โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ณ เขตเชียงราย ภายในห้องพักผู้ป่วยรวม พยาบาลกำลังชี้แจงสาเหตุการสลบไปของลูกชายให้กับไพรินฟัง
"ปกติแล้วร่างกายมนุษย์จะสามารถดึงพลังมาใช้สกิลได้แค่หกสิบเปอร์เซ็นต์ แต่ลูกของคุณแม่เหมือนจะฝืนตัวเองจนใช้ถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์ นั่นเลยทำให้ร่างกายบีบคั้นตัวเองจนอวัยวะภายในได้รับบาดเจ็บ อย่างที่เห็นค่ะ"
ไพรินพยักหน้ารับรู้ พยาบาลก็พูดต่อ
"แต่ก็ไม่ต้องห่วงไปนะคะ เป็นเพียงแค่การบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น พักฟื้นสักสองสามวันเดี๋ยวก็หาย เอ่อไม่ทราบว่าลูกชายมีอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมต้องบีบคั้นการใช้สกิลขนาดนี้"
ไพรินส่ายหัว
"ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ"
"ไม่เป็นไรค่ะ แต่ยังไงก็อย่าให้ลูกชายหักโหมแบบนี้อีกนะคะ"
"ค่ะ"
เมื่อพยาบาลเดินออกไปชีฟก็ฟื้นคืนสติขึ้นมาพอดี อีฟที่ดูอยู่ตรงโซฟาสำหรับผู้มาเฝ้าผู้ป่วยก็ตะโกนเรียกแม่
"แม่ พี่ชายฟื้นแล้ว"
ไพรินรีบเดินมาดูลูกชายที่กำลังลุกขึ้นแล้วมองไปรอบ ๆ อย่างสงสัย
"เป็นไงบ้างลูก"
"แม่ ผมมาที่นี่ได้ไง"
"อีฟไปเจอลูกสลบอยู่กลางทุ่งนา แม่ก็นึกว่าลูกเป็นอะไรไปเลยโทรตามเรียกรถพยาบาล"
"อ้อ"
"ว่าแต่ทำไมลูกใช้พลังเกินตัวขนาดนั้นละลูก มีอะไรหรือเปล่า"
"เอ่อ พอดีผมอยากพัฒนาตัวเองให้เก่งกว่านี้ จะได้มีหนทางหาเงินได้หลาย ๆ ด้านนะครับ"
"ตอแหล!"
ชีฟหันขวับไปมองตามเสียงทันที ก่อนจะพบว่าเป็นเสียงทีวีที่กำลังฉายละครไทยน้ำเน่าอยู่
"หน็อย ทำเป็นอิดออด แต่ลึก ๆ ภายในเธอก็อยากได้คุณนิพนธุ์เป็นผัวใช่มั้ยละ"
ไพรินจ้องหน้าลูกที่อยู่ดีดีก็หันไปมองทีวี
"มีอะไรมั้ยลูก เดี๋ยวนี้ลูกชอบดูหนังแบบนี้ด้วยเหรอ"
ชีฟหัวเราะแห้ง ๆ แล้วตอบ
"เปล่าครับ แค่เสียงมันดังเกินไป"
"อืม แต่ลูกไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว"
พอถึงช่วงบ่าย หมอก็อนุญาตให้ชีฟเดินทางกลับบ้านได้ เพราะชีฟอาการไม่หนักมาก ระหว่างทางพวกเขานั้นเห็นโรงเรียนอนุบาลที่เด็กกำลังแรกของขวัญกันอย่างสนุกสนานเพราะใกล้จะปีใหม่ ไพรินและชีฟจึงคิดจะพาอีฟเข้าโรงเรียน แต่เจ้าตัวกับค้านหัวชนฝาและงอแงใส่ ทำเอาทั้งสองคนปวดหัวไม่ใช่น้อย แต่โชคดีที่เสาไฟหน้าโรงเรียนมีป้ายครูพิเศษรับสอนส่วนตัวติดอยู่ ชีฟจึงเสนอจ้างครูเหล่านี้มาสอนอีฟที่บ้านแทน ซึ่งค่าใช้จ่ายก็มีหลายระดับตามชั่วโมงการสอนและระดับชั้น โดยพวกเขานั้นเลือกราคาที่แพงที่สุดคือห้าล้าน จะเป็นการสอนตั้งแต่อนุบาลจนถึงปริญญาตรี ชีฟเป็นคนโทรหาเจ้าของใบปลิวและตกลงราคา ก่อนจะโอนจ่ายเงินแล้วนัดวันเริ่มเรียนให้แก่อีฟ
วันเสาร์ที่สามสิบธันวาคม วันนี้ครูที่จะมาสอนอีฟนั้นขอมาก่อนเวลา เนื่องจากครอบครัวของครูอยู่ต่างรัฐ จึงไม่มีใครร่วมฉลองปีใหม่ด้วย คุณครูจึงขอมาฉลองปีใหม่กับพวกเขา
ในยามเช้าชีฟเดินดูดกลืนสารอาหารเหล่าพืชพันธุ์ที่เขาปลูกเล่น ๆ ในทุ่งนาข้างบ้านเพื่อเพิ่มความสามารถ การดูดกลืนสารอาหารนั้นหากดูดมากพอพวกพืชก็จะสลายกลายเป็นผงไป
ในระหว่างที่ชีฟกำลังย่อยสลายพวกพืชอยู่นั้นรถเบนซ์คันหนึ่งก็แล่นมาจอดที่หน้าบ้านเขา ก่อนจะมีหญิงสาวผมสีน้ำตาลใส่แว่นลงมาจากรถ ชีฟจ้องมองอีกฝ่ายตาไม่กะพริบ เมื่อหน้าอกหน้าใจของเธอนั้น
"นี่มันเอฟเรียกพี่อีเรียกพ่อชัด ๆ"
ชีฟจ้องมองหญิงสาวที่ใส่เสื้อไหมพรมสีน้ำตาลและกางเกงยีนเดินไปที่หน้าประตูรั้วสีแดง แล้วตะโกนเรียกคนในบ้าน ชีฟที่เห็นดังนั้นก็รีบวิ่งไปต้อนรับทันที
"มาหาใครครับ"
หญิงสาวหันมามองชีฟ
"ฉันถูกจ้างให้มาเป็นครูสอนเด็กที่ชื่ออีฟค่ะ"
ชีฟยิ้มแช่ง ก่อนจะเปิดประตูรั้วให้
"บ้านหลังนี้แหละครับ เชิญเลย ๆ"
หญิงสาวคนนี้คือครูสอนของอีฟนั่นเอง คุณครูสาวคนนี้มีชื่อเล่นว่า 'น้ำตาล' มีอายุยี่สิบห้าปี เรียนจบปริญญาโท และที่สำคัญที่สุดคุณครูยังไม่มีผ..เอ๊ยโสดสนิทไร้ซึ่งชายใดมาเกี่ยวข้อง
อีฟที่รู้ว่าเป็นครูที่จะมาสอนตนก็ออกมาต้อนรับด้วยความสดใสร่าเริง เพราะอีฟนั้นดีใจที่จะไม่ต้องไปเรียนที่โรงเรียน
"คุณครูน้ำตาลสวัสดีค่ะ"
"สวัสดีจ้ะ อีฟใช่มั้ย"
"ค่ะ"
ไพรินที่เดินตามออกมาก็เข้ามาทักทายด้วย
"สวัสดีค่ะครูน้ำตาล"
"สวัสดีค่ะ อันนี้คงเป็นคุณแม่ไพรินใช่มั้ยคะ"
"ใช่จ้ะ ส่วนนั่นก็ลูกชาย ชื่อชีฟ"
ไพรินผายมือไปทางชีฟ
"สวัสดีจ้ะ"
"สวัสดีครับ"
บ้านของชีฟนั้นมีห้าห้องนอน เนื่องจากเมื่อก่อนเคยมีทั้งตายายและปู่ย่ามาอยู่ด้วยกัน แต่ตอนนี้พวกท่านนั้นเสียไปหมดแล้ว นั่นทำให้ตอนนี้มีห้องว่างให้ครูน้ำตาลพักอาศัยอยู่ได้พอดี
จากนั้นครูน้ำตาลก็ขับรถเข้ามาจอดในบ้าน และแม่ก็ให้การต้อนรับอย่างดีด้วยผลไม้หลากหลายชนิดที่ชีฟเร่งโตขึ้นมา
เช้าวันใหม่ อีฟก็ได้เริ่มเรียนหนังสือทันที อีฟชื่นชอบการเรียนการสอนแบบตัวต่อตัวกับครูน้ำตาลมาก เพราะมันทำให้เธอไม่ต้องออกจากบ้านไปไหน แถมเวลาเรียนก็น้อยกว่าการเข้าเรียนตามโรงเรียนเหมือนเด็กคนอื่น ๆ อีกด้วย
พอตกเย็นครูน้ำตาลก็พาอีฟออกมาปั่นจักรยานเล่นที่ถนนใหญ่ ถนนเส้นนี้เป็นถนนที่เชื่อมหมู่บ้านกับท้องนา นั่นทำให้มีรถสัญจรผ่านไปมาน้อยมาก โดยหากปั่นไปทางทิศตะวันออก ก็จะเจอบ้านเรือนที่มีลักษณะเป็นบ้านสวนปลูกอยู่ห่าง ๆ กัน เพราะเป็นทางเข้าหมู่บ้าน ชาวบ้านบางคนเลือกที่จะมาปลูกบ้านในที่นาเพื่อความสะดวกสบายในการทำนา เหมือนตายายของชีฟที่มาปลูกบ้านกลางที่นาของตน และเมื่อไปทางทิศตะวันตก ก็จะเป็นทุ่งนาแสนสวย โดยเมื่อมาทางนี้พวกเขาจะเจอแต่ทุ่งนา ที่ชาวบ้านกำลังพากันไถหน้าดินเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเพราะปลูกในช่วงนาปรัง
ครูน้ำตาลและอีฟพากันปั่นจักรยานไปทางทิศตะวันตกเรื่อย ๆ เพื่อชื่นชมพระอาทิตย์ที่กำลังตกดิน โดยด้านหลังของทั้งสองคนนั้นมีชีฟปั่นจักรยานตามมาด้วย
วันนี้เป็นวันที่สามสิบเอ็ดธันวาคม เป้าหมายของพวกเขาไม่ใช่แค่มาชื่นชมพระอาทิตย์ตกดินเพียงอย่างเดียว แต่พวกเขามีเป้าหมายอื่นอีกก็คือร้านค้าสะดวกซื้อที่อยู่กลางทุ่ง เจ้าของร้านค้าแห่งนี้นั้นหัวดีมาก เพราะเขาเลือกที่จะเอาอุปกรณ์สนับสนุนการเกษตรต่าง ๆ มาเปิดร้านขายของอยู่กลางทุ่ง นั่นทำให้เกษตรกรหลายคนที่ขี้เกียจออกไปซื้อของไกล ๆ มักจะมาซื้อของกับร้านค้าแห่งนี้
ทั้งสามคนมาจอดอยู่ที่หน้าร้านในส่วนของอาหารและขนมขบเขี้ยว ก่อนจะพากันตรงดิ่งเข้าไปเลือกขนมและน้ำอัดลมที่ตนชอบ ใช้เวลาไม่นานทั้งหมดก็พากันหอบขนมถุงใหญ่ออกมาจากร้านสะดวกซื้อ ก่อนจะเอามาห้อยไว้ที่จักรยาน
เปรี๊ยะ!!! เสียงเหมือนกับกระจกร้าวดังกังวานไปทั่วท้องนภา เมื่อทุกคนเงยหน้ามองท้องฟ้า ก็พบรูขนาดใหญ่ที่เหมือนกับกระจกใสที่โดนลูกบอลขว้างใส่จนแตกเป็นรู เจ้ารูนี้สูงจากพื้นเพียงสามเมตร นั่นทำให้ทุกคนสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน และนอกจากรูนี้แล้วก็มีรูอื่น ๆ ปรากฏขึ้นรอบบริเวณ เจ้าของร้านรีบขนของบางส่วนลงห้องใต้ดินอย่างรวดเร็ว ทุกคนรู้จักปรากฏการณ์นี้ดี เพราะมันเหมือนกับวันที่ปีศาจบุกโลกครั้งแรก
ชีฟที่เห็นดังนั้นก็ตะโกนขึ้นมา
"กลับบ้านเร็ว"
คนอื่น ๆ พากันสตาร์ทรถแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว พวกชีฟทั้งสามคนก็รีบปั่นจักรยานให้เร็วที่สุดเช่นกัน
ในระหว่างทางชีฟมองรูแต่ละรูที่ปรากฏขึ้นมา รูเหล่านี้มีขนาดเล็กมาก ไม่เหมือนกับวันที่ปีศาจบุกครั้งแรก
"พวกมันหาทางเล็ดลอดตราเวทย์มาได้งั้น"
ชีฟพึมพำตามสิ่งที่คิด เพราะตอนปีศาจบุกครั้งแรกนั้น รูเหล่านี้ใหญ่กว่านี้มาก และมีปีศาจหลากหลายสายพันธุ์พากันออกมามากมาย
ในขณะที่ปั่นจักรยานชีฟก็จ้องมองรูเหล่านั้นไม่วางตา และก็เป็นดั่งที่คิดเอาไว้ มันมีสิ่งมีชีวิตสีเขียวออกมาจากรูและล่วงตกลงบนพื้น สิ่งมีชีวิตที่คล้ายคลึงกับมนุษย์แต่มีผิวหนังสีเขียวและหูที่แหลมกับจมูกที่ยาวดูน่าเกลียด พวกมันคือสิ่งที่เรียกว่า "ก็อปลิน"
ก็อปลินจำนวนมากร่วงออกมาจากรูเหล่านั้นไม่หยุดไม่หย่อน พวกมันมีขนาดตัวที่ไม่ใหญ่นักเมื่อเทียบกับมนุษย์ จากข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ตัวที่โตเต็มที่สูงแค่ร้อยยี่สิบเท่านั้น
"กรี๊ด!!!"
อีฟกรีดร้องลั่นเมื่อก็อปลินตัวหนึ่งมายืนดักพวกเขาอยู่บนถนน ในมือของมันมีท่อนไม้ขนาดเหมาะมืออยู่ด้วย
ชีฟเร่งความเร็วรถจักรยานแล้วชนใส่ก็อปลินเต็มแรง ก่อนจะล้มไปทั้งคู่ ชีฟรีบลุกขึ้นมารัดคอมันเอาไว้จากด้านหลัง แล้วตะโกนบอกอีฟกับครู
"ไป ไม่ต้องรอ"
ทั้งสองคนส่ายหัว เพราะยังมีอีกสามสี่ตัวดักอยู่ข้างหน้า และอีกหลายตัวที่กำลังตามมาด้านหลัง
กร๊อก ชีฟตัดสินใจหักคอก็อปลินในมือของตัวเองอย่างรวดเร็ว เมื่อพวกเขากำลังจะถูกล้อม ชีฟตัดสินใจหยิบกระบองไม้ขึ้นมาแล้ววิ่งเข้าใส่อีกสี่ตัวที่อยู่ข้างหน้าพวกเขา โชคดีที่พวกมันตัวเล็ก ทำให้ชีฟฟาดเพียงทีเดียวก็สามารถอัดพวกมันให้กระเด็นตกลงไปในท้องนาที่อยู่สองฟากถนนได้ และด้วยความช่วยเหลือของครูน้ำตาลที่ใช้จักรยานของตัวเองเหวี่ยงใส่ก็อปลินตัวหนึ่งจนมันสลบไป ทำชีฟนั้นสามารถจัดการฟาดอีกสามตัวให้หลีกทางพวกเขาไปได้ อีฟที่ยังอยู่บนจักรยานรีบปั่นอย่างรวดเร็ว ทิศทางข้างหน้าที่เป็นทางกลับบ้านนั้นไม่มีรูปรากฏขึ้นมาเลย นั่นทำให้พวกเขามั่นใจได้ว่าถ้าถึงบ้านแล้วพวกเขาน่าจะปลอดภัย
ชีฟและครูน้ำตาลที่เสียจักรยานไปพยายามวิ่งตามอีฟไปติด ๆ เพียงไม่นานพวกเขาก็มาถึงรั้วสีแดงที่เป็นประตูบ้านของพวกเขา
อีฟที่ยืนอยู่ติดกับรั้วกรีดร้องลั่น
"กรี๊ด!!! ครูน้ำตาล"