Tải xuống ứng dụng
19.23% ล่านิรันดร์ / Chapter 5: บทที่ 4 นักล่าอมตะ

Chương 5: บทที่ 4 นักล่าอมตะ

อีคอนถูกพาตัวไปยังคุกใต้ดินของวิหารศักดิ์สิทธิ์ ส่วนดัคลัสต้องอยู่ชี้แจ้งเรื่องที่เขาเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับกบฏอย่างอีคอนเสียก่อน ไม่นานจากนั้นกลุ่มคนที่พาเขามาขังก็ได้ยืนมุงดูตัวเขาอยู่นอกกรงขังด้วยความรู้สึกสมเพช

"ถึงจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่หากราชากล่าวว่ามันคือกบฏ ชีวิตมันคงไม่เหลือรอดถึงวันพรุ่งนี้แน่"

"เจ้าว่ามันจะถูกแขวนคอ หรือตัดหัวด้วยกิโยตีนเล่า"

"ยังต้องเลือกวิธีอีกรึ ไม่ว่าอย่างไหนความตายก็รอมันอยู่ดี"

ทั้งหมดหัวเราะชะตาชีวิตอีคอน แม้ไม่เข้าใจว่าคนเล่านี้หัวเราะอะไรกัน แต่ก็มิได้โกรธกับคำพูดดูถูกพวกนั้นเลย ไม่นานเสียงฝีเท้าเร่งรีบก็วิ่งเข้ามา เล่าคนคุมที่เคยหัวเราะร่าต่างต้องก้มหัวคารวะผู้ที่มาถึง

"อีคอน!"

"ลีโอ… เจ้ามาทำอะไรที่นี่"

"ข้าเห็นเจ้าถูกพามา เจ้าโดนคนพวกนี้แกล้งอีกแล้วหรือ"

สองตาลีโอเอ่อล้นด้วยน้ำตาไหลลื่น เป็นอีกครั้งที่จิตทั้งสองต่างเจ็บปวดที่ต้องเห็นวิญญาณดวงนี้ร้องไห้โดยที่ทำอะไรไม่ได้ อีคอนเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้อย่างทุกทีพลางยิ้มปลอบใจ

"ไม่ต้องห่วงหรอก ยังไงข้าก็ต้องออกไปในสักวันอยู่ดี"

เพราะคำปลอบใจนั้นทำให้เด็กน้อยหยุดร้องไห้สะอื้น อีคอนค่อยโล่งใจขึ้นอีกนิดก่อนจะสังเกตได้ว่ามีใครบางคนอยู่ด้านหลังลีโออย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง เมื่อเงยหน้าขึ้นไปก็เห็นเป็นชุดอัศวินกับใบหน้าคุ้นตาคล้ายเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

'คนคนนั้น! เป็นคนที่เคยตัดแขนเราไปนี่'

"เปิดประตู"

อัศวินสั่งคนคุม พวกเขาเปิดประตูออกให้ก่อนจะเขามาลากอีคอนให้ออกมา

"จะพาเขาไปไหน!"

ลีโอร้องลั่น อัศวินปรายตามองเขาเพียงครู่หนึ่งก่อนจะเดินหน้าต่อ อีคอนถูกผู้คุมลากตามหลังอัศวิน ลีโอวิ่งตามไปเพราะกลัวเพื่อนคนสำคัญจะถูกทำร้าย แต่วิ่งมาได้ครึ่งทางก็ถูกเหล่าแม่ชีขัดขวางแล้วพาไปอีกห้องหนึ่ง

อัศวินเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องโถงใหญ่ในวิหาร เมื่อเปิดเข้าไปพบราชาของอาณาจักรและลอร์ดมาร์คัสนั่งอยู่ไม่ห่าง อีคอนมองไปทางดัคลัสเมื่อเห็นเขายังปลอดภัยก็ค่อยโล่งใจขึ้นมา ผู้คุมลากเขามาหยุดอยู่กลางห้องท่ามกลางผู้คนนับสิบ ทั้งอัศวิน ทั้งขุนนาง

"เจ้าเข้ามาในอาณาจักรนี้ได้ยังไง มีจุดประสงค์อะไร"

"ขะ ข้าได้ยินมาจากคนที่โรงนอนคนชรา เขาเล่าว่าข้าลอยตามน้ำและถูกเก็บมาเลี้ยงโดยยายตาบอด"

"งั้นก็ไม่ต่างจากที่ได้ยิน เท่าที่ข้ารู้ เขาอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ยังเป็นทารก ถ้าหากเขามีจุดประสงค์อื่นจริงๆ เหตุใดไม่ส่งคนที่สมประกอบกว่านี้มา อย่างน้อยก็ไม่เป็นจุดสนใจให้คนอื่น รวมถึงเขาเองก็ไม่ได้ปกปิดความสามารถในการฮิลลิ่งร่างกายอย่างรวดเร็วอีกด้วย" ลอร์ดมาร์คัสกล่าวแทนอีคอนได้อย่างเฉียบขาด องค์ราชาตรึกคิดเพียงครู่จะมองไปทางดัคลัส

"แล้วเหตุใดเจ้าถึงได้นึกอยากจะเลี้ยงดูมันเล่า จากรูปร่างของมันแล้ว แม้แต่ทาสยังไม่มีใครเอา แต่เจ้ากลับรับมันมาเป็นผู้สืบทอด มิใช่ว่าพยายามแฝงตัวมันเข้าอาณาจักร แล้วค่อยรับเลี้ยงมันให้กลายเป็นพลเรือนก่อนจะให้มันคอยส่งข่าวการทำสงครามกับฝั่งริลกลิมหรอกรึ"

"เรียนองค์ราชา ข้ารับเด็กคนนี้เอาไว้เพราะความสงสาร เดิมทีข้าคิดว่าสักวันตัวข้าอาจต้องตายในสนามรบ จึงคิดว่ารับเอาไว้สืบสกุลคงไม่เสียหาย ถึงข้ารอดจากสงครามมาได้ เด็กคนนี้ก็เป็นเพียงลูกบุญธรรม มิได้มีสิทธิ์ในทรัพย์สมบัติของข้า หากต้องแต่งงานมีลูกใหม่ไปแล้ว ข้ายืนยันความบริสุทธิ์ใจ มิได้คิดคดทรยศต่อบ้านเมืองเลย"

"ไคออส ทำไมเจ้าไม่คิดถึงมุมของเด็กคนนี้บ้างเล่า เป็นถึงบุตรของราชาแต่กลับมีรูปลักษณ์ไม่สมประกอบ แถมยังต้องพลัดถิ่นจากบ้านมาไกล ถึงแม้เราจะทำสงครามกับฝั่งริลกลิมมาเนิ่นนาน แต่คงไม่นานไปกว่าอายุของเด็กคนนี้หรอกกระมัง"

"เรียนองค์ราชา ฝั่งริลกลิมเดิมทีมีราชินีเกรสสัน เป็นผู้สืบทอดสายเลือดโดยตรง หากว่านางจะส่งลูกมาทำการสอดแนม ข้าคิดว่าคงเป็นไปได้ยาก จากนิสัยเดิมของสตรีแล้ว ลูกน้อยเพียงไม่กี่วันซึ่งนางอุ้มท้องมานานกว่าเก้าเดือน นางคงไม่ปล่อยให้เขาจากมาไกลถึงนี่" ชายอีกคนข้างกายองค์ราชากล่าว สิ่งที่เขาพูดทำให้ราชาคล้อยตามก่อนจะมองมาที่อีคอนด้วยท่าทีขึงขัง

"งั้นข้าคงต้องถามความคิดเห็นของคนทั้งห้องนี้ ไม่ว่าจะอัศวิน ขุนนางหรือนักปราชญ์ พวกเจ้าเห็นว่าควรทำอย่างไรดีกับลูกของศัตรู" เรื่องนี้ทำให้ทุกคนในห้องคิดหนัก มีเพียงลอร์ดมาร์คัสที่กล่าวขึ้นมาก่อน

"เจ้าจะเรียกว่าลูกศัตรูก็ไม่ถูกเสียทีเดียว ดูก็รู้ว่าเขาถูกทำร้ายมาจากคนในอาณาจักร บางทีที่อาณาจักรริลกลิมเริ่มทำสงครามกับเราอาจเป็นเพราะมีใครบางคนแทรกแซงการปกครองภายในของบ้านเมืองจนเกิดเรื่องวุ่นวายถึงขนาดต้องสังหารทายาทคนต่อไปของมหาราชาพาวเวอร์ ไม่คิดหรือว่าหากเรายืนหยัดที่จะอยู่ข้างความถูกต้องโดยการเลี้ยงดูเด็กคนนี้จนเติบใหญ่แล้วใช้สิทธิ์ความเป็นผู้สืบทอดของเขาทวงคืนอาณาจักรมา ความสงบสุขก็จะเกิดขึ้นอีกครั้ง"

'รวมถึงการผูกขาดการค้าและได้เปรียบทางดินแดน แน่นอนว่าถ้าพูดเรื่องความถูกต้อง มนุษย์ผู้จองหองต้องตะเกียกตะกายอยากเป็นคนดีร่วมมือกับอาณาจักรอื่นทำสงครามกับอาณาจักรเดียวจนได้รับชัยชนะมา เฉียบแหลมไม่เบานี่ ลอร์ดมาร์คัส' ฮาวเวอร์ออกความเห็นในใจ อีคอนไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการเมืองก็ได้แต่นิ่งเงียบรอการตัดสินใจ ไม่นานคนอื่นๆ ก็เริ่มออกความคิดเห็นบ้าง

"แต่ตอนนี้เรายังไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับอาณาจักรริลกลิมภายในเลย คนที่เคยทำการค้ากับฝั่งนั้นก็เข้าออกไม่ได้ ถ้าหากว่ารู้เรื่องการเมืองภายในของฝั่งริลกลิมได้สักหน่อยฝั่งเราคงตัดสินใจได้ง่ายขึ้น"

"ถ้าเช่นนั้น ทำไมเราไม่เอาเชลยศึกจากฝั่งริลกลิมมาสอบปากคำล่ะขอรับ ได้ยินว่านำมาฝากขังที่นี่ด้วยเช่นกัน"

องค์ราชาสะบัดมือให้ผู้คุมไปนำตัวมา ใช้เวลาอยู่พักหนึ่งประตูถึงเปิดออกอีกครั้ง ชุดเกราะสีเงินเงาวาวกับผ้าคลุมสีแดงฉานราวกับเลือดช่างต่างจากความนิยมของโพราเท็สที่มักจะสวมเสื้อสีน้ำเงินเข้มเพื่อแสดงความสูงศักดิ์

"ข้าจะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับอาณาจักรทั้งนั้น!! ต่อให้ข้าตายก็จะไม่พูด!!"

"ผิดแล้วท่านอัศวิน ข้าพาท่านมาให้รู้จักกับเด็กคนนี้ต่างหาก ท่านเคยเห็นหน้าเขาบ้างไหม? " อัศวินผู้นั้นหันมาทางอีคอนก่อนจะทำหน้ารังเกียจ

"ใครมันจะไปรู้จักคนหน้าตาอัปลักษณ์พันนี้กัน พวกเจ้าต้องการอะไรกันแน่ถึงได้พาข้ามา"

"ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า น่าเวทนาเสียจริง เรื่องที่อาณาจักรถูกครอบงำโดยคนนอกคงเป็นเรื่องจริงสินะ ถึงขนาดทายาทของมหาราชาพาวเวอร์ยังไม่ถูกพูดถึงเลย" ชายคนนั้นหัวเราะเยาะเย้ยทำเอาขุนนางคนอื่นๆ ขำไปด้วย มีเพียงราชากับลอร์ดมาร์คัสที่ยังแสดงท่าทีนิ่งเฉยอยู่

"พวกเจ้าพูดเรื่องอะไรกัน ทายาทอะไร? "

"ก็เด็กที่เจ้าว่าอัปลักษณ์คนนี้นะสิ เป็นถึงทายาทของมหาราชา แต่กลับต้องมาใช้ชีวิตอย่างหมูอย่างหมาให้อาณาจักรของเรา เจ้าไม่คิดว่ามันแปลกรึ? "

"เจ้าโกหก! เจ้าชายน้อยของอาณาจักรเราถือกำเนิดโดยราชินีเกรสสันและราชาไมนัส ทรงอยู่ดีกินดีอยู่ในพระราชวังและมิได้มีหน้าตาอัปลักษณ์เช่นนี้ พวกเจ้าไปเอาความคิดเยี่ยงนี้มาจากไหนกัน!"

"หลักฐานก็คือเจ้าเด็กคนนี้พยายามจะลงนามในระบบปกครองของเรา เสียดายตรงที่ว่าหากเป็นเจ้าชายจากเมืองอื่นคงได้ลงนามอย่างไม่ยาก แต่เด็กคนนี้เป็นทายาทของมหาราชาทำให้นามนั้นไม่สามารถเข้าระบบปกครองของเราได้ ระบบนี้จะจำกัดเฉพาะมนุษย์เพียงเท่านั้น และคนที่ลงนามไม่ได้ก็มีเพียงสัตว์ประหลาด แต่การปฏิเสธนามนั้นจะต่างออกไปตรงที่กระดาษลงนามจะถูกเผาไหม้แม้อยู่ในน้ำ แต่นามของทายาทมหาราชานั้นกลับลอยอยู่เหนือน้ำไม่จมลงไป นี่ถึงเป็นหลักฐานของความเป็นทายาทของเด็กคนนี้"

อัศวินผู้นั้นเองก็เริ่มสับสนในใจ ถ้าหากว่าเรื่องที่คนตรงหน้าพูดจริง แล้วสิ่งที่เขาเชื่อมาตลอดคืออะไร หรือนี่อาจเป็นการปั่นหัวให้ขายข้อมูล เมื่อคิดอย่างนั้นจึงคิดหาหนทางพิสูจน์ความจริง

"ถ้าพวกเจ้ายืนยัน ข้าก็ขอยืนยันด้วยตัวเองบ้าง พวกท่านคงไม่ลืมใช่ไหมว่า เพื่อการรักษาสัญญามั่นระหว่างมหาราชากับประชาชนทุกหนแห่งในดินแดนบริเวณนี้ว่าจะไม่ล่ะทิ้งคำสัตย์จากทายาทสู่ทายาท นามที่ถูกเอ่ยจากปากของทายาทพระองค์นั้นจะแสดงถึงความภักดีที่ทุกคนควรมีต่อพระองค์ แต่ถ้าหากทายาทพระองค์ทรงล่ะทิ้งคำสัตย์ที่เคยถูกสั่งสอนไปแล้วนามที่เอ่ยจากปากนั้นจะไม่ศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป ที่เจ้าไม่กล้าใช่วิธีนี้พิสูจน์ต่อหน้าข้า เพราะกลัวว่าราชาของพวกเจ้าจะก้มหัวให้กับราชาองค์ต่อไปของเราอย่างนั้นหรือ!!"

ตึง!!

ราชาไคออสทุบโต๊ะดังขึ้นทำให้เกิดความเงียบในบัดดล อัศวินฝั่งริลกลิมไม่ได้เกิดความกลัวแม้แต่น้อยจ้องหน้ากลับอย่างท้าทาย

"ถ้าหากเอ่ยนามแล้วข้ามิได้แสดงความภักดีตอบ นั่นหมายความว่าทายาทมหาราชาได้ละทิ้งคำสัตย์ที่ส่งต่อกันมาไปแล้ว เจ้าคงรู้ใช่ไหมว่ามันหมายความว่ายังไง สงครามเต็มรูปแบบจะถือกำเนิดขึ้น และพวกเจ้าจะไม่ใช่อาณาจักรที่เราต้องก้มหัวให้อีกต่อไป"

ราชาพูดขึ้นอย่างขึงขังแต่ก็ถูกลอร์ดมาร์คัสพูดดักทางขึ้นเสียก่อน

"ถ้าหากจะใช้วิธีนั้นจริง เด็กคนนี้ต้องเอ่ยนามที่ผู้สืบสายเลือดตั้งให้เสียก่อน ข้ารู้มาว่านามที่เขาใช้อยู่ตอนนี้เป็นนามที่ได้มาจากคนในโรงนอนคนชรา และการที่เขาไม่สามารถลงนามเข้าระบบได้ก็เพราะว่าน้ำหมึกที่ใช้เขียนนั้นจะดูดซึมเอาพลังเวทย์ในกายส่วนหนึ่งเข้าไปประกอบด้วย พลังเวทย์ของแต่ล่ะคนนั้นจะถูกส่งทอดมาจากคนในสายเลือดทำให้มีเอกลักษณ์ต่างกัน เพราะงั้นพลังเวทย์ที่ถูกดึงมาของเด็กคนนั้นมีต้นตระกูลมาจากมหาราชาจึงไม่สามารถลงนามเข้าระบบปกครองได้ ถ้าเจ้าต้องการพิสูจน์เรื่องของเด็กคนนี้ คงต้องใช้วิธีอื่น"

การพูดคุยกับเชลยศึกแทบไม่มีประโยชน์ ต่างคนต่างยึดมั่นในหลักการที่ต่างกัน ถ้าหากอีคอนสามารถระบุตัวตนได้ว่าเป็นทายาทมหาราชาได้ก็ต้องถูกใช้เป็นเครื่องมือแต่ถ้าทำไม่ได้ขึ้นมาก็จะถูกขังลืมต่อไปจนกว่าจะพิสูจน์ได้

'อีคอน อย่าลืมเป้าหมายที่เราเกิดมา ปัญหาพวกนี้ไม่เกี่ยวกับเราเลยสักนิด ไม่ต้องไปสนใจ' ฮาวเวอร์ย้ำเตือนความคิด แต่อีกใจนึงของอีคอนกลับคิดต่างออกไป

'ถ้าเราไม่ช่วยพวกเขายุติสงคราม คนพวกนี้จะฆ่าแกงกันเองจนทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องตาย นี่คือสัญญาอีกหนึ่งที่เราต้องรักษาไม่งั้นลีโออาจต้องตายถ้าอาณาจักรนี้พ่ายแพ้'

เมื่ออีคอนพูดถึงลีโอ ฮาวเวอร์ก็ตระหนักได้ว่าตอนนี้เขามีความปรารถนาอีกหนึ่งที่ต้องการ

'งั้นสลับจิตกับข้า ข้าจะเจรจาเอง'

ทั้งคู่สลับจิตกันโดยพลัน ฮาวเวอร์เข้ามาควบคุมร่างกายในทันที รัศมีพลังเวทย์แผ่กระจายอย่างกะทันหันจนคนในห้องโถงถึงกับต้องหันมามอง จิตเปลี่ยนความสามารถเปลี่ยน คนที่ยืนอยู่ตรงนี้ไม่ใช่พระโลกสวยจากเทือกเขาหิมะอีกต่อไป

"นามของข้าคือ ฮาวเวอร์ คอลลิคสัน"

ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ

เสียงเข่ากระแทกพื้นดังติดต่อกันไม่เว้นแม้แต่คนชราภาพอย่างนักบวช ราชาไคออสมีสีหน้าเคร่งเครียดทันทีเมื่อตระหนักรู้แล้วว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือของจริง ทั้งพลังเวทย์และแรงกดดันมหาศาลอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน

ฮาวเวอร์ใช่เวทย์ดินสร้างบัลลังก์เล็กๆ จากฝุ่นในห้องขึ้นมาก่อนจะนั่งลงตรงนั้นอย่างพอดีตัว

"แทนที่พวกเจ้าจะเถียงกันว่าจะเอายังไงดีกับข้า ควรจะถามข้ามากกว่าว่าข้าควรจะทำยังไงกับพวกเจ้า ลุกขึ้นได้"

คล้ายว่ามนต์ประหลาดเมื่อครู่จะหายไปทุกคนสามารถลุกขึ้นยืนได้อย่างอิสระ ตั้งแต่เกิดมาราชาไคออสไม่เคยต้องรู้สึกเสียหน้าขนาดนี้ ในเมื่อปั้นหน้าไม่รู้สึกอะไรต่อไม่ได้ก็สั่งให้อัศวินข้างกายลงมือกับภัยต่อความมั่นคงของพระองค์

"เบน! สังหารมันซะ!!"

อัศวินโหดเหี้ยมผู้นั้นทะยานเข้าหาฮาวเวอร์อย่างรวดเร็วก่อนจะเคลื่อนไหวช้าลงเรื่อยๆ จนเอื่อยเฉื่อย

"เจ้าคงไม่รู้ว่าตอนนี้ข้ากำลังปล่อยรังสีเอื่อยเฉื่อยเพราะตัวข้าเคลื่อนไหวรวดเร็วเกินไปจนพวกเจ้าอาจมองตาเปล่าไม่เห็น แทนที่จะกำจัดข้าผู้แข็งแกร่งกว่าพวกเจ้าในตอนนี้ มิสู้มาร่วมมือกับข้าแล้วช่วยข้ายุติสงครามโง่เง่านี่"

"ยุติสงคราม? ท่านมีความเห็นว่ากระไรหรือ" ลอร์ดมาร์คัสกล่าวอย่างมีสติที่สุด

"ตอนนี้แม้แต่ข้าก็ยังไม่รู้สถานการณ์ภายในของอาณาจักรริลกลิม แถมข้าเพิ่งจุติมายังโลกนี้เมื่อวาน"

"จุติ? มิใช่ว่าเจ้าเกิดมานานกว่า 10 ปีแล้วหรือ"

"ถ้าจะพูดตรงๆ ก็คือ ข้าเกิดมาบนโลกนี้เพื่อทำความปรารถนาของพระเจ้าให้เป็นจริง และเพื่อการนั้นข้าถึงต้องไปตระเวนนรกเป็นเวลานานแล้วเพิ่งจุติเมื่อวานนี้ พวกเจ้าอาจรังแกข้าคนก่อนได้ แต่ตอนนี้พวกเจ้าต้องคิดใหม่เสียแล้ว ตัวข้าในตอนนี้แข็งแกร่งเกินกว่ามนุษย์ธรรมดาอย่างพวกเจ้าจะต่อกรได้ และตัวข้าก็รวบรวมพลังไว้เพื่อต่อสู้กับพวกอมตะเท่านั้น สงครามที่พวกเจ้ากำลังก่ออยู่ตอนนี้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยในสายตาข้าเมื่อเทียบกับการทำภารกิจไม่สำเร็จแล้วโลกทั้งใบต้องถูกรีเซตเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เจ้าลองคิดดูสิว่า หากโลกนี้ต้องแตกสลายในช่วงอายุของพวกเจ้าสิ่งสำคัญที่สุดของเจ้าคืออะไร"

ฮาวเวอร์เว้นคำตอบให้พวกเขาคิดในใจก่อนจะพูดต่อ

"ถ้าสำหรับข้าก็คงเป็นการได้อยู่กับใครสักคนที่ข้ารัก จะครอบครัวหรือเพื่อนก็ตาม แต่กับพวกเจ้าบางคนคงต่างออกไป แต่ช่างเถอะข้าไม่สน สิ่งหนึ่งที่ข้าต้องทำนอกเหนือจากการปกป้องโลกแล้วก็คือการปกป้องเพื่อนเพียงคนเดียวของข้า และในโลกนี้เขามีนามว่าลีโอ ข้าได้ยินมาว่าองค์ราชามิได้รักใคร่ลีโอเลยสักนิดเพราะเป็นทายาทของทรราช เรื่องนั้นเจ้าก็ต้องคิดเสียใหม่"

เบน อัศวินข้างกายราชาไคออสกำลังจะง้างดาบเข้าฟันคอฮาวเวอร์อย่างช้าๆ ฮาวเวอร์หยิบดาบนั้นแล้วบิดให้งอด้วยนิ้วเล็กๆ ของตัวเอง ร่างของอัศวินค่อยๆ เสียหลักล้มลงอย่างช้าๆ แล้วฮาวเวอร์ก็พูดต่อจากเรื่องเมื่อครู่ทันที

"ข้าเพิ่งรู้ว่าพวกเจ้ายึดติดกับคำว่าทายาทกันเสียเหลือเกิน แต่ข้าไม่คิดเช่นนั้น ถึงข้าจะเป็นทายาทมหาราชาอะไรนั่นก็ตาม แต่ข้าก็ไม่คิดจะขึ้นครองบัลลังก์เพราะมีสิ่งสำคัญมากกว่านั้นที่ต้องไปจัดการ ไม่ว่าลีโอจะเป็นทายาทอสูรปีศาจอะไรก็ตามหากพวกเจ้าดูแลเขาได้ไม่ดี ข้าจะกวาดล้างอาณาจักรนี้ให้เหลือเพียงชื่อเลยทีเดียว"

"ถ้าเรื่องนั้นข้าเองก็มิได้เห็นด้วยที่จะละเลยทายาทองค์น้อยของอาณาจักรเรา หากเราสัญญาว่าจะรักษาความสงบสุขของเขาไว้ เท่านี้เจ้าก็พอใจแล้วใช่ไหม? แต่เราจะแน่ใจได้ยังไงว่าเจ้าจะไม่หักหลังเราในภายหลัง ระหว่างเพื่อนต่างภพกับคนในครอบครัว สำหรับเจ้าอย่างไหนสำคัญกว่ากัน"

"สำคัญทั้งคู่ ข้ารู้เพียงว่ามารดาที่ให้กำเนิดข้าถูกคุมขังอยู่คุกใต้ดินของปราสาท และตอนที่ข้าหนีมาได้ก็คือตอนที่มีอัศวินผมสีดำนัยน์ตาสีเทากับรอยแผลขนาดใหญ่ที่หน้าลากไปถึงใบหู"

"อัศวินคนนั้นที่ท่านกล่าวอาจเป็นแม่ทัพน็อล ในตอนนี้เขาประจำการอยู่ที่ชายแดนไม่ไกลจากที่นี่ เดิมทีเขาเป็นอัศวินข้างกายราชินีแต่เพราะทำเรื่องไม่ถูกไม่ควรจึงถูกส่งมาสู้รบที่ชายแดนจนไม่ได้กลับอาณาจักรเป็นเวลาหลายปี แถมตอนนี้ก็มีตำแหน่งใหญ่โตขึ้นเพราะความสามารถ แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะได้กลับอาณาจักร"

เชลยอาณาจักรริลกลิมพูดขึ้น ถ้าไปหาชายคนนั้นอาจจะรู้เบาะแสเกี่ยวกับมารดาบ้างไม่มากก็น้อย

"ถ้างั้นข้าจะไปพบเขาแล้วถามเรื่องที่เกิดขึ้นในอาณาจักร"

"เรื่องนั้นเองก็เป็นไปได้ยาก ข้าไม่รู้ว่าท่านเก่งขึ้นในระดับไหน แต่การจะบุกเข้าไปนั้นไม่ง่ายเลยสักนิด ทหารของฝั่งริลกลิมมีราวแสนนาย ถูกแบ่งย่อยไปตามเทือกเขาล้อมรอบศัตรูทุกทิศ ค่ายกลต่างๆ ก็ซับซ้อนยากจะเข้าผ่าน เกรงว่าถ้าท่านเข้าไปอาจจะไม่รอดกลับมา"

ฮาวเวอร์ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ขนาดเขาแสดงพลังขนาดนี้คนพวกนี้ยังไม่รู้ถึงความแข็งแกร่ง บางทีเขาอาจต้องลงมือจริงๆ ฮาวเวอร์จับตัวอัศวินผู้นั้นเอาไว้ก่อนจะแทรกพลังเวทย์เข้าไปในร่างเพื่อจำกัดการเคลื่อนไหวในร่างกายให้เอื่อยเฉื่อยและสร้างบาเรียนอกชั้นผิวเพื่อที่เขาจะได้พาร่างนั้นเดินทางด้วยความเร็วแสงโดยไม่ถูกเผาไหม้เสียก่อน เมื่อเตรียมร่างเสร็จ เชลยศึกก็ได้แต่สงสัยการกระทำของฮาวเวอร์ ก่อนที่ฮาวเวอร์จะพาร่างอัศวินผู้นั้นกระโดดขึ้นทะลุเพดานวิหารแล้วลอยเหนืออากาศด้วยรังสีเอื่อยเฉื่อย

ฮาวเวอร์มองออกไปนอกขอบฟ้าตรงปลายขอบเหมือนจะมีค่ายพักแรมอยู่ไกลๆ เขาถีบชั้นอากาศก่อนจะเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่นานฮาวเวอร์ก็มาหยุดอยู่ที่ค่ายพักแรม

ในค่ายพักแรมของทหารริลกลิม ทหารต่างเดินตรวจตราความผิดปกติรอบนอก นายทหารคนหนึ่งบนประตูค่ายเหม่อมองไปบนท้องฟ้าก่อนจะพบการเคลื่อนไหวผิดปกติ

"เฮ้ย! ดูนั่น มีอะไรบางอย่างกำลังพุ่งเข้ามาจากบนฟ้า!"

"มังกรรึ หรือว่าเป็นวิหคเพลิง? "

"ไม่ใช่! มันรูปร่างเล็กกว่าแถมสิ่งที่ห้อยตามมาก็มีลักษณะพลิ้วไหวสีแดง" เมื่อสิ่งนั้นไกลเข้ามาเรื่อยๆ จึงเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น คนที่มองออกก็อ้าปากค้างอย่างไม่เชื่อสายตาก่อนที่วินาทีต่อมาสิ่งนั้นจะพุ่งลงมากลางค่าย

ตูมมมม!

เศษดินและฝุ่นกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณพื้นที่ ผู้คนในค่ายต่างออกมาดูสถานการณ์ภายนอกอย่างตกใจ

"เกิดอะไรขึ้น"

ชายผู้ควบคุมกองทัพนับแสนมาที่นี่ต่างออกคำสั่งเสียงดังลั่นให้เตรียมอาวุธแล้วตั้งท่ารับการโจมตีจนฝุ่นละอองลอยไปมาเริ่มจางลงปรากฏเงาร่างแคระแกร็นกับอีกหนึ่งซึ่งนั่งคุกเข่าอยู่ไม่ห่าง

"แค่กแค่ก ข้า แค่ก ไม่นึกเลยว่าท่านจะทำเรื่องอย่างนี้ได้"

ฮาวเวอร์ไม่สนคำพูดของอัศวินข้างกายก่อนจะทอดสายตามองรอบด้าน เห็นเงาผู้คนทั้งอาวุธครบมือเตรียมต้อนรับ

"ข้ามีธุระจะเจรจากับแม่ทัพน็อล"

เมื่อได้ยินเสียงเจ้าของร่างประหลาดเอ่ย แม่ทัพน็อลก็ปรากฏตัวขึ้นในทันที

"เจ้ามีธุระอะไรกับข้า ถ้ามาดีก็พูดมันออกมา ถ้ามาร้ายก็ฆ่ากันตายเลยดีกว่า ไม่ต้องเสียเวลา!"

ฮาวเวอร์สะบัดแขนหนึ่งที ลมพายุโหมกระหน่ำก็พัดเอาฝุ่นผงปลิวออกไป คราวนี้ต่างฝ่ายต่างได้เห็นกันและกันอย่างเต็มตา คนอื่นต่างมองฮาวเวอร์อย่างประหลาดใจในรูปลักษณ์ มีเพียงแม่ทัพน็อลเท่านั้นที่ยังจดจำรูปร่างนั้นได้ดี

"ราชาของข้า…"

เขาล้มลงคุกเข่ากับพื้นอย่างนอบน้อมผู้คนเห็นต่างไม่เข้าใจการกระทำ อัศวินผู้อยู่ข้างกายฮาวเวอร์เองก็ตกตะลึงกับภาพที่เห็น แม้ฮาวเวอร์จะไม่ได้แสดงความเป็นเจ้าเหนือหัวแต่อย่างใด แม่ทัพน็อลกลับรับรู้ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น ตัวเขาเองก็คุกเข่าทำความเคารพในตัวทายาทมหาราชาเช่นกัน แม้คนอื่นไม่เข้าใจก็ช่าง พวกเขาทั้งคู่ต่างรู้ดีว่ากำลังทำอะไร

"ลุกขึ้นเสียเถอะ ข้าไม่ได้ต้องการจะให้เจ้าทำความเคารพข้า ข้าเพียงต้องการรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในอาณาจักร"

"ท่านฮาวเวอร์ ข้าอยากจะเล่าเรื่องทั้งหมดแต่ข้าทำไม่ได้ พวกมันทำให้ข้าต้อง อึก อุบ อื้ออออ" ริมฝีปากของแม่ทัพน็อลขบเม้มเข้าหากันจนสนิท ไม่มีคำพูดใดออกจากปากนั้นแม้เขาพยายามจะอ้าปากแทบตาย ฮาวเวอร์เดินหน้าไปหาแม่ทัพน็อลก่อนจะมองลักษณะคำสาปที่ติดอยู่บนตัวเขา

"ผู้ใช้มนต์ดำ…"

ฮาวเวอร์ตระเวนไปทั่วนรกถึง 1 พันล้านปี รู้ดีว่าปีศาจซาตานในนรกมีลูกเล่นอะไรกับเหล่าวิญญาณรับใช้ของพวกมัน เขาเองก็เคยโดนมาครั้งหนึ่งตอนอยู่ในนรกช่วงแรก และเจ็บใจไม่หายที่มันกล้าใช้วิธีนี้กับเขา

ฮาวเวอร์ใช้หัวแม่มือปาดล้างคำสาปออกไป ไม่นานแม่ท่านน็อลก็เปิดปากออกมาได้ก่อนจะมองมาทางเขาอย่างตกตะลึงในความสามารถ

"ทีนี้เล่ามาให้หมด อย่าให้ตกแม้แต่เหตุการณ์เดียว"


SUY NGHĨ CỦA NGƯỜI SÁNG TẠO
LOANO LOANO

จบค้างอีกล่ะ

Load failed, please RETRY

Tình trạng nguồn điện hàng tuần

Rank -- Xếp hạng Quyền lực
Stone -- Đá Quyền lực

Đặt mua hàng loạt

Mục lục

Cài đặt hiển thị

Nền

Phông

Kích thước

Việc quản lý bình luận chương

Viết đánh giá Trạng thái đọc: C5
Không đăng được. Vui lòng thử lại
  • Chất lượng bài viết
  • Tính ổn định của các bản cập nhật
  • Phát triển câu chuyện
  • Thiết kế nhân vật
  • Bối cảnh thế giới

Tổng điểm 0.0

Đánh giá được đăng thành công! Đọc thêm đánh giá
Bình chọn với Đá sức mạnh
Rank NO.-- Bảng xếp hạng PS
Stone -- Power Stone
Báo cáo nội dung không phù hợp
lỗi Mẹo

Báo cáo hành động bất lương

Chú thích đoạn văn

Đăng nhập