'ถ้าชีวิตคุณมีเวลาเหลือเพียงสามสิบนาที คุณจะทำอย่างไร'
เป็นคำถามมักพบได้ตามหนังสือประเภทให้แรงบันดาลใจไม่ก็พวกหนังสือธรรมะ หลายคนเลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างสนุกสุดเหวี่ยง บางคนเลือกการทำจิตใจให้สงบและยอมรับความตายที่คืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ บางคนเลือกทำในสิ่งที่ต้องการแม้จะผิดกฎหมายก็ตาม
แต่หากให้ชายหนุ่มคนนี้ตอบคำถามเขาคงจะตอบว่าอยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ร่วมกับคนที่เขารัก อย่างน้อยภาพในช่วงวินาทีสุดท้ายก่อนจากโลกไปเป็นภาพของครอบครัวที่แสนอบอุ่น มีภรรยาคู่ชีวิตกับลูกสาวตัวน้อยที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจส่งเขาไปยังแดนสุขาวดีอย่างสงบ
ทว่าในความจริงนั้นเขากำลังถูกภรรยาผู้เป็นคู่ชีวิตฟ้องหย่า…
'สามสิบนาทีกับอีกสิบห้าวิ'
เสียงในห้วงความคิดร่วมกับการส่ายไปมาเบาๆ ของเก้าอี้เบาะนุ่มสีดำขลับชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี
ป้ายพลาสติกเขียนว่า 'ผู้ถูกฟ้อง' วางอยู่บนโต๊ะไม้สีน้ำตาลเข้มของหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่วัยสามสิบปี ซึ่งพฤติกรรมลุกลี้ลุกลนของเขาช่างตรงข้ามกับหญิงสาวที่อยู่อีกฝั่งอย่างสิ้นเชิง
หญิงสาวรูปร่างสูงโปร่ง นัยน์ตาคมเรียวสีดำ เครื่องหน้าจมูกปากเข้ากันอย่างลงตัวกับโครงหน้าที่งดงาม เรือนผมสีดำเงางามประบ่าถูกแสกข้างเป็นระเบียบเรียบร้อย ด้วยท่าทางการนั่งที่สุขุมและสง่างามบ่งบอกถึงความมั่นใจสมกับฐานะของการเป็น 'ผู้ฟ้อง'
ชายสูงวัยหลายคนสวมใส่ชุดครุยสีดำนั่งบนบัลลังก์ด้านหน้าสุดของห้องได้ส่งเสียงผ่านไมโครโฟน
"คำพิพากษาคดีฟ้องหย่าก่อนหน้า โจทก์หรือผู้ฟ้องได้ฟ้องหย่าจำเลยหรือผู้ถูกฟ้องซึ่งเป็นสามี อ้างเหตุว่าจำเลยได้มีพฤติการณ์ที่จะเข้าเหตุหย่าตามมาตรา…"
'ยี่สิบหน้านาที สี่สิบเก้าวิ'
"จำเลยขาดการความใส่ใจดูแลโจทก์ผู้ซึ่งเป็นภริยา กลับบ้านช้ากว่าเวลาปกติไปมากแล้วยังไม่สามารถติดต่อได้ ทิ้งให้โจทก์อยู่กับบุตรสาวตามลำพัง และด้วยความสงสัยต่อมาฝ่ายภริยาได้จ้างนักสืบเพื่อตามหาเหตุของพฤติกรรมจึงพบว่า…"
ภายในห้องเงียบสงัดแม้มีผู้คนอยู่จำนวนไม่น้อยเป็นเพราะแต่ละคนล้วนตั้งใจฟังคำพิพากษาจากบัลลังก์
"สามีได้ตกงานจากตำแหน่งผู้จัดการบริษัทขนส่งเมล็ดกาแฟที่ทำงานประจำเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว…"
ชายหนุ่มค่อยๆ หยิบผ้าเช็ดผ้าผืนขาวออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แม้เหงื่อที่ผุดขึ้นบนใบหน้าจะถูกเช็ดออกไปเท่าไรก็ไม่มีท่าทีจะหมดเสียที ผิดกับหญิงสาวที่นั่งอยู่อีกฝั่ง เธอมีกิริยาท่าทางที่สงบนิ่งแต่เปี่ยมไปด้วยความพลัง สายตามองไปยังหน้าบัลลังก์เพื่อฟังคำพิพากษาโดยไม่ชายตามองเขาแม้แต่น้อย
"จำเลยยังนัดพบกับหญิงสาวคนหนึ่งที่โรงแรมซึ่งทั้งสองได้มีความสัมพันธ์เกินเลยตามรูปถ่ายที่นักสืบของโจทก์เป็นผู้รวบรวมหลักฐาน เมื่อฝ่ายภริยาได้ทำการซักถามความจริง สามีผู้เป็นจำเลยก็ได้แต่พยายามบ่ายเบี่ยง ด้วยทั้งหมดทั้งมวลนี้ศาลจึงมีความเห็นว่า…"
ชายหนุ่มพยายามหายใจลึกๆ หวังช่วยให้จิตใจสงบลงบ้างแต่นัยน์สีน้ำเงินนั้นกลับมองไปที่นาฬิกาข้อมือที่ระบุเวลาว่า 'สิบนาที แปดวินาที'
"จำเลยได้กระทำผิดจริงจึงพิพากษาให้หย่ากัน..." หญิงสาวผู้สงบนิ่งตลอดมาเริ่มแสดงอารมณ์ทางสีหน้า กระดาษทิชชู่สีขาวถูกหยิบขึ้นมาซับบริเวณหางตาที่มีน้ำใสๆ ปริ่มออกมาเล็กน้อย
"ในส่วนของบุตรสาวเนื่องจากจำเลยตกงานจึงขาดซึ่งความพร้อมในการอุปการะ รวมถึงความผูกพันของมารดาที่มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นสิทธิ์การอุปการะเลี้ยงดูจึงตกเป็นของมารดาผู้มีความเหมาะสมมากกว่า…"
ไม่ทันที่ผู้พิพากษาจะพูดจบชายหนุ่มผู้เป็นจำเลยได้ลุกขึ้นยืนแล้วโค้งแสดงความเคารพอย่างลวกๆ จากนั้นจึงสาวเท้าไปยังประตูทางออก
ชายหนุ่มเปิดประตูไม้ขนาดใหญ่กระแทกเกิดเสียงดังจนทำให้ผู้คนทั้งในและนอกห้องล้วนจับจ้องไปที่เขาคนเดียวแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้สนใจ
"พี่ 'ธีร์' คะ!"
เสียงของหญิงสาวที่เห็นชายหนุ่มเดินมุ่งหน้ามาทางตนจึงตะโกนเรียก ด้วยรูปร่าง หน้าตาที่ดูเยาว์กว่าและเครื่องหน้าที่ได้สัดส่วนแต่อ่อนหวานกว่าเล็กน้อยนั้นทำให้ทราบได้ทันทีว่าเธอเป็นน้องสาวของฝ่ายภรรยาอย่างแน่นอน
แต่ชายหนุ่มกลับไม่หยุดอยู่ตามที่เธอคาด เขาเดินผ่านเธอรวมถึงเด็กสาวตัวน้อยวัยเจ็ดปีที่อยู่ในอ้อมกอดของหญิงสาวผู้เป็นน้าด้วย
"ป๊ะป๋า…นั้นป๊ะป๋าใช่มั้ยคะ"
แม้ว่าเสียงของใครจะเข้าโสตประสาท เขาก็ต้องแสร้งทำเป็นไม่รับรู้ ขาทั้งสองก้าวออกไปโดยไม่ลดละเช่นเดียวกับนัยน์ตาสีน้ำเงินที่กลอกขึ้นลงเพื่อมองทางสลับกับนาฬิกา
'เหลืออีกเจ็ดนาที สี่สิบวิ'
ในที่สุดเขาก็หยุดลงที่หน้าทางเข้าศาลเยาวชนและครอบครัว เขาหันหน้าไปมารอบตัวราวกับตามหาอะไรบางอย่าง
ทันใดนั้นเขาก็เหลือบไปเห็นสะพานลอยแห่งหนึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่เขายืนอยู่นักและเป็นเวลาเดียวกันกับที่เขาสังเกตเห็นคล้ายมีใครสักคนนั่งอยู่
'เอาล่ะ จากตรงนี้…' มองคิดพลางเดินไปยังทิศของสะพานลอยไปด้วย 'สี่ร้อยเมตรห้านาที ขึ้นสะพานสามสิบวิ เหลือเวลาอีกสองนาที…'
จากฝีเท้าที่เดินอยู่นั้นเริ่มเร็วขึ้นจนเปลี่ยนเป็นการวิ่ง โชคยังดีที่ระยะทางสี่ร้อยเมตรนี้ไม่มีถนนกั้นเลยทำให้เขาสามารถวิ่งได้เต็มที่โดยไม่ต้องระวังรถยนต์
เขาวิ่งขึ้นสะพานพร้อมกับลมหายใจที่พ่นออกมาอย่างกระหืดกระหอบ หัวใจที่เต้นแรงนั้นอาจมีเหตุจากความเหนื่อยหรือเพราะเวลาบนนาฬิกาที่ค่อยๆ น้อยลงไปทุกทีก็ไม่ทราบได้
เมื่อเขาขึ้นมาถึงบนสะพานลอยก็พบกับชายชราสวมเสื้อผ้าขาดวิ่น เนื้อตัวสกปรกมอมแมมกำลังนั่งสั่นงกๆ กับกระป๋องพลาสติกเก่าๆ ซึ่งภายในมีเศษเงินอยู่เพียงเล็กน้อย
'อีกสองนาที สามสิบวิ ทำได้เร็วกว่าที่คาดแฮะ'
ชายหนุ่มมุ่งไปหาชายขอทานตรงหน้าขณะที่มือและสายตากำลังจดจ่ออยู่กับนาฬิกาข้อมือ สักพักเขาจึงนั่งยองเพื่อให้คู่สนทนาอยู่ในระดับเดียวกัน
"สวัสดีครับ คุณลุงต้องการให้ผมช่วยอะไรมั้ยครับ"
เขาจับมือของชายสูงวัยโดยไม่สนใจว่ามือของเขาจะสกปรกหรือไม่ พร้อมกับแสดงสีหน้าที่ดูอ่อนโยนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้แม้ว่าจะมีอาการเหนื่อยหอบปนออกมาผ่านใบหน้าด้วยก็ตาม
เพียงไม่กี่วินาที บรรยากาศเงียบสนิทของผู้สนทนาทั้งสองเหลือแต่เสียงรถยนต์ที่สัญจรอย่างแน่นขนัด
"เอ๋? พูดอะไรน่ะพ่อหนุ่ม"
แม้ว่าชายสูงวัยถามอย่างสงสัยฝ่ายชายหนุ่มก็ยังไม่ลดละความพยายาม เขาเหลือบมองนาฬิกาข้อมือมีตัวเลข 'หนึ่ง' ในหน่วยนาที ก็ยิ่งทำให้เขากุมมืออีกฝ่ายแน่นยิ่งขึ้นอีก
"คุณลุงครับ…ไม่สำคัญว่าผมเป็นใคร…ขอแค่คุณลุงบอกผมเถอะครับว่าคุณลุงอยากได้อะไร"
นัยน์ตาสีน้ำเงินจับจ้องด้วยความมุ่งมั่นราวกับเขาต้องการมองจนทะลุไปยังหัวใจของขอทานวัยชรา
ถึงอย่างนั้นก็ไร้ซึ่งเสียงตอบกลับของอีกฝ่าย อาจเป็นเพราะเขากำลังตกใจที่จู่ๆ มีใครก็ไม่รู้เข้ามาถามคำถามที่ไม่คุ้นเคย แต่คราวนี้สีหน้าของชายหนุ่มกลับเปลี่ยนไป รอยคลี่ยิ้มบางๆ เริ่มปรากฏบนใบหน้า เขาเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงสแล็คสีน้ำตาลที่ตอนนี้เปื้อนคราบฝุ่นอยู่ไม่น้อยแล้วหยิบบางสิ่งออกมา
"ได้ครับ ผมเองก็มีลูกสาว ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณลุงครับ"
เขายื่นธนบัตรจำนวนหนึ่งให้แต่เมื่อเห็นว่าชายชรายังคงงุนงงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเขาจึงเอาเงินยัดใส่มือของชายชราอย่างรวดเร็ว
"เงินนี้น่าจะพอสำหรับค่านมหลานของคุณลุงได้สักเดือนหนึ่ง ผมหวังว่าหลานจะเติบโตเป็นเด็กที่ร่าเริงและแข็งแรงนะครับ"
ทันทีเขาพูดจบก็รีบสวมกอดโดยทันที ทำให้อีกฝ่ายก็ร่ำไห้ออกมาด้วยความปลื้มปิติจากนั้นจึงเอ่ยว่า
"ขอบคุณมาก ไม่รู้ว่าพ่อหนุ่มรู้ได้ยังไงแต่ถ้าลุงไม่ได้เงินจากพ่อหนุ่มก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่หลานจะมีนมกิน"
ชายหนุ่มคลายกอดแล้วกุมมืออีกฝ่าย รอยยิ้มบางๆ กับเหงื่อที่ไหลท่วมสูทสีกรมท่าและการหายใจหอบแรง ทั้งหมดอาจดูผสมปนเปแต่นั้นก็เป็นความพยายามที่จะส่งกำลังใจผ่านภาษากายมากที่สุดเท่าที่ทำได้
"ผมต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอบคุณ"
เขาไหว้ชายชราเป็นครั้งสุดท้ายจากนั้นจึงวิ่งลงสะพานกลับทางเดิมทิ้งไว้แต่ความฉงนสงสัยแม้กระทั่งคำพูดสุดท้ายของชายหนุ่ม