทุกครั้งเจ้ารู้ใช่มั้ย? "
หัวหน้าเผ่า คาโตส พยายามโน้มน้าวใจนักบวชในอ้อมแขนของเขา น้ำเสียงของเขานุ่มนวลแต่แฝงด้วยความหนักแน่นเขาไม่ต้องการให้ความกังวลมาทำลายช่วงเวลาแห่งความเงียบสงบนี้
ค่ำคืนที่สงบสุขเช่นนี้หาได้ยากนักในช่วงที่ฤดูหนาวกำลังมาเยือน ท่ามกลางปัญหามากมายที่เผ่าต้องเร่งรีบจัดการ คาโตสหวังว่าเสียงของเขาจะช่วยบรรเทาความกังวลในใจของเนเรอุสได้บ้าง
" หรือพรุ่งนี้ข้าควรไปที่โรงหลอมเพื่อสร้างอาวุธเตรียมไว้ดี? "
เสียงพึมพำของเนเรอุสยังคงสะท้อนถึงความกังวลในใจ ลมหายใจของเขาถูกดึงไปที่อกของชายหนุ่มสัมผัสที่อบอุ่นนั้นช่วยให้เขารู้สึกถึงความปลอดภัยในยามที่ใจเริ่มสั่นคลอน
" อย่ากังวลจนเกินไป "
คาโตสพูดเบา ๆเพื่อปลอบใจ ขณะที่มองไปยังดวงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่บนฟ้าราวกับว่าเขากำลังดึงพลังจากมันมาสร้างความเข้มแข็งให้กับตัวเองและเนเรอุสในเวลานี้
.
.
..
.
.
« ยอดหุบเขาทางเหนือ ชนเผ่าเอย์โอลัส »
ผ่านไปยังดินแดนตอนเหนือท่ามกลางหิมะที่เริ่มโปรยปรายลงมาจนผู้คนต่างเมินเฉยต่อความหนาวเย็นอันโหดร้ายเหล่านี้ไปตามกาลเวลา
กลางแท่นบูชาจตุรัสของชนเผ่าที่เคยรุ่งเรืองและมีอำนาจมากที่สุดทางฝั่งตอนเหนือเด็กชายผิวขาวสะอาดกำลังนั่งคุกเข่าลงกับพื้นเป็นเวลานานโดยไม่ขยับตัวคล้ายกำลังสวดภาวนาอ้อนวอนต่อเหล่าทวยเทพเบื้องบน
บรรยากาศทั้งหมดดูมีมนต์ขลังจนสามารถสัมผัสได้ถึงความกดดันบางอย่างที่ถูกปลดปล่อยออกมาโดยมีกลุ่มนักรบพิทักษ์ที่แข็งแกร่งจำนวนมากคอยยืนล้อมป้องกันอยู่อย่างแน่นหนา
ทันทีที่เด็กชายเงยหน้ารอยยิ้มบางเบาที่หาชมได้ยากก็ปรากฏขึ้นราวกับมีบางสิ่งที่น่ายินดี ความอบอุ่นจากพลังที่ไหลเวียนอยู่รอบตัวเขาให้ความรู้สึกเหมือนฤดูใบไม้ผลิกำลังจะมาเยือนแม้ท่ามกลางหิมะที่ปกคลุมมานานนับหลายร้อยปี
ผู้คุ้มกันคนหนึ่งที่สังเกตเห็นสีหน้าแห่งความสุขของนักบวชตัวน้อยอย่างกระทันหันก็ต้องตกตะลึง เมื่อจู่ๆ ร่างกายของเขาเบาหวิวแล้วทุกสิ่งก็มืดสนิทลง เคียโซ เหลือบมองผู้พิทักษ์ที่สลบลงกับพื้นก่อนลุกขึ้นยืนและถอนหายใจเบาๆ
หลังจากโบกมือสั่งให้ผู้คนพานักรบกลับไปพักผ่อนรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าถูกแทนที่ด้วยความเฉยชาอย่างที่เคยเป็นเขาหันหลังเดินออกจากแท่นพิธีของชนเผ่าภายใต้ดวงตาเปล่งประกายที่รู้สึกยินดีต่อบางสิ่ง..
ในที่สุด...ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงก็มาถึง
- ฝั่งดินแดนตะวันตกกลุ่มชนเผ่าเซราบัส -
เสียงลมหนาวพัดผ่านเข้าสู่กระโจมเก่าจนทำให้เด็กชายทั้งสองห่อร่างแน่นขึ้นเพื่อรักษาความอบอุ่น แต่ความรู้สึกไม่สบายใจที่เกาะกุมทาร์ทารัสกลับไม่เคยถูกลืมเลือน
" หืม...? " ทาร์ทารัสเบ้ปากในขณะที่นอนอยู่เขารู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก
"เป็นอะไรไป? หิวอีกแล้วหรอ?" มาคาร์ถามพลางหรี่ตามอง
"...อดทนหน่อย พรุ่งนี้ข้าจะลองแอบออกไปกับกลุ่มล่าสัตว์ของเผ่า"
"ไม่ใช่ . .. ข้ารู้สึกเหมือนจะมีบางอย่างเกิดขึ้น"
ทาร์ทารัสพูดเสียงแข็งก่อนจะขบกรามอย่างหงุดหงิด
"เจ้าไม่เข้าใจว่ามันรู้สึกยังไง... อย่ามัวแต่คิดเรื่องอาหารอย่างเดียวได้ไหม?"
"แต่ในช่วงฤดูหนาวเช่นนี้หากเจ้าและข้าไม่คิดถึงเรื่องอาหารจะมีอะไรให้ต้องสนใจอีก ? "
" โอ้!! หรืออาจเป็นสัญญาณที่ดีวันพรุ่งนี้เราอาจจับสัตว์ป่ากลับมายังเผ่าได้ แล้วเราก็จะไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารไปอีกนาน !! "
มาคาร์ยิ้มอย่างมีความสุข ขณะที่จินตนาการถึงเนื้อสัตว์กองโตที่เขาสามารถล่าได้ในวันพรุ่งนี้
"กิน กิน กิน!!! ในหัวของเจ้าตอนนี้มีแต่เรื่องกินหรือยังไงกัน?"
ทาร์ทารัสทุบไหล่เขาอย่างแรงพร้อมกับสีหน้าไม่พอใจ
"ข้ารู้สึกไม่ดีเลย พรุ่งนี้เจ้าควรอยู่ที่นี่จะดีกว่า"
"ไม่! หยุดเจ้าหยุดสาปแช่งข้าได้แล้ว? หรืออย่างน้อยก็ไม่ต้องพูดอะไรแบบนั้นอีก!! "
มาคาร์ยืนยันเสียงแข็ง
" ฮึ่ม!! ข้าไปสาปแช่งเจ้าเมื่อไหรกันมาคาร์ !!! งั้นก็ขอให้โชคดี...แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้น ข้าจะไม่พูดกับเจ้าอีกแล้ว! "
ทาร์ทารัสกล่าวเสียงดุ กระโจมเงียบสงบลงอีกครั้งขณะที่เขาประจักษ์ถึงโชคชะตาที่กำลังใกล้เข้ามา...
.
.....
..
« อาณาจักรทวยเทพ วิหารบาร์บาโรส »
"ไม่จริง!!"
"หายนะกำลังบังเกิด! ต้องรีบยับยั้งมันก่อนที่ภัยพิบัติจะทำลายดินแดนของเรา เรียกนักรบ! ไปเรียกหัวหน้านักรบมาเดี๋ยวนี้! เจ้าพวกทาสขี้เกียจ! ไปเร็ว!!"
นักบวชชราที่สวมชุดคลุมหรูหราสีแดงเข้มโบกแส้ในมือของเขาไปยังผู้รับใช้ที่อยู่รอบๆด้วยความกังวล
สีหน้าของเขาบิดเบี้ยวจนเหล่าทาสรับใช้ตัวสั่นก้มลงกับพื้นด้วยความหวาดกลัว เสียงแส้ที่ฟาดลงบนพื้นดังสนั่นก้องไปทั่วห้องโถงที่แสงไฟจากโคมไฟสลัวๆทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด
พลังประหลาดเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่แต่ภาพนิมิตการล่มสลายของอาณาจักรทวยเทพยังคงติดตาเขาอยู่อย่างชัดเจน
ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมากบนถนนหนทางต่างปกคลุมไปด้วยเลือดเนื้อและซากศพราวกับเมืองทั้งเมืองกลายเป็นแท่นสังเวยแด่เทพปีศาจ
เสียงกรีดร้องของผู้คนดังก้องอยู่ในหูราวกับทุกคนกำลังสวดอ้อนวอนต่อทวยเทพให้ช่วยปกป้อง
พวกเขา
" เป็นไปไม่ได้ ! "
เพื่อความมั่นคงของตำแหน่งศักดิ์สิทธิ์ข้าไม่อาจปล่อยให้ภัยคุกคามนี้เกิดขึ้นได้โดยเด็ดขาด
นักบวชชราผู้นี้สูดหายใจเข้าลึกพยายามเก็บอารมณ์ให้สงบแต่หัวใจของเขากลับเต้นเร็วขึ้น เขารู้ว่าทุกวินาทีที่ผ่านไปคือการเปิดโอกาสให้ศัตรูเข้ามาใกล้
"ต้องรีบหาทางกำจัดก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป..!! รวบรวมทรัพยากรทั้งหมด! เตรียมอาวุธ! และปลุกระดมเหล่านักรบ! เราจะไม่ให้มันทำลายเราได้เด็ดขาด!"
แสงไฟจากโคมระย้าส่องสว่างใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลข้อตกลงที่เคยเป็นไปได้กลายเป็นฝันร้ายที่กำลังคืบคลานใกล้เข้ามา
ความมืดที่แผ่ซ่านเข้ามาในใจของเขาเป็นเหมือนสัญญาณเตือนของสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
เขารู้ดีว่าหากไม่หยุดยั้งภัยคุกคามนี้อาณาจักรทวยเทพอาจไม่เหลือเศษซากให้จดจำ
.
...