บทที่ 10
[ควินซ์]
ผมนั่งเท้าคางมองดูตึกราบ้านช่องในฮ่องกงอย่างเหม่อลอยพลางครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ในวัดก่อนหน้านี้ไปด้วย...
ในตอนที่ผมกำลังฟัวไกด์เฉพาะกิจพูดแนะนำเรื่องด้ายแดงขอเนื้อคู่อยู่นั้นดันเหลือบไปเห็นนับหนึ่งหน้าซีดจึงตกใจคิดว่าป่วยแต่กลับเห็นท่าทางแปลกๆ ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่รูปปั้นบริเวณรอบลานเนื้อคู่ไม่พอยังมองจุดที่แจกด้ายเดงด้วยแววตาหวาดหวั่นอีก
แน่นอนว่าผมอยู่กับนับหนึ่งมานานย่อมเดาความนึกคิดได้อยู่แล้วว่า ไอ้บ้านี่กำลังคิดอะไรอยู่
ดูจากสภาพสีหน้าและท่าทางแล้วคงกำลังคิดลบๆ มโนไปดาวเสาร์อยู่แน่ๆ เชิงแบบผมมาขอพรขอเนื้อคู่แล้วกังวลว่าตัวเองจะไม่ใช่เนื้อคู่หรืออาจจะมีใครเข้ามาในชีวิตผม
ความรู้สึกหวาดกลัวและไม่มั่นคงทำให้นับหนึ่งแสดงออกมาโดยไม่รู้ตัว นับหนึ่งเป็นคนง่ายๆ ซื่อบื่อ ทึ่มทื่อในการใช้ชีวิต คิดอะไรมักแสดงออกทางสีหน้าหมดยกเว้นเวลาทำธุรกิจ สวมหน้ากากพ่อค้าหน้าเลือดเขี้ยวลากดินสุดๆ
ผมลองคิดมุมกลับดูว่าถ้าตัวเองกำลังชอบคนคนหนึ่งอยู่แล้วคนคนนั้นเมินเฉยต่อความรู้สึกแล้วไหว้พระขอคนรักต่อหน้าต่อตาจะรู้สึกยังไงเลยพอจะเข้าใจความรู้สึกของนับหนึ่งขึ้นมา
อันที่จริงผมเองก็ไม่ได้คิดจะมาไหว้พระขอคนรักอยู่แล้ว ผมก็แค่พูดเล่นๆ แต่ไม่คิดว่าผลลัพธ์จะทำให้ผมพอใจและมีกำลังใจ
ยิ่งตอนที่ผมบอกว่ากลับ ไม่ขอเนื้อคู่แล้ว
หน้าตานับหนึ่งนี่เบิกบานยิ่งกว่าดอกไม้บานซะอีก ผมขออะไรสั่งอะไรก็ว่าตามหมดไม่ขัดสักคำ ไม่มีใครรู้เท่าตัวผมแล้วว่าต้องกลั้นหัวเราะขนาดนั้นแต่ว่า...
ไอ้บ้านี่มันก็มีวันนี้...
วันที่ตกอยู่ในกำมือผม หึหึ
"ควินซ์ มึงหัวเราะอะไร" เสียงหวั่นๆ จากคนข้างกายดังขึ้นพาให้ผมหลุดจากภวังค์ห้วงความคิดโดนสมบูรณ์ "มึงกำลังคิดมิดีมิร้ายกับกูอยู่รึเปล่าเนี่ย"
คำพูดมันเล่นเอาคิ้วผมกระตุกเลยจริงๆ เหอะ...ใครกันแน่ที่คิดไม่ดี
คร้านจะสนใจเลยไม่ตอบอะไรกลับไป
นับหนึ่งย่นคิ้วแล้วหาเรื่องชวนผมคุยแล้วดูเรื่องที่มันชวนผมคุย "ควินซ์ วันนี้ซื้อหุ้นตัวไหนดี"
"วันนี้ตลาดหุ้นปิด" เสาร์อาทิตย์ ตลาดหุ้นที่ไหนจะมาเปิดให้มึง
"ลืม" นักธุรกิจหนุ่มหน้าแดงขึ้นมาแล้วอึกอัก "งั้นกลางวันกินอะไรดี"
เออ ในที่สุดก็รู้จักถามอะไรที่มันเป็นผู้เป็นคนกับเขาสักที
"คงเดินซื้อของก่อนสักพักแล้วค่อยหาร้านอาหาร" ผมหลุบตามองหน้าจอไอแพด "มีร้านอาหารน่าสนใจเยอะ มึงอยากกินอะไรเป็นพิเศษมั้ย"
ถามออกไปตามความเคยชินที่ทุกครั้งมักยึดความเห็นของนับหนึ่งเป็นหลัก แต่คราวนี้นับหนึ่งกลับแย่งไอแพดไปจากมือผมแล้วกดจิ้มๆ เลือกร้านอาหารเอง
"มึงชอบกินหม้อไฟไม่ใช่เหรอ กินหม้อไฟหมาล่ากัน" เสียงทุ้มต่ำว่าเรียบๆ พลางค้นหาร้านหม้อไฟไปด้วย
ผมเงียบไปเล็กน้อยแล้วขัดเบาๆ "สั่งหม้อยวนยางมาแล้วกัน มึงกินเผ็ดไม่ค่อยได้"
"เออ รู้แล้ว"
ปล่อยให้ท่านประธานตบตีหาร้านไปส่วนผมนั้นพอไม่มีไอแพดแล้วก็รู้สึกไม่มีอะไรเล่นเลยหยิบหนังสืออกมาอ่านเพื่อสงบจิตสงบใจ ความจริงแล้วทุกครั้งที่ไปกินหม้อไฟ นับหนึ่งมักชิงสั่งก่อนแล้วไม่ได้สั่งหม้อยวนยางแล้วน้ำซุปที่ได้ก็จะเป็นแบบไม่เผ็ด ผมเป็นคนกินเผ็ดแต่ให้กินน้ำซุปจืดๆ ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
แต่พอนับหนึ่งบอกจะกินหม้อไฟหมาล่ามันก็แอบทำให้ผมหวั่นไหวนิดหน่อย บางครั้งการได้รับความใส่ใจเล็กๆ น้อยๆ มันก็มากพอที่จะทำให้กำแพงสูงลดหลั่นลงมา
"บ่นแต่กู มึงก็กินเผ็ดให้น้อยๆ ลงด้วย" นับหนึ่งว่าเสียงเข้ม "เมื่อก่อนที่กูไม่สั่งหม้อไฟหมาล่าให้มึงเพราะช่วงนั้นมึงโรคกระเพาะกำเริบบ่อย ฮึ รู้ไว้ซะด้วย"
นี่มันกำลังแอบบอกทางอ้อมว่าใส่ใจผมมานานแล้วแต่ผมเสือกไม่รู้เอง
ถ้าเป็นคนอื่นคงปลาบปลื้มประทับใจแต่สำหรับผมเหรอ
"ไม่ต้องอ้างเหตุผลสวยหรูหรอก ไอ้ป๋า" แววตาผมเรียบเฉยไม่มีร่องรอยอารมณ์พลางเปิดหนังสือทีละหน้าช้าๆ
"ตอนนั้นกูโรคกระเพาะกำเริบที่ไทยไม่ใช่จีน"
"!!"
"อีกอย่างโรคกระเพาะกูหายดีมาตั้งนานแล้ว"
จะหาเหตุผลน่าประทับใจมาให้ผมหวั่นไหวก็เอาให้เนียนหน่อยเถอะ
เฮ้อ ไอ้บอสกากเอ๊ย!
และหลังจากถูกผมแฉความจริงไป นับหนึ่งก็ไม่พูดไม่จาตลอดทางเอาแต่นั่งก้มหน้าหาร้านหม้อไฟ ผมยกมุมปากยิ้มอย่างพึงพอใจที่ได้กลั่นแกล้งคน
ผ่านไปนานพอสมควรและแล้วพวกเราก็มาถึงถนนแคนตั้น หรืออีกชื่อคือถนนแบรนด์เนมที่โด่งดังในฮ่องกง ร้านช็อปแบรนด์ไฮเอนมาเปิดที่นี่มากกว่าเจ็ดร้อยร้านดังนั้นที่นี่จึงเป็นแดนสวรรค์ของผมสุดๆ
"หนึ่ง เลิกหน้างอได้แล้ว" ผมเริ่มต้นพูดก่อนอย่างทนไม่ไหวกับสงครามเย็นฉบับเด็กโข่งขี้งอน
"ฮึ!" สะบัดหน้าหนี
"ถ้ามึงไม่พูด งั้นวันนี้เราไม่ต้องพูดกันทั้งวันเลยดีมั้ย"
หันกลับมาแทบไม่ทัน "ไม่เอา!" ก่อนจะหายใจฮึดฮัดไม่พอใจ "มึงอ่ะ! กูโกรธนะ!"
"อับอายจนโกรธเลยเหรอ อ่อนว่ะ" ผมยิ้มเหยียดแล้วมองดูร้านทางขวามือ "มึงว่าสูทตัวนี้เป็นไง"
"ธรรมดาไป" นับหนึ่งถอนหายใจอย่างเซ็งๆ ที่ผมไม่ยอมง้อสักแอะเลยล้มเลิกความคิดที่จะงอน หันหน้าไปตามปลายนิ้วที่ชี้ก็พบสูทในหุ่นโชว์มองเล็กน้อยแล้วเงยหน้ามองชื่อแบรนด์ก็พบว่าเป็นแบรนด์ดังใช่ได้เลยพยักหน้า "อยากได้สูทก็สั่งตัดเลยสิ"
"แต่สูทที่ตัดมาคราวก่อนยังไม่ได้ใส่เลย" ผมลูบคางไปมา "ยังไม่เอาดีกว่า ไปดูรองเท้าเถอะ"
ผมมีแบรนด์รองเท้าที่ชอบอยู่เยอะทีเดียว ร้านแรกที่เลือกเข้าไปคือแบรนด์ดังของอิตาลี ผลิตรองเท้าผู้ชายโดยเฉพาะ รูปแบบสไตล์ดูดีมาก นับว่าเป็นแบรนด์ที่ตรงกับใจผมที่สุดเลยก็ว่าได้ แต่ไม่ใช่สไตล์ของนับหนึ่งดังนั้นบอสหนุ่มจึงไปนั่งรอตรงมุมรับรองแล้วปล่อยให้ผมเลือกไป
"สีไหนดี เนบิวล่า" ผมหันไปถามเด็กหนุ่มที่เดินดูรองเท้าเป็นเพื่อนอย่างขอความเห็น
เนบิวล่าเกาหัวแกรกๆ มองสลับไปสลับมาก็ยังตัดสินใจไม่ได้เลยส่ายหัวบอกไม่รู้ ดังนั้นผมจึงหันไปเรียกนับหนึ่งให้มาช่วยเรียก เรื่องเสื้อผ้าวางใจให้หมอนี่ช่วยเลือกได้ มีเซ้นต์ด้านแฟชั่นพอด้วยอยู่เหมือนกัน
คนถูกเรียกวางแก้วน้ำในมือลงก่อนจะลุกมาหาผมด้วยใบหน้างงๆ "มีอะไร"
"ช่วยเรียกรองเท้าหน่อย" ชี้นิ้วให้ดูที่ชั้นวาง "สีไหนเหมาะกับกู"
เมื่อนับหนึ่งเดินเข้ามา เนบิวล่าจึงรีบถอยออกไปแล้วปล่อยให้พวกเราเลือกซื้อของกันตามสบาย จะบอกว่าตอนนี้ทั้งร้านแทบจะมีแค่พวกเราแล้ว พวกบอดี้การ์ดไม่เข้ามาในร้านก็ยังไม่อะไรแต่เฮียแกด้านพากันยืนล้อมหน้าร้านไว้ขนาดนี้ ลูกค้าคนอื่นไหนเลยจะกล้าเข้า
ผมได้แต่แอบขอโทษขอโพยผู้จัดการสาขานี้ในใจและพยายามรีบเลือกรองเท้าในเร็วขึ้น นับหนึ่งขมวดคิ้วมองดูรองเท้าที่ผมยังเลือกไม่ได้เงียบๆ ก่อนจะพูดว่า "สวยทั้งคู่"
ใช่มั้ยเล่า มันสวยทั้งคู่เลยตัดสินใจเลือกซื้อไม่ได้สักที
ไม่ว่าจะคู่ไหนก็ล้วนเข้ากับเสื้อผ้าได้ง่าย
"งั้นคู่นี้ดีมั้ย" ชี้ไปที่คู่สีดำ "แต่...สีขาวก็สวย"
สุดท้ายผมก็ตัดสินใจไม่ได้อยู่ดีจึงเผยสีหน้าหนักใจออกไป นับหนึ่งกวักมือเรียกพนักงานแล้วสั่งเสียงเรียบ "เอารุ่นนี้ ทั้งสองสีเลย ไซส์ 8 ยูเค "
ผมหันไปมองนับหนึ่งอย่างพูดไม่ออกและไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะรู้เบอร์รองเท้าของผม จำได้ว่ามันเคยไปเป็นเพื่อนผมซื้อรองเท้าแค่สองสามครั้งเองแล้วก็ไม่ได้สนใจด้วยว่าผมจะซื้ออะไร นั่งอ่านนิตยสารรอทุกครั้งไป
"ซื้อคู่เดียวก็พอ" ผมเค้นเสียงตัวเองอยู่นานกว่าจะพูดออกไปได้สักประโยค
"ถ้าชอบก็ซื้อ" นับหนึ่งยื่นการ์ดสีดำให้กับพนักงาน "แค่รองเท้าสองคู่ กูซื้อให้ได้"
แววตาของผมมองมันด้วยความหมั่นไส้ "รวยจริงๆ เลยนะ"
"แน่นอน" เชิดคางไม่มีการถ่อมตัวสักนิด
"งั้นซื้อให้กูทั้งร้านเลยสิ" ผมประชดอย่างทนไม่ไหวกับคนรวย น่าหมั่นไส้! อย่าให้กกูรวยนะ กูซื้อโรงงานผลิตรองเท้าแน่!
นับหนึ่งชะงักเล็กน้อยก่อนจะทำหน้าครุ่นคิดแล้วสบตาผมอย่างจริงจัง "ได้"
"เฮ้ย" กูตาโตแล้วส่ายหน้า "กูล้อเล่น"
"แต่...มึงต้องเป็นแฟนกูก่อนนะถึงจะเหมาให้ทั้งร้าน" นับหนึ่งยิ้มกริ่มพลางยักคิ้วให้ผมอย่างยียวน "ตอบสิ ตกลง ตอบๆ"
บ้านไหนเขาขอเป็นแฟนแบบนี้ฮะ ผมล่ะเพลียใจกับมัน
"เอาสองคู่พอ" ผมเมินมันและทำเป็นไม่ได้ยินประโยคก่อนหน้านี้ "ไปๆ รีบไปจ่าย เดี๋ยวต้องไปร้านอื่นต่อ"
"เฮ้ย ควินซ์"
"โอเค กูไปรอนอกร้านนะ" ตบไหล่แล้วฉีกยิ้มหวานให้ตบท้ายจากนั้นก็ลากเนบิวล่าออกมาด้วย ปล่อยให้นับหนึ่งอยู่ในร้านคนเดียว
หลังจากออกมาจากร้านแล้วเนบิวล่าโพล่งขึ้นทันที "คุณก็ไปแกล้งคุณชาย"
"สนุกดีออก" ผมยิ้มบางแล้วสอดมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค๊ตพลางมองทะลุกระจกเข้าไปในร้านเพื่อมองดูนับหนึ่ง
"คุณชายชอบคุณ" เนบิวล่าไม่รู้จะพูดยังไงเลยพูดตรงๆ ไปเสียเลย "คุณควินซ์อ่อนโยนกับเขาหน่อยนะครับ ถือว่าสงสารคนกาก เอ๊ย คนจีบคนไม่เก่งด้วย"
ผมหัวเราะเมื่อได้ยินคำด่าหลุดมา "ฉันอ่อนโยนกับเขาที่สุดแล้ว"
บนโลกนี้คนที่ดีกับเขา
อ่อนโยนกับเขามากที่สุด
ถ้าบอกว่าผมเป็นที่สองคงไม่มีใครกล้าเป็นที่หนึ่ง
นับจากที่ผมชอบเขามาเป็นเวลานานซะจนไม่รู้แล้วว่านานแค่ไหน จนทุกวันนี้ก็ยังคงชอบเหมือนเดิมแม้ว่าหลายปีมานี้จะต้องเห็นเขาอยู่กับคนอื่นมากหน้าหลายตา ผมยังคงสงบนิ่งได้
แถมตอนนี้ผมยังให้โอกาสเขาด้วย
นับว่าการกระทำของทำตอนนี้ก็อ่อนโยนสุดๆ แล้ว แค่หยอกนิดหยอกหน่อยเจ็บจี๊ดๆแสบๆ คันๆ ซะบ้าง อะไรที่ได้มาง่ายไปก็มักถูกเบื่อได้ง่าย
"อีกอย่าง..."
แววตาของผมสั่นไหวมีระลอกคลื่นความหวาดกลัวเจืออยู่
"ฉันให้แน่ใจว่าเขารักฉันจริงๆ"
"กูหิวแล้ว พอก่อน เดี๋ยวค่อยช้อปต่อ!"
ในขณะที่กำลังจะบอกให้ไปร้านกระเป๋า เสียงโหยหวนของนับหนึ่งได้ดังขึ้นขัดเจตนาของผม ชะงักงันไปชั่วครู่แล้วหยิบดูเวลาพบว่าเกือบบ่ายสองแล้ว
ตอนแรกวางแผนซื้อของสักสองสามร้านแล้วจะไปกินหม้อไฟแต่ดันเพลินไปสักหน่อยเลยเดินเข้าออกไปมากกว่าแปดร้านแล้ว และแถมยังของที่ซื้อมาก็...
"งั้นคนอื่นๆ เอาของไปเก็บที่รถก่อนแล้วค่อยตามมากินหม้อไฟแล้วกัน" มองคนนับสิบที่ตอนนี้เกินครึ่งต่างถือถุงช้อปปิ้งพะรุงพะรังแล้วก็ได้แต่ขอโทษในใจ
ความจริงผมซื้อไม่เท่าไรหรอกแต่คนจ่ายสิ อันนี้สวย อันนั้นเหมาะกับผมก็ซื้อๆๆ ลูกเดียว อันไหนมีสีให้เลือกเยอะ เขาก็เหมามาทุกสี
วิถีคนรวยนี่มันน่าหมั่นไส้จริงๆ
"ไปๆ ไปกินหม้อไฟ" บอสหนุ่มคว้าข้อมือจูงผมเดินไปอีกถนนหนึ่ง
"มึงเดินนำนี่คิดว่าจะไม่หลงทางใช่มั้ย" ผมอมยิ้มเล็กน้อย "คราวก่อนไปปารีส บอกจะพาไปร้านกระเป๋ายังพากูหลงไปไกล"
"คราวนี้ถูกแน่นอน!" ทำหน้าขึงขังจริงจัง
ให้มันจริงเถอะ คุณชายจอมหลงทาง
เคยบอกแล้วว่านับหนึ่งมันเป็นคุณชายที่มีทักษาะการใช้ชีวิตติดลบ แน่นอนว่าทักษะทิศทางเองก็แย่ไม่น้อยเวลาไปที่ที่ไม่คุ้นเคย ไม่อยากจะบอกเลยว่าขนาดในกรุงเทพมันยังหลง
ถ้ามันขับรถเองมักจะใช้เส้นทางเดิมๆ เพราะถ้าหากเปลี่ยนเป็นเส้นทางใหม่ปุ๊บจะหลงทันที ต่อให้มันดูจีพีเอสหรือป้ายบอกทางก็ยังหลงได้ง่ายๆ
คราวนี้มาถูกแบบไม่หลงจริงๆ ด้วย ผมเงยหน้ามองป้ายร้านหม้อไฟขนาดใหญ่แล้วหันไปมองนับหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างเชิดหน้าภูมิอกภูมิใจ เห็นแล้วนี้แล้วมันคันไม้คันมืออยากตีหัวสักที
"เห็นมั้ย กูมาถูก ไม่หลง" ยืดอกสุดๆ แล้วทำหน้าเหมือนอยากจะให้ผมชม
ผมพยักหน้าสองสามที "เออ เก่ง มึงเก่งมาก"
พอใจยัง พอใจแล้วก็เข้าร้าน!
เป็นผมที่เดินนำเข้าร้านมาก่อนเลยทำให้ผมไม่ได้ยินที่ประโยคงึมงำพูดคนเดียวของนับหนึ่ง
"มาถูกบ้าอะไร กูหลงต่างหาก"
ร่างสูงบ่นอยย่างหงุดหงิดแล้วมองชื่อร้านหม้อไฟเล็กน้อยแล้วส่ายหัว อันที่จริงเขาจะไปอีกร้านต่างหากแต่ในเมื่อหลงทางแล้วมาเจอร้านอื่นก็ต้องเข้าไปก่อนเพื่อรักษาหน้าหล่อๆ ไว้
"โชคดี โชคดี โชคที่หน้าไม่แตก ฟู่ว"
ยกมือลูบอกสามสี่คงแล้วรีบเดินตามคนตัวเล็กกว่าเข้าไปข้างในร้าน...
"มึงวางเลย ไอ้หนึ่ง มึงวาง!"
"กูกำลังแกะกุ้งให้มึงอยู่นะ"
"ไม่ต้อง! กูแกะเอง!"
"ไม่เอา กูจะแกะให้"
"มึงแกะ กูคงได้กินแค่เนื้อเละๆ"
"กูแกะไม่ดีตรงไหน!"
ยังจะมีหน้ามาถามอีกเหรอ!
ผมอยากจะเอาหัวโขกโต๊ะจริงๆ เมื่อได้มองสภาพกุ้งแม่น้ำตัวโตที่ตอนนี้ถูกชำแหละจนแทบไม่เหลือสภาพดีๆ แล้วแอบรู้สึกปวดใจจริงๆ
เสียดายของ!
แต่ว่าไม่ว่าจะพูดยังไง กล่อมแค่ไหน นับหนึ่งมันก็ไม่ยอมท่าเดียว บอกอยากแกะกุ้งให้ผมกิน ค่อนข้างแปลกใจเลยที่คุณชายผู้คทำอะไรไม่เป็นคนนี้กำลังพยายามเอาอกเอาใจดูแล
"กูจะได้กินชาตินี้มั้ย" ผมกะพริบตาปริบๆ แล้วถอนหายใจเล็กน้อยหันมาคีบเนื้อหมูออกจากหม้อมาเป่าสองสามทีแล้วค่อยยัดใส่ปาก
"ชาตินนี้ วันนี้ ตอนนี้แหละ" นับหนึ่งยังคงไม่ละความพยามและในที่สุด "อะ เสร็จแล้ว"
มองเนื้อกุ้งขาวอวบไม่เป็นชิ้นเป็นอันเท่าไร ดูเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแทบมองไม่อกว่าเป็นกุ้งเลยจริงๆ
"กินสิ" นับหนึ่งเห็นผมเอาแต่มองไม่ยอมกินสักทีก็คะยั้นคะยอ
"รู้แล้ว"
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียน้ำใจหลังจากกินหมูหมดคำแล้วจึงหันมากินกุ้งแม่น้ำที่เพื่อนสนิทตั้งใจแกะให้ พอมันเห็นผมกินแล้วค่อยคลี่ยิ้มพึงพอใจและแกะกุ้งตัวต่อไป
เห็นกุ้งถูกทำร้ายแบบนี้แล้วใจเจ็บเลือดไหลซิบๆ เลยทีเดียว เห็นมันแกะไปแล้วห้าตัว ผมก็ขอร้องให้หยุดแล้วขอแกะให้มันกินบ้าง เมื่อมีข้ออ้างดีขนาดนี้มีหรือนับหนึ่งจะปฏิเสธ
นั่งรอเป็นเด็กดีพับเพียบเรียบร้อยรอคอยกุ้งที่ผมแกะให้
แน่นอนว่ากุ้งที่ผมแกะกับนับหนึ่งแกะนั้นต่างแตกราวฟ้ากับเหว แอบเห็นสีหน้าแปลกๆ มองเทียบกุ้งของตัวเองกับผมแล้วมุ่ยหน้า ผมไม่ทำให้พูดเยาะเย้ยหรือทำอะไรให้มันลำบากใจ หลังแกะกุ้งใส่จานให้นับหนึ่งแล้วก็หันมากุ้งเนื้อกุ้งไม่เป็นชิ้นเป็นอันที่มีคนตั้งใจแกะให้ตามเดิม
สีหน้าของนับหนึ่งจึงดูดีขึ้นไม่น้อย หันกลับไปจัดการกุ้งในจานตัวเองบ้าง
มุมปากของผมยกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะหุบลงเพื่อไม่ให้คนบางคนได้ใจมากเกินไป และแล้วมื้อกลางวันหม้อไฟก็จบลงอย่างสวยงาม เล่นเอาจุกท้องไปหมดแต่มันก็ไม่ใช่อุปสรรคต่อการเดินช้อปปิ้งต่อ
ถือว่าเป็นการเดินย่อยอาหารไปในตัวไง หึหึ
"มึงไม่มีอะไรอยากได้บ้างเหรอ"
หลังจากออกมาจากร้านกระเป๋าแล้วอดไม่ได้ที่จะถามพ่อบัตรเครดิตของวันนี้ว่าไม่คิดจะซื้ออะไรสักหน่อยเหรอ ตอนนี้มีแต่ของผมที่น่าจะรูดเงินของนับหนึ่งไปเกือบสิบล้านแล้ว
เริ่มคิดว่าควรพอแล้วเพราะไม่รู้ว่าเอาเงินหมอนี่มาเยอะแล้วจะต้องถูกใช้งานหนักขนาดไหน
"ไม่" มันเดินล้วงกระเป๋ากางเกงมองไปตามร้านรวงช้อปแบรนด์สองฝั่งถนน "เสื้อผ้าข้าวของกูปกติพ่อบ้านซื้อให้หมดแล้ว"
เออ ก็จริง
เรื่องเสื้อผ้ารองเท้ากระเป๋าเครื่องประดับบนตัวนับหนึ่งจะมีพ่อบ้านคอยดูแลและจัดซื้อเข้าตู้ทุกๆ เดือนและทุกๆ ครั้งที่คอลเลคชั่นโปรดออกใหม่ อีกสัปดาห์ต่อมาพวกมันก็จะมาอยู่ในตู้ของนับหนึ่งเป็นอันเรียบร้อย
"ไปร้านไหนต่อ?" นับหนึ่งเอี้ยวคอมามองผมเป็นเชิงถามเมื่อเห็นเดินผ่านมาหลายร้านแล้วแต่ผมยังไม่หยุดเดิน
"ไม่แล้ว" ส่ายหัวหันไปมองถุงช้อปปิ้งรอบบ่ายในมือบอดี้การ์ด "แค่นี้ก็เยอะแล้ว"
"งั้นกลับบ้านหรืออยากไปเที่ยวไหนต่อมั้ย"
"กลับบ้านก่อนแล้วกัน" ผมพลิกดูเวลาแล้วครุ่นคิด "กลับไปพักสักหน่อยแล้วตอนค่ำค่อยออกมาหาอะไรกิน"
ตกลงกันเรียบร้อยแล้วจึงเปลี่ยนเส้นทางเดินตามหลังผู้ติดตามไปยังรถของพวกเรา เมื่อได้นั่งลงบนเบาะนุ่ม ความเมื่อยล้าที่ตลอดเวลาตอนช้อปปิ้งไม่มีให้เห็นแต่พอได้นั่งแล้วเล่นเอาร้องโอดโอยเลย
ระหว่างนั่งรถกลับบ้านไม่มีใครพูดอะไรออกมาเพราะต่างคนต่างล้า ผมเองก็ไม่รู้ตัวว่าเผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหน ตื่นมาอีกทีสิ่งแรกที่เห็นไม่ใช่เพดานรถแต่เป็นโคมไฟแชนเดอเรียขนาดใหญ่
ยกมือขยี้ตาแล้วนวดขมับเล็กน้อยเพื่อคลายอาการปวดหัวหลังตื่นนอน สร่างง่วงขึ้นมาบ้างจึงขยับตัวลุกขึ้นนั่งเอนหลังพิงพนักหัวเตียงแล้วค่อยสังเกตรอบตัว
ตอนนี้ผมอยู่ในห้องนอนหรูหราอันเป็นห้องเดียวกับเมื่อเช้าที่เข้ามาเก็บของ
คำถามคือ...ใครเป็นคนอุ้มผมมานอนที่เตียง
นับหนึ่งงั้นเหรอ
"ก็น่าจะเป็นไปได้"
คิดเสร็จแล้วก็เลิกผ้าห่มลงจากเตียงไปล้างหน้าล้างตาให้ตื่นมากกว่านี้ จากนั้นค่อยลงมาด้านล่างเพื่อหาตัวคุณชายนับหนึ่งแล้วก็พบเขาที่ห้องโถงนั่งเล่นจริงๆ
แล้วยังกำลังนั่งทำงานอยู่ด้วย กองแฟ้มเอกสารประมาณสิบแฟ้มหนาๆ ทำเอาผมย่นคิ้วเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจว่ามันมาจากไหนและมาได้ยังไง
เดินย่ำเท้าไปตามพรมนุ่มแล้วนั่งลงข้างๆ นับหนึ่งจากนั้นหยิบแฟ้มงานมาดูทีละแฟ้มก็พบว่ามันเป็นภาษาจีนทั้งหมด กวาดตาอ่านอยย่างรวดเร็วก็ร้องอ้อ "นี่...ละครที่เราลงทุนใช่มั้ย"
สองเดือนก่อนคล้ายว่านับหนึ่งจะอนุมัติการลงทุนละครสองเรื่องซึ่งสร้างมาจากนิยายชื่อดัง เรื่องหนึ่งเป็นพีเรียดย้อนยุค ส่วนอีกเรื่องแนวรักสืบสวน
"อืม ตอนนี้กำลังเลือกนักแสดง" เปิดแฟ้มดูอย่างเอื่อยเฉื่อย "พวกโปรดิวเซอร์เอามาให้เราดูก่อนว่ามีเจาะจงอยากให้ใครรับบทรึเปล่า"
"คุณจะให้บทกับนักแสดงเราเหรอ" เมื่อเข้าสู่โหมดทำงาน สรรพนามจึงเปลี่ยนไป
"คงเลือกให้ไปเข้ารอบออดิชั่น" พลิกกระดาษช้าๆ "แต่สุดท้ายใครจะได้บทอะไร นักเขียนต้องเลือกเอง"
"ให้นักเขียนเลือกก็ดี ยังไงคนที่รู้จักตัวละครดีที่สุดก็ต้องเป็นคนที่สร้างตัวละครขึ้นมา" ผมพยักหน้าเห็นด้วยที่นับหนึ่งไม่ได้ใช้อำนาจเส้นสายในการแย่งงานให้เด็กในสังกัดอย่างน่าเกลียด
แค่ดันเข้ารอบออดิชั่นได้ทดสอบก็ดีมากแล้ว
พวกเราเพิ่งตั้งบริษัทในจีนยังไม่มีอิทธิพลมากที่จะทำอะไรได้ตามใจเหมือนในไทย จะทำอะไรก็ต้องระวังแม้ว่าจะมีพี่ออสตินหนุนหลังเป็นที่พึ่งที่ยิ่งใหญ่อยู่ก็ตาม
"แต่บทตัวประกอบลำดับหนึ่งยังพอยัดได้อยู่" บอสหนุ่มเมื่อเข้าโหมดจริงจังแล้วดูเคร่งขรึมขึ้นเยอะ "เด็กคนนี้ประวัติดี ฝีมือการแสดงไม่มีปัญหา ขาดแค่โอกาส"
ผมรับแฟ้มนั้นมาดูรูปและประวัติของนักแสดงหนุ่มเล็กน้อย "รูปลักษณ์แบบนี้ สาวๆ ชอบเยอะ เราดันนิดๆ หน่อยๆ ก็คงไปได้ไกล" ดูจากรายชื่องานที่เคยร่วมมาแล้วนับว่าเป็นเด็กมีของมีฝีมือแต่ยังขาดบทเด่นๆ
"น่าเสียดายที่คาแรคเตอร์ไม่ตรงกับบทพระเอก" บ่นเสียดายแล้วเปิดดูแฟ้มฝั่งดารานักแสดงหญิงบ้าง "ฉันดูบทละครคร่าวๆ แล้ว มีนักแสดงหญิงของเราสองคนที่น่าจะได้บทนางเอก รูปลักษณ์ตรงแต่สุดท้ายก็ต้องไปวัดที่นักเขียนจะชอบรึเปล่า"
ผมพยักหน้ารับแล้วจัดการแกะเอกสารข้อมูลของนักแสดงที่ถูกเลือกมาไว้ในแฟ้มเดียวกัน ใครที่ไม่ถูกเลือก ผมให้คนมายกแฟ้มที่ไม่ได้ใช้ออกไป ไม่นานแฟ้มเป็นสิบก็เหลือเพียงสามสี่แฟ้มเท่านั้น
ในตอนที่นับหนึ่งทำท่าจะหยิบแฟ้มออกมาเลือกนักแสดงต่อแต่ตอนนี้มันหนึ่งทุ่มแล้วและเราสองคนยังไม่ได้กินอะไร ดังนั้นจำเป็นต้องหยุดและพัก
"เดี๋ยวค่อยมาดูต่อ" ยื่นมือไปดึงแฟ้มออกจากมือคู่ใหญ่ "พักเบรกไปกินข้าวกันก่อน"
นับหนึ่งดูมึนงงเล็กน้อยเมื่อแฟ้มในมือหายไปแต่ก็พยักหน้า "โอเค อยากกินอะไรเป็นพิเศษมั้ย"
"อะไรก็ได้" ตอนนี้สมองค่อนข้างโล่ง
โล่งซะจนคิดไม่ออกว่าจะกินอะไร ไปร้านไหน เราเองก็ไม่ได้มาฮ่องกงบ่อยๆ ไม่ค่อยรู้อยู่แล้วว่าร้านไหนเด่นร้านไหนอร่อยควรไปลิ้มรส
นับหนึ่งนิ่งไปเหมือนกำลังคิดว่าจะไปกินอะไร "มึงไปหาเสื้อหนาๆ ใส่หน่อย ที่นี่อากาศเย็น"
แม้ว่าจะยังไม่ใช่หน้าหนาวแต่อากาศมันก็เย็นกว่าบบ้านเรา ผมพยักหน้าแล้วขึ้นไปเอาเสื้อคลุมและไม่ลืมที่จะแวะไปหยิบเสื้อมาให้นับหนึ่งด้วย
เมื่อลงมาอีกครั้งพลันเห็นนับหนึ่งกำลังสั่งอะไรบางอย่างกับเนบิวล่าอยู่ ดูมีลับลมคมในสุดๆ พอพวกเขาเห็นผมลงบันไดมาต่างคนต่างทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ทันควัน
แหม ไม่มีพิรุธเลยมั้ง
"มาแล้วเหรอ ไปกันเถอะ" นับหนึ่งโบกมือให้เนบิวล่าออกไปก่อน
"อืม" เดินเข้ามาใกล้แล้วส่งเสื้อคลุมให้ "แล้วจะไปกินข้าวที่ไหนดี"
"ความลับ" รอยยิ้มเจ้าเล่เผยออกมาให้เห็น "แต่รับรองมึงต้องชอบแน่ๆ"
"งั้นเหรอ" ทำหน้าไม่เชื่อ
"ไม่เชื่อก็คอยดู"
จ้า รอดูเลยจ้า
นับหนึ่งถลึงตาใส่ผมทีหนึ่งแล้วจับมือผมลากเดินออกจากบ้าน แต่ว่านะ...จะจับมือทำไมเนี่ย อยากสะบัดออกแต่สัมผัสอุ่นๆ ในอุ้งมือใหญ่มันให้ความรู้สึกดีมาก
ดีซะจนไม่อยากถอนมือออก
เมื่อมือถูกปล่อยออก ตัวผมแอบรู้สึกเสียดายนิดหน่อยอย่างไม่รู้ตัว และพอรู้ตัวก็อดไม่ได้ที่ที่จะหน้าแดงขึ้นมา ทั้งที่ตัวเองก็เริ่มแก่แล้วนะ ยังจะมาเขินอะไรเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้อยู่อีก
พยายามเก็บอาการโดยระหว่างนั่งรถไปร้านอาหารนั้นผมได้แต่นั่งเล่นเกมในโทรศัพท์ ส่วนนับหนึ่งนั่งเล่นไอแพดของผมไปอย่างคนไม่มีอะไรทำ แล้วไอ้เล่นของมันดันไม่เหมือนชาวบ้าน
นั่งอ่านข่าวเศรษฐกิจเล่นอย่างงี้ เฮ้อ
ผ่านไปนานเกือบชั่วโมงเหมือนกันและแล้วในที่สุดพวกเราก็มาถึงจุดหมายปลายทางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
"อ่าววิคตอเรีย?"
มองไปรอบๆ แล้วเลิกคิ้วเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าจะไปร้านอาหารเหรอ แล้วมาทำอะไรที่นี่? ล่องเรือชมวิวยามค่ำคืนเหรอ แต่จะว่าไปเหมือนจะมีโซนห้องรับประทานอาหารอยู่นี่
"ไปกันเถอะ" ไม่ปล่อยให้ผมยืนครุ่นคิดนาน มือใหญ่ยื่นมาจับมือผมอีกครั้ง
ท่ามกลางอากาศเย็นเล็กน้อยเมื่อได้สัมผัสอะไรที่มันมีอุณหภูมิสูงกว่าเล็กน้อยแล้วมันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอุ่นร้อนไปถึงข้างในภายในใจ ผมเงยหน้ามองเสี้ยวหน้าด้านข้างของนับหนึ่งแล้วเผลอมองเหม่อไปนานทีเดียว แสงไฟสลัวตามทางสาดกระทบเครื่องหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มวัยสามสิบสองที่ยังคงหนุ่มแน่นไร้ริ้วรอยของวัย
บางทีก็รู้สึกอิจฉาดีเอ็นเอผู้ชายบ้านนี้อยู่เหมือนกันนะ พี่ไอศูรย์กับพี่ออสตินใกล้สามสิบห้าแล้วแต่ยังดูเด็กอยู่เลย เฮ้อ ผมนี่สิ ตีนกาเริ่มมาแล้ว
คิดอะไรเพลินๆ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนขึ้นเรือสำราญมาแล้ว กะพริบตาเรียกสติเล็กน้อยพร้อมกวาดสายตามองไปรอบๆ ตัวแล้วพบว่าไม่มีนักท่องเที่ยวเลยสักคน มีเพียงคนของพวกผมและพนักงานบนเรือเท่านั้น
"มึงเหมาเรือ?" คิดออกได้แค่อย่างเดียวเท่านั้น
"ขึ้นไปบนดาดฟ้ากันดีกว่า" มันไม่ตอบแต่การไม่ตอบก็คือคำตอบ
ผมส่ายหัวให้กับการใช้เงินไม่บันบะบันยังของนับหนึ่ง คิดจะเหมาก็เหมาง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอ เออ รู้แล้วว่ารวย รวยอภิมหารวยแต่ว่าช่วยประหยัดหน่อยก็ดี
หลังจากขึ้นไปถึงดาดฟ้าเรือแล้วเรือสำราญก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากฝั่ง ผมกวาดตามองดูโต๊ะ โซฟามากมายที่ไร้คนนั่งแอบรู้สึกวังเวงมากกว่าโรแมนติกซะด้วยซ้ำ
พอจะรู้ตัวบ้างแล้วว่านับหนึ่งกำลังจะสร้างดินเนอร์แสนโรแมนติกให้ผมประดับใจแต่ว่านะ... สภาพตอนนี้มันยังห่างไกลกับคำว่าโรแมนติกพอสมควรแต่ผมจะไม่พูดออกไปแล้วกัน
เดี๋ยวคนกากจะเสียกำลังใจ
ยังดีที่ตามจุดตามมุมต่างๆ มีการจัดไฟประดับอย่างสวยงามและจุดเทียนหอมทำให้ได้กลิ่นหอมอบอวลในอากาศจึงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเยอะ ยิ่งมีสายลมอ่อนๆ ปะทะเข้ากับใบหน้าเนื้อตัวแล้วยิ่งรู้สึกดีกว่าเดิม
ผมลากนับหนึ่งไปยังหัวเรือเพื่อดื่มด่ำไปกับบรรยากาศแสนงดงาม
"ไม่คิดว่ากลางคืนจะสวยขนาดนี้" ผมพูดขึ้นขณะมองไปยังฝั่งอีกด้านที่เต็มไปด้วยตึกอาคารและแสงสีที่พอมองจากที่ไกลๆ แล้วมันสวยงามมาก
"ชอบก็ดีแล้ว" นับหนึ่งยิ้มผ่อนคลาย
"อืม สวยมาก" หันไปยิ้มให้นับหนึ่งอย่างจริงใจก่อนจะหันกลับไปชื่นชมดื่มด่ำกับบรรยากาศ พวกเรายืนอยู่ตรงหัวเรือเกือบสิบห้านาทีก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะที่อยู่ไม่ไกลแต่ดันถูกนับหนึ่งลากไปยังโต๊ะตรงกลางที่ตั้งอยู่ใจกลางเรือแทน
"นั่งโต๊ะนู้นเถอะ" มันว่าแบบนั้นแล้วลากผมเดินไป
"โต๊ะไหนก็เหมือนกันปะ" คิ้วย่นขมวดเข้าหากันหันไปมองโต๊ะมากมายรอบกายแล้วยิ่งไม่เข้าใจ
"ไม่ได้ ต้องโต๊ะนี้"
เมื่อเดินมาถึงโต๊ะที่นับหนึ่งต้องการแล้วตอนแรกผมยังไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมต้องเป็นโต๊ะนี้แต่หลังจากมาเห็นบางอย่างที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วพลันเข้าใจขึ้นมา
ยิ่งมองไปที่โต๊ะอื่นแล้วยิ่งเห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน
"นี่มึง..."
ตอนแรกดอกทิวลิปมันวางอยู่บนโต๊ะแต่ตอนนี้ถูกนับหนึ่งหยิบและถือไว้ เขายืนนิ่งมองผมอย่างจริงจังไม่หลบสายตา
"ความหมายของดอกทิวลิป..มึงรู้ใช่มั้ย" นับหนึ่งถามผม
ผมเม้มปากและพยักหน้าเบาๆ... ความรัก การขอโทษ และการเริ่มต้นใหม่
"ขอโทษที่ผ่านมาอาจจะทำไม่ดีทำให้มึงเสียใจ"
"..."
"ขอโทษที่กูมันโง่ รู้สึกตัวช้า"
เขายื่นดอกทิวลิปสีแดงให้ผม
"เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะ ควินซ์"
"..."
"ให้โอกาสกูนะ"