วิทยาธรเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีชื่อเสียงไม่ดีนัก โดยเฉพาะเรื่องความเจ้าชู้ ความจริงแล้วการมีภรรยาจำนวนมากก็เป็นเรื่องที่เผ่าอื่นมีกันเป็นปกติ ยกเว้นแต่เผ่ากินนรกับกินรีที่อยู่เป็นคู่ผัวเดียวเมียเดียว หากแต่ที่วิทยาธรโดนตำหนิเรื่องความเจ้าชู้ก็เพราะไม่เลือกว่าเป็นลูกเขาเมียใคร หากพอใจแล้วก็ใช้มนตร์สะกด หรือบางทีก็ใช้เพียงหน้าตาที่งดงามราวกับรูปปั้นหลอกลวงเด็กสาวมาเป็นภรรยา ราชาวิทยาธรปัจจุบันนี้ก็มีพระมเหสีและสนมจำนวนมาก อีกทั้งมีโอรสและธิดามากมาย ซึ่งโอรสและธิดาทุกพระองค์ก็ล้วนแต่มีความสามารถต่าง ๆ กันไป
มณีโชติเป็นเจ้าชายวิทยาธรองค์เล็ก เขาเป็นวิทยาธรที่ประหลาด ประการหนึ่งเพราะเขาไม่ใช่วิทยาธรเจ้าชู้เหมือนกับพระเชษฐาหรือวิทยาธรตนอื่น ๆ เขามีชายาเพียงองค์เดียวคือจันทประภาจากเผ่ากินรี จันทประภาก็งดงามสมกับที่ได้ชื่อว่ามาจากเผ่ากินรีที่มีความงามเป็นทรัพย์ แน่นอนว่าก่อนที่ทั้งสองจะตกลงปลงใจอภิเษกสมรสกัน ก็มีวิทยาธรอีกจำนวนมากที่ต้องการคว้าใจนางกินรี หากแต่เมื่อได้ฟังเงื่อนไขว่ากินนรและกินรีจะจับคู่กัน เป็นคู่ผัวเดียวเมียเดียวเท่านั้น พวกวิทยาธรเหล่านั้นก็ไม่อาจจะทำใจได้ มีแต่มณีโชติที่ยอมทำตามเงื่อนไข
ความประหลาดของมณีโชติไม่ได้เพิ่งเริ่มขึ้นตอนหลงรักนางจันทประภาเท่านั้นหรอก เมื่อตอนเขาเพิ่งเข้าสู่ช่วงเจริญพันธุ์ พระเชษฐาทั้งหลายชวนเขาไปเล่นที่ต้นนารีผล
ต้นนารีผลเป็นต้นไม้มหัศจรรย์ของป่าหิมพานต์ บางคนอาจจะเข้าใจว่าเกิดจากเทวดาองค์หนึ่งเสกให้มีขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้พระชายาของโพธิสัตว์เวสสันดรถูกทำร้าย แต่ความจริงแล้วต้นนารีผลอยู่คู่ป่าหิมพานต์มานาน ก่อนที่พระโพธิสัตว์องค์นั้นจะเข้ามาสู่ป่าหิมพานต์ด้วยซ้ำ และยังเป็นตัวอย่างให้พระโพธิสัตว์สอนบุตรของตนซึ่งมีนามว่าอิสิสิงคดาบสไม่ให้หลงไปในสังวาสอีกด้วย แม้จะเรียกว่านารีผล หากแต่สิ่งที่มีรูปร่างเหมือนเด็กสาวนั้นหาเป็นส่วนผลของมันไม่ หากแต่เป็นส่วนดอก แต่เดิมถูกเรียกว่ากมลาสริสิตถิโย อันมีความหมายว่านางอันเป็นเลิศและเป็นทิพย์เปรียบได้กับดอกบัวนี้ แต่มันคงยาวไปหรืออย่างไรไม่ทราบจึงลดชื่อให้เหลือเพียงนารีผล
เมื่อมาถึงต้นนารีผล วิทยาธรต่างชวนกันเก็บ หากจัดสรรปันส่วนได้พอดีก็สบายไป หากแต่เมื่อนารีผลมีไม่เพียงพอต่อความต้องการ วิทยาธรผู้ซึ่งล้ำเลิศไปด้วยคุณวุฒิก็ทำการไม่ต่างอะไรกับสัตว์ในฤดูผสมพันธุ์ ต่อสู้แย่งชิงกันจนบาดเจ็บล้มตาย มีเพียงมณีโชติที่ไม่สนใจอะไรพวกนี้เลยจนพระเชษฐาระอาใจและไม่ชวนมาสำราญด้วยกันอีก
แน่นอนว่าด้วยนิสัยที่แปลกแยกแตกต่างจากพวกพ้องทำให้มณีโชติตกเป็นเป้าของการติฉินนินทา และยิ่งเมื่อเขาอยู่กินกับนางจันทประภามานาน แต่ยังไม่มีโอรสหรือธิดา ทำให้หลายคนตั้งแง่ว่าเขาอาจจะทุพพลภาพทางเพศจึงไม่สนใจเรื่องพวกนี้ มณีโชติก็ยึดคติเอาหูไปนา เอาตาไปไร่เสีย หากแต่นางจันทาประภาทนไม่ได้
"ข้าแต่พระองค์ โปรดประทานบุตรให้หม่อมฉันเถิด" นางถูกอ้อนวอนสามีขณะที่อยู่ด้วยกัน
มณีโชติถอนหายใจ ใช่ว่าเขาจะไม่อยากมีลูก แต่พยายามเท่าไรก็ไม่มีบุตรมาเกิดสักที
"ให้ข้าสร้างลพชีพมาเป็นลูกเจ้า เอาหรือไม่" มณีโชติถาม เขาตรึกตรองเรื่องนี้มานานแล้ว หากเขาไม่สามารถมีบุตรด้วยวิธีเสพสังวาสจริง การสร้างมนุษย์สังเคราะห์ก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะเป็นวิธีที่ไม่ยากเลย เพียงแค่วาดรูปเด็กลงในกระดาน วาดสัญลักษณ์เล็กน้อย จุดไฟเผากระดาน และสวดมนตร์ทำพิธี ก็จะได้ทารกที่ต้องการมาแล้ว
พระชายาขมวดคิ้ว "แต่ภาพวาดฝีพระหัตถ์ของพระองค์แย่มากนะเพคะ"
ที่จันทประภาว่าก็น่าคิดอยู่เหมือนกัน ลพชีพนั้นจะมีหน้าตาที่เกิดมาตามรูปที่วาด และฝีมือการวาดรูปของมณีโชติก็ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย
"ฝึกบ่อย ๆ เดี๋ยวก็ดีเองแหละ" มณีโชติปลอบใจทั้งตัวเองและชายาไปพร้อม ๆ กัน
แม้ว่าจะเป็นคำสั่งสอนมาไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่นว่าความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น แต่ตอนนี้หลังจากที่มณีโชติเขียนและลบกระดานอยู่หลายครั้ง เขาก็ยังไม่ได้รูปเด็กที่ต้องการสักที ตาโตไปบ้าง เล็กไปบ้าง จมูกใหญ่ไปบ้าง เล็กไปบ้าง พยายามเท่าไรก็ไม่ได้เด็กทารกหน้าตาน่าเอ็นดู แต่กลับวาดผิดสัดส่วนไปหมด ในที่สุดมณีโชติตัดสินใจไปวาดข้างนอกเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ เขาจุดกองไฟไว้ข้าง ๆ เผื่อว่าหากได้ภาพที่ถูกใจแล้วจะได้เอาทำพิธีเลย แต่ทำยังไงก็ไม่ได้สักที
"ไม่ได้เรื่องเลย" มณีโชติร้อง ก่อนจะโยนกระดานออกไปห่างตัวอย่างหงุดหงิด
มณีโชติสูดหายใจลึก ๆ เพื่อควบคุมอารมณ์
"ข้าฝึกท่องบทสวดแก้เบื่อดีกว่า" มณีโชติรำพึงกับตัวเอง ก่อนจะนั่งท่องบทสวดสร้างลพชีพเพื่อควบคุมสติ
ทันทีที่มณีโชติท่องจบ เขาก็ต้องตกใจเมื่อมีเด็กวัยแปดขวบโผล่ออกมาจากกองไฟที่จุดไว้ เป็นเด็กที่หน้าตาเหมือนในภาพวาดที่เขาโยนทิ้งไปไม่มีผิด ดวงตาโปนเหมือนกบ จมูกบาน ปากหนา ฟันซี่หน้าใหญ่ อีกทั้งใบหน้าก็มีรอยตะปุ่มตะป่ำเต็มไปหมด
"เฮ้ย!" มณีโชติร้องอย่างตกใจ เขาตบหน้าผากตัวเองแรง ๆ ดูเหมือนกระดานที่เขาโยนทิ้งจะเข้าไปในกองไฟทำพิธีโดยไม่รู้ตัว และเมื่อเขาท่องบทสวดเพื่อทบทวนความจำ เจ้าเด็กนี่ก็โผล่ออกมา มณีโชติไม่รู้จะทำอย่างไรดี เขาอยากจะทำลายเด็กนี่ทิ้งไปเสีย ความรู้สึกของเขาไม่ต่างอะไรกับนักศิลปะที่เห็นงานศิลปะของตัวเองออกมาผิดพลาด เก็บเอาไว้ก็มีแต่ทำให้เจ็บช้ำน้ำใจ อีกทั้งยังถูกนินทาไม่หยุด มณีโชติเอื้อมมือไปจับพระขรรค์ที่อยู่ข้างเอว
"กำจัดมันทิ้งไปเสีย" กิเลสมารกระซิบ "เจ้าอยากได้เด็กอัปลักษณ์แบบนี้มาเป็นทายาทหรือ เมียเจ้าคงไม่ต้องการหรอก พี่ ๆ จะได้หัวเราะปะไร"
แต่ขณะที่เขากำลังชักพระขรรค์ออก เด็กคนนั้นก็อ้าปาก
"ท่านเป็นพ่อของข้าหรือเปล่า" เด็กคนนั้นถาม เสียงของมันดูหวาดกลัว ตาจับจ้องที่พระขรรค์อันคมกริบของมณีโชติ
มณีโชติอึกอัก พอมันพูดออกมาแล้ว ก็เหมือนเด็กทั่วไปนั่นเอง เขาจะเอาสิ่งที่มีเลือดเนื้อและจิตวิญญาณไปเทียบกับงานศิลปะที่ไร้ชีวิตและความรู้สึกได้อย่างไร
"ใช่" มณีโชติตอบเสียงแหบพร่า
"ท่านดูไม่ดีใจเลยที่เห็นข้า" เด็กคนนั้นว่าพลางเอียงคอ
"ข้าแค่ยังไม่ทันตั้งตัว" มณีโชติว่า
"ท่านช่วยเรียกนามของข้าได้หรือไม่"
มณีโชติใคร่ครวญอยู่สักพัก ก่อนจะพูดว่า
"ข้าจะเรียกเจ้าว่ามล"
"มลที่หมายถึงมลทินน่ะหรือ"
"ไม่ใช่ มลที่มาจากกมลที่แปลว่าดอกบัว แม้ว่าเกิดจากโคลน แต่ก็สามารถบริสุทธิ์ผุดผ่องได้ด้วยตัวของมันเอง"
มลยิ้ม "ขอบคุณขอรับ ท่านพ่อ"
แต่รอยยิ้มของมลก็อยู่ได้ไม่นาน เมื่อมณีโชติพามลไปพบกับวิทยาธรตนอื่น ๆ พวกเขาก็ตั้งแง่รังเกียจมลตั้งแต่ยังไม่ได้คุยกันด้วยซ้ำ
"ให้ตายสิ มณีโชติ เจ้าก็ออกจะหน้าตางดงามราวเทวัญ เมียหรือก็สวยราวนางสวรรค์ แต่กลับสร้างลูกออกมาอัปลักษณ์สิ้นดี"
"เจ้าชายมณีโชติเพคะ หากพระชายาไม่อาจถวายโอรสที่งามพร้อมแด่พระองค์ได้ พระองค์ก็ควรจะหาบาทบริจาริกาเพิ่ม เห็นจะสมควรกว่านะเพคะ ไม่เห็นจะต้องไปสร้างมนุษย์อัปลักษณ์ผู้นี้ขึ้นมาเลย"
"เป็นเจ้าชายวิทยาธรแท้ ๆ แต่กลับผ่าเหล่าผ่ากอ เลือกจะมีชายาองค์เดียว เลยไม่ได้มีโอรสธิดาสักที พอจะใช้วิธีลัดสร้างลพชีพขึ้นมาก็ออกมาหน้าตาอัปลักษณ์อีก"
เสียงนินทาพวกนั้นดังตามพวกเขาสองพ่อลูกไปทั่ว มณีโชติผู้ชินกับเสียงพวกนี้เสียแล้ว ทำหูทวนลมไม่สนใจ เขายึดคติว่าคำนินทาของพวกนั้นก็เหมือนเอามีดกรีดลงหิน ใจที่หนักแน่นดังหินผาของเขาไม่รู้สึกอะไร หากแต่มีดที่กรีดก็จะพังไปเอง แต่มลผู้ซึ่งเพิ่งถือกำเนิดขึ้นมาไม่ชอบคำพูดพวกนั้นนัก เขาเดินชิดกับผู้เป็นพ่อตลอดเวลา ขณะที่น้ำตาเอ่อคลอเหมือนอยากจะไหลออกมาให้ได้ มลไม่เข้าใจเลยว่าเขาทำอะไรผิด เขาไม่ได้ไปทำให้ใครเดือดร้อนสักหน่อย
ในที่สุดมณีโชติก็พามลมาถึงตำหนักส่วนพระองค์ พวกข้าราชบริพารและนางกำนัลในตำหนักนี้นั้นเป็นคนที่มณีโชติคัดเลือกมาเป็นอย่างดีแล้ว แม้จะตกใจอยู่บ้างเมื่อเห็นใบหน้าที่ไม่ตรงตามขนบของมล แต่เมื่อมณีโชติแนะนำว่าเป็นโอรส พวกเขาก็ไม่ได้ได้แสดงทีท่ารังเกียจแต่อย่างใด พากันคุกเข่าและอวยพระพรให้
"ไปตามจันทประภามา" มณีโชติสั่ง
นางกำนัลรีบไปตามพระชายามาทันที เมื่อจันทประภามาถึงและเห็นมล เธอก็ชะงักไปนิดหนึ่ง หากแต่ยังควบคุมสติได้อยู่ เธอเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะเชยคางมลดู
"ตาเจ้าสวย" จันทประภาว่า และนั่นก็เป็นความจริง เพราะปกติกินนรและกินรีจะไม่พูดเท็จเป็นอันขาด หรืออาจจะกล่าวได้ว่าแทบไม่พูดเลยด้วยซ้ำ แต่หากพูดออกมาเมื่อใด คนฟังก็ย่อมต้องได้ประโยชน์ด้วย ไม่อย่างนั้นแม้มีความตายมาอยู่ตรงหน้าก็ไม่ยอมปริปาก
"อย่าโกหกข้าเลยขอรับ" มลว่า เขารู้ว่าเขาหน้าตาอัปลักษณ์ไปทุกส่วน ดูจากปฏิกิริยาของคนที่เดินเข้ามาก็รู้แล้ว
"ไม่ใช่ ข้าไม่ได้โกหก ตาของเจ้าเปิดเผยและจริงใจ เป็นความงามอย่างหนึ่งที่ทุกวันนี้หาไม่ได้ง่ายนัก" จันท์ประภาเองก็ไม่ต่างจากหญิงมนุษย์ที่มีความอึดอัดเมื่อต้องมาอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ในเผ่าของเธอนั้น พวกกินนรและกินรีแทบไม่เคยทะเลาะกัน วัน ๆ เอาแต่ร้องรำทำเพลงอย่างมีความสุข หากพอใจกันก็จับคู่อยู่กินด้วยกัน ใช้ชีวิตผัวเดียวเมียเดียว ไม่เคยมีการแย่งผัวแย่งเมียกัน แต่วิทยาธรนั้นตรงกันข้าม ดูเหมือนพวกเขาจะพอใจกับการเสพสังวาสโดยไม่เลือกว่าลูกเขาเมียใคร หากพอใจแล้วก็ใช้มนตร์หลอกลวงมา จันทประภาไม่เคยเจอวิทยาธรที่ซื่อสัตย์ จริงใจมากนัก ดังนั้นเธอจึงค่อนข้างพอใจแววตาที่เปิดเผยจริงใจของ "โอรส"
"ขอบพระคุณขอรับ" มลพูดอย่างเคอะเขิน
หลังจากนั้นครอบครัวของมณีโชติก็อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข จนกระทั่งวันหนึ่งอัครเดชผู้เป็นเชษฐาองค์โตเสด็จมาหา
"เจ้าพี่ มาที่นี่ด้วยกิจอันใดหรือพระเจ้าข้า" มณีโชติถาม หากเป็นครอบครัวปกติ พี่น้องมาเยี่ยมกันก็ไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไร หากแต่ไม่ใช่กับครอบครัวของมณีโชติ เขาถูกเรียกว่าเป็นตัวประหลาด แปลกแยกจากครอบครัวมาเสมอ พี่ ๆ ของเขาไม่พอใจพฤติกรรมนอกคอก โดยเฉพาะอัครเดชที่เป็นพี่คนโต ยิ่งตอนที่มณีโชติประกาศว่าจะใช้ชีวิตแบบมีพระชายาองค์เดียวก็เหมือนกับราดน้ำมันลงกองไฟ เพราะอัครเดชเองก็แอบพึงใจจันทประภาอยู่ไม่น้อย เขาวางแผนจะใช้มนตร์สะกดให้จันทประภายอมตกเป็นของเขา หากแต่มณีโชติก็เรียนหนังสือในสำนักเดียวกับเขา มีเวทมนตร์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันจึงสามารถป้องกันไม่ให้จันทประภาหลงมนตร์สะกดของเขาได้ แม้ว่าต่อมาอัครเดชจะเลิกพึงใจจันทประภาแล้ว แต่การถูกทำลายศักดิ์ศรีในครั้งนั้นทำให้เขามักจะหาเรื่องขัดแข้งขัดขาน้องชายนอกคอกอยู่เนือง ๆ
อัครเดชยิ้มเพื่อแสดงความเป็นมิตร หากแต่แววตาไม่ยิ้มตาม
"อะไรกัน อะไรกัน พี่มาเยี่ยมน้องจำเป็นต้องมีกิจธุระด้วยหรือ"
มณีโชติอยากจะไล่ไปเสียให้พ้น ๆ แต่ก็ระงับใจเอาไว้ พูดออกไปด้วยถ้อยคำอันอ่อนหวาน
"ข้ายินดีที่เจ้าพี่มาที่นี่ เราสองพี่น้องก็ไม่ได้คุยกันนาน หากแต่ค่ายังต้องสอนวิทยาต่าง ๆ ให้มล จึงไม่ใคร่มีเวลาว่างมากนัก หากเจ้าพี่มาที่นี่เพื่อพบปะคุยกันฉันพี่น้อง เห็นทีตอนนี้คงไม่เหมาะนัก"
อัครเดชเลิกคิ้ว "เจ้าสอนวิชาให้สัตว์ประหลาดนั่น"
มณีโชติกำหมัดแน่น อัครเดชกล้าดีอย่างไรมาว่าลูกของเขาเป็นสัตว์ประหลาด ไม่ใช่ความผิดของมลเลยที่เกิดมาหน้าตาเป็นแบบนี้ หากจะมีใครผิดก็คงเป็นเขาเอง แต่มลเป็นเด็กดีมีน้ำใจ สมองไวและเรียนรู้วิชาต่าง ๆ ได้ดี อาจจะเก่งกว่าเขาตอนอายุเท่านี้เสียอีก
"เจ้าพี่ มลเป็นลูกของข้า หาใช่สัตว์ประหลาดไม่"
อัครเดชโบกมืออย่างไม่ยี่หระ "เจ้าจะคิดอย่างนั้นก็ตามใจเถิด เด็กนั่นเรียนรู้วิชาของเราได้อยู่หรอกหรือ"
"เขาสติปัญญาไวมาก" มณีโชติบอก ปิดความภูมิใจในน้ำเสียงไม่มิด
"นี่แน่ะ อย่าหาว่าข้ามายุ่งกับกิจธุระของเจ้าเลย แต่เจ้าเป็นถึงเจ้าชายวิทยาธร เหตุใดจึงต้องสั่งสอน 'โอรส'" อัครเดชเน้นคำว่าโอรสราวกับต้องการสื่อความนัยอะไรบางอย่าง "ด้วยตัวเจ้าเองเล่า เจ้าควรจะส่งเขาไปเรียนกับท่านอาจารย์ธนบาลจะดีกว่า มิฉะนั้นผู้คนอาจจะคิดไม่ดีได้"
"ผู้คนที่เจ้าพี่หมายถึงคงหมายถึงเจ้าพี่เองกระมัง" มณีโชติยอกย้อน
"เจ้าก็อคติกับพี่อยู่เรื่อย มันเป็นธรรมเนียมอยู่แล้วที่ต้องส่งเจ้าชายไปเรียน เจ้าสอนเขาเองอย่างนี้ ไม่เท่ากับต้องการสอนวิชานอกรีตหรือ"
"ข้าไม่คิดอย่างนั้นเลย อีกอย่างหนึ่งเผ่าวิทยาธรของเราก็เปิดรับทุกสาขาวิชาอยู่แล้ว จะมีวิชานอกรีตได้ฉันใด"
วิทยาธรหมายถึงผู้ทรงซึ่งความรู้ และพวกวิทยาธรนี้เองที่คิดค้นวิทยาการต่าง ๆ จำนวนมาก ขึ้นชื่อว่าเป็นวิชาความรู้แล้ว วิทยาธรชอบใจทั้งนั้น ไม่มีการแบ่งแยกว่าความรู้ใดดี ความรู้ใดชั่ว เพราะทุกความรู้ล้วนมีคุณและโทษขึ้นอยู่กับผู้ใช้ความรู้ต่างหากว่าจะเอาไปใช้ทำอะไร
"ถึงอย่างนั้นเจ้าก็ไม่ควรแหวกธรรมเนียมไปมากกว่านี้ ส่งโอรสของเจ้าไปศึกษาวิชากับอาจารย์ธนบาลเสียเถิด" อัครเดชพูด เริ่มมีแววไม่พอใจอยู่ในน้ำเสียง
"เจ้าพี่รับสั่งเป็นคำขาดหรือพระเจ้าค่ะ" มณีโชติถาม
"ใช่"
มณีโชติก้มศีรษะนิดหนึ่ง "งั้นรับพระบัญชา"
มณีโชติบอกเรื่องราวทั้งหมดให้ลูกเมียฟัง
"ข้าว่ามันแปลก ๆ อยู่" นางจันทประภาว่า "มิใช่เจ้าพี่อัครเดชคิดเล่นไม่ซื่อกับเราหรอกนะ"
มณีโชติถอนหายใจ "ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน" ใจจริงเขาไม่อยากส่งมลไปไกลหูไกลตาเลย แต่อัครเดชก็มีอิทธิพลมาก ยิ่งตอนนี้พระบิดาของเขาเกิดประชวรมิทราบสาเหตุ ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกก็ยังออกว่าราชการอยู่ดี ๆ แต่กลางดึกคืนหนึ่งมีรับสั่งให้โหรเข้าเฝ้าเพราะทรงพระสุบินประหลาด พอวันรุ่งขึ้นก็ตรัสเรียกให้อัครเดชเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ หลังจากนั้นก็ประชวรหนักจนลุกไม่ขึ้น อัครเดชผู้เป็นโอรสองค์โต และดำรงตำแหน่งมหาอุปราช ก็ขึ้นว่าราชการแทนตั้งแต่นั้นมา
"ท่านพ่อไม่ต้องกังวล ข้าดูแลตัวเองได้ขอรับ" มลพูดพลางตบอกตัวเอง
"พ่อรู้" มณีโชติว่า พลางลูบหัวลูกชายอย่างเอ็นดู ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขาก็จะผ่านไปด้วยกัน