เมื่อณัฐกับตุ๊ดตู่ตระเวนเก็บเส้นผมของคนที่น่าสงสัยในหมู่บ้านเพื่อทำการตรวจหาดีเอ็นเอ ว่าตรงกับลายนิ้วมือและดีเอ็นเอของผู้ต้องสงสัยที่เก็บมาจากคอกหมูและบริเวณใกล้เคียงนั้น ซึ่งต้องเข้าบ้านโน้นออกบ้านนี้ จนกระทั่งมาพบเพิงเก่าๆ ซ่อนตัวอยู่ในป่าทึบหน้าเส้นทางที่ขึ้นไปบนยอดดอย
"วันก่อนที่เราขึ้นไปสำรวจไร่ฝิ่นกัน ทำไมเราไม่พบเพิงนี้นะ ศิษย์พี่ แถมดูน่าสงสัยมากด้วย"
"จริงศิษย์น้อง เอาไงดีจะแอบเข้าไป หรือจะขอเข้าไปพูดคุย"
"เอางี้เข้าไปพูดคุย ดูลาดเลาก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกทีว่าจะทำอะไรต่อไป" ณัฐให้ความเห็น
เมื่อมาถึงเพิงดังกล่าว ทั้งสองก็เห็นชายวัยกลางคนพิการตาบอด จมูก นิ้วมือ แขนขา ผิดรูป กล้ามเนื้อ อ่อนแรง นอนอยู่ลำพัง ณัฐจึงส่งเสียงทักไปว่า
"สวัสดีครับ พี่ชาย ผมณัฐลูกพ่อหลวง"
"สวัสดีครับ ลูกพ่อหลวงหรือ ขอโทษทีเพิงนี้มันเล็กและสกปรกไม่มีอะไรต้อนรับ อ้าวเข้ามาคุยกัน อย่ารังเกียจคนพิการนะ"
"ไม่รังเกียจครับ" ณัฐกล่าว
"วันนี้ผมขออนุญาตเข้ามาสอบถามสารทุกข์สุขดิบนะครับ ผมมากับตุ๊ดตู่เด็กในหมู่บ้าน ไม่ทราบว่าพี่ชายชื่ออะไรครับ"
"พี่ชื่อก๊อกแก๊กครับ พอดีตามองไม่เห็นแขนขาก็ลีบ ลุกนั่งคุยไม่สะดวกต้องขออภัยด้วย เมียก็ไม่อยู่เลยไม่มีใครหาน้ำหาท่าให้กินกัน"
"ไม่เป็นไรครับ แล้วอยู่กันกี่คนครับนี่"
"อยู่กันแค่ 2 คน แหละ นี่เมียผมมันออกไปเก็บผักปลามาทำกับข้าวหน่ะ"
"เมื่อพี่พิการทำไมไม่ปลูกเพิงในหมู่บ้าน ทำไมมาปลูกเพิงข้างนอกและอยู่ในพงหญ้าแบบนี้ แฟนพี่ก็ออกไปหาอาหารลำบากอยู่นะ"
"ก็อยากกลับไปอยู่ที่บ้านหรอก แต่พอเราเป็นอย่างนี้มีแต่คนรังเกียจ ขับไล่ ป่วยเป็นโรคประหลาดทำให้คนรังเกียจ"
"แล้วทางพี่เคยไปตรวจรักษาหรือทำอะไรบ้างตั้งแต่เจ็บป่วยมาครับ"
"เมียผมเคยพาพ่อหมอในหมู่บ้านมาตรวจครั้งหนึ่งครับ พ่อหมอให้เป่ายาและให้ยาหม้อมาต้มครั้งหนึ่ง แต่ไม่ดีขึ้น ก็เลยไม่คิดว่าจะรักษาต่อครับ"
พอรู้อย่างนี้ทั้งณัฐและตุ๊ดตู่ก็เกิดความสงสารและอยากให้หมอนิลลี่มาตรวจหาสาเหตุและทำการรักษาให้แม้ไม่หายแต่อาจจะแก้ความพิการบางอย่างให้ดีขึ้น ทั้งสองคนเลยกระซิบปรึกษากันว่าจะพาแม่หมอของพวกเขามาที่นี่
"งั้นเอางี้นะครับ พวกเราขอกลับกันก่อนแล้วเดี๋ยวจะพาแม่หมอมาดูอาการให้"
"งั้นสวัสดีครับ คุณณัฐ"
ก่อนกลับออกมาณัฐได้ให้หุ่นยนต์เก็บหลักฐานของนิลลี่ช่วยเก็บรูปและหลักฐานบางอย่างเพื่อไปให้ดร.นิลลี่ดูเผื่อจะพอมีแนวทางอะไรก่อนมาตรวจคนไข้ได้บ้าง
เย็นวันนั้นก็ไปที่บ้านริมน้ำก่อนนัดหมายเพราะร้อนใจอยากจะช่วยพี่ก๊อกแก๊ก พร้อมนำข้อมูลที่สามารถจะเก็บได้ทั้งหมดมาให้นิลลี่ดูด้วย
"พี่แม่หมอครับ วันนี้เราออกไปสืบเรื่องหมูตาย แล้วไปเจอเพิงหลังหนึ่ง มีคนพิการอยากพาแม่หมอของพวกเราไปรักษาจังครับ" ตุ๊ดตู่รีบวิ่งเข้าไปแจ้งข้อมูลให้ดร.นิลลี่ทราบก่อน
"คิดถึงมากเลยครับ" ณัฐไม่วายที่จะหยอดคำหวาน
"เอ่อ เว่อร์ไปไหมคะ ไม่เจอแค่ 2 วัน อ้าวว่าไงพ่อตัวแสบตุ๊ดตู่รายงานมาว่าวันนี้ไปเจอใครอะไรยังไง"
"วันนี้ผมกับศิษย์น้องเดินเก็บเส้นผมกัน ไปเจอเพิงหมาแหงนอยู่ปากเดินขึ้นดอย ซึ่งอยู่ใกล้บ้านริมน้ำนี่เอง เราไปเจอน้าพิการนอนอยู่ในบ้านครับ"
"ใช่ ครับได้ให้หุ่นยนต์เก็บข้อมูล ทำการถ่ายภาพต่างๆ และสแกนเก็บข้อมูลมาให้แล้วครับ"
"ขอบคุณมากค่ะ ที่เก็บข้อมูลมาให้ เอามาทางนี้ ขอป้อนข้อมูลเข้าไปที่มูมู่ก่อนให้ประมวลข้อมูลพื้นฐานก่อนจะได้วางแผนไปซักประวัติตรวจร่างกายถูก"
"เอ๊ะ เพิงอยู่ตรงปากทางเดินขึ้นยอดดอย ก็แค่นี้เอง ทำไมไม่เคยเห็นนะ และถือว่าอยู่นอกหมู่บ้านก็เดินไปตรวจได้"
"นั่นสิพวกเราเองก็แปลกใจเหมือนกัน เพิงแม้จะเล็กอยู่พงหญ้า แต่ถ้าสังเกตดีดีมันก็เห็นไม่ยากอยู่นะ แถมพี่ก๊อกแก๊ก ชื่อเจ้าของเพิง ยังบอกว่าอยู่มาหลายปีแล้วด้วย ยิ่งแปลกใหญ่ว่าทำไมรอดสายตาพวกเราไปได้"
"แปลกมาก แต่ช่างเถอะ เดี๋ยวค่อยมาคิดกันที่หลัง ขอเอาข้อมูลไปประเมินผลก่อนว่าต้องรีบไปเลยหรือว่าจะไปพรุ่งนี้ดี"
พอเอาข้อมูลป้อนให้มูมู่ สักพักก็วิเคราะห์ผลออกมา
"ข้อมูลที่ได้พร้อมรูปนี่เห็นคร่าวๆ พอเดาว่าน่าจะเป็นโรคที่คนทั่วไปรังเกียจอยู่คะ แต่ยังไม่แน่ใจเพราะยังขาดข้อมูลอีกหลายอย่าง ดูแล้วเป็นความพิการจากโรคซึ่งเป็นมานานพอควรแล้ว ไว้ไปพรุ่งนี้ดีกว่า"
"ได้ครับ" ณัฐกล่าว
"งั้นเอาตามนี้ก่อนพรุ่งนี้ช่วงสายเราไปเพิงหลังนี้รักษาพี่ก๊อกแก๊กก่อนเรื่องเก็บข้อมูลหมูตายทั้งหมู่บ้าน พักไว้สักวันสองวัน แยกย้ายกันแล้วเจอกันพรุ่งนี้คะ"
"เจอกันไม่ถึงชั่วโมงให้กลับบ้านแล้ว ยังไม่หายคิดถึงเลยครับ" ณัฐอ้อนอีกแล้ว
"แหมเดี๋ยวนี้ศิษย์น้องเอาใหญ่ ไม่รู้ไปโดนอะไรมาเปลี่ยนไปเยอะเลย ไปกลับบ้านกันเถอะ พรุ่งนี้ก็มาเจอกันแล้ว ไปไป ศิษย์น้อง"
พอสายวันรุ่งขึ้นเมื่อทุกคนพร้อมก็เดินทางไปถึงเพิงของพี่ก๊อกแก๊กกันซึ่งวันนี้ทางภรรยาอยู่ด้วย ณัฐกล่าวทักทาย
"หวัดดีครับพี่ก๊อกแก๊กจำเสียงได้นะครับ ณัฐลูกพ่อหลวง"
"จำได้พ่อหนุ่ม แม่นิ่มนี่ณัฐลูกพ่อหลวง วันก่อนเขาเข้ามาคุยกับพี่ตอนเอ็งออกไปหาผักหาปลาหน่ะ"
"สวัสดีคะ ลูกพ่อหลวง แล้วนี่พาใครมากันหลายคนเลยคะ รวมทั้งตัวประหลาดนั่นอะไรคะ"
"ผมมาตามสัญญาที่บอกกับพี่ก๊อกแก๊กครับ ว่าจะพาแม่หมอมาทำการรักษาโรคพิการที่เป็นอยู่ให้"
"นี่ครับแม่หมอกับหุ่นยนต์ผู้ช่วย ส่วนนี่ตุ๊ดตู่เด็กในหมู่บ้านลูกมือแม่หมอเขาครับ"
"สวัสดีคะ แม่หมอนะคะ ขออนุญาตสอบถามอาการเลยนะคะ จะได้ทำหาสาเหตุและวางแผนการรักษาเลย"
"ได้เลยครับ"
"อาการเริ่มแรกเป็นอย่างไรบ้างคะ"
"มันเป็นผื่นที่ตัวก่อนครับ"
"กี่ปีแล้วคะ แล้วเป็นยังไงต่อมา"
"3 ปีเห็นจะได้นะครับ ผื่นไม่คัน แล้วต่อมาก็เริ่มผมร่วง แขนขาอ่อนแรงแบบนี้ ตาก็บอด จมูกเบี้ยว ผื่นตั้งแต่เป็นนี่ไม่เคยหายเลยครับ"
"เป็นมานานพอควรแล้วนะคะ แล้วทางคุณนิ่มมีอาการผิดปกติไหมคะ"
"ตอนแรกก็ไม่มีอะไรคะ ตอนนี้เริ่มมีผื่นเหมือนของก๊อกแก๊กมาสักครึ่งปีได้คะ"
"อืม พอจะเดาได้แล้วเป็นโรคติดต่อจริงๆ ด้วย งั้นขอดูผื่นทั้ง 2 คนเลย"
พอทั้ง 2 เปิดเสื้อให้ดูผื่นนั้น
"ชัดเลย ผื่นนี่ใช่เลย มูมู่ถ่ายรูป ตรวจระบบประสาทอย่างละเอียด เก็บรอยโรคตรงผิวหนังมาส่องด้วยดูว่าจะเจอเชื้อไหมนะ"
มูมู่เข้าไปทำการตรวจร่างกายอย่างละเอียด กรีดผิวหนังเป็นรอยเล็กๆ มาส่องดู แล้วก็ส่งผลให้ดร.นิลลี่ดู
"ผลออกมายืนยันเลยว่าเป๊ะ คุณทั้งสองเป็นโรคเรื้อน"
"เป็นเรื้อนหรือ" ทั้งสองร้องด้วยความตกใจเนื่องจากโรคเรื้อนนี่เป็นโรคที่คนรังเกียจมาก เพราะสามารถติดต่อได้และทำให้ร่างกายผิดรูปจนมีหน้าตาที่น่าเกียจ จนไม่มีใครอยากเข้าใกล้
"แม่หมอกับพ่อณัฐขอร้องหล่ะอย่าบอกใครได้ไหม"
"ได้ค่ะ เดี๋ยวพอได้รับยาฆ่าเชื้อก็จะหายค่ะ แต่การผิดรูปต้องมาทำศัลยกรรมตกแต่งช่วยแก้ไข การกินยาต้องกินยาอย่างน้อยครึ่งปี ต่อเนื่องห้ามหยุดยา โชคดีที่พี่นิ่มเป็นแค่ผื่นยังไม่ความผิดปกติอื่น รีบรักษาก่อนที่จะสายคะ"
"มูมู่ตรวจเลือดด้วยตามโปรแกรมเช็คอัพนะ แล้วเตรียมยาแดพโซนนะ"
"หู ต้องกินยานานจังเลยครับ" ก๊อกแก๊กอุทาน
"ใช่ค่ะ อย่างน้อยครึ่งปี และหมอจะคอยมาตรวจเลือดให้ด้วย เพื่อระวังผลข้างเคียงของยา ส่วนเรื่องการผ่าตัดช่วยแก้ไขความผิดรูป จะมีแก้ไขรูปหน้าให้ดูดีขึ้น ส่วนขานั้นจะทำขาเทียมให้ใส่จะได้เดินเหินได้บ้างคะ"
"ได้ครับ"
มูมู่เจาะเลือดและจัดยาเสร็จก็เดินมาหาแม่หมอทันที
"ผลเลือดดูแล้วตอนนี้ตับไตยังดีอยู่นะคะ กินยาได้ แต่ถ้ากินยาแล้วมีอาการผิดปกติอะไรรีบมาแจ้งหมอนะคะ บ้านหมอติดริมน้ำด้านหน้านี่เองคะ"
"ได้ครับ" ก๊อกแก๊กตอบ
"งั้น พวกเราขออนุญาตนัดทำศัลยกรรมใบหน้าก่อนนะคะ สัปดาห์หน้าจะมารับที่บ้านค่ะ ถ้าไม่มีอะไรขออนุญาตลากลับก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ"
"ขอบคุณมากค่ะ ครับ" นิ่มและก๊อกแก๊กกล่าวพร้อมกัน
"พวกผมขอลากลับบ้านเหมือนกันครับ" ณัฐกล่าวลาเช่นกัน
แล้วก็กลับมาที่บ้านริมน้ำ นิลลี่ก็เริ่มทำการสอนลูกศิษย์ทั้ง 2 เช่นทุกครั้งที่ออกตรวจคนไข้ด้วยกัน
"อ้าวพร้อมนะ เด็กนักเรียน"
"พร้อมครับ โรคเรื้อนคืออะไรครับ" ณัฐ แกล้งแซว
"แล้วทำไมทุกคนถึงรังเกียจ" ตุ๊ดตู่ถาม
"งั้นเริ่มนะคะ โรคเรื้อนเป็นโรคติดเชื้อจากเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง และสามารถติดต่อไปสู่คนอื่นได้ อาการสำคัญคือผื่นที่มีลักษณะจำเพาะ คนโบราณจึงเรียกว่าออกดอกคะ หลังจากนั้นผมร่วง จมูกแบนผิดรูป ชา กล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรง ส่วนที่ทำให้คนรังเกียจเพราะว่า เนื่องจากผู้ป่วยจะเป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิง คนโบราณจึงเข้าใจว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เกิดจากการเที่ยวโสเภณี แล้วออกดอกคะ คนเลยรังเกียจคนที่ป่วยเป็นโรคนี้"
"พวกเราเข้าใจแล้ว และการรักษาหล่ะครับ" ณัฐถาม
"ถ้ายังไม่รูปร่างที่ผิดปกติให้ยาฆ่าเชื้อนานหกเดือนก็หายค่ะ แต่ถ้าผิดรูปไปแล้วให้ยาก็แก้ไขความพิการไม่ได้ จึงต้องทำการรักษาอย่างที่บอกเพื่อให้ดูไม่น่าเกียจมาก"
"รักษาง่ายดีจัง แค่กินยา แต่ข้อเสียกินยานานมาก" ตุ๊ดตู่บ่น
"เรื่องโรคเรื้อนก็สอนแค่นี้เนอะ วันนี้เรายังว่างๆ กัน ไหนเล่ามาว่าไปเก็บเส้นผมเป็นอย่างไรบ้าง"
"เราเดินตามบ้านกันเพื่อเก็บตัวอย่างเส้นผมใส่ถุงใส่ชื่อตามที่พี่หมอบอกครับ แล้วศิษย์พี่ก็ให้หุ่นยนต์เก็บข้อมูลอื่นๆ มาไว้ด้วยตามระบบสมองกลของหุ่นยนต์ นี่ครับถุงผมที่เราไปเก็บมา แต่เก็บยังไม่ครบ ไปเจอน้าก๊อกแก๊กก่อนครับ" ตุ๊ดตู่รีบทำหน้าที่รายงาน
"ได้เดี๋ยวคงต้องเอาเข้าห้องแลบตรวจดูดีเอ็นทั้งหมดก่อน ส่วนข้อมูลของหุ่นยนต์เดี๋ยวถ่ายโอนเข้าไปในคอมพิวเตอร์ แล้วใช้โปรแกรมนิติวิทยาศาสตร์คำนวณผลดู ระหว่างที่รอไปรับคุณก๊อกแก๊กมาผ่าตัดก็ไปเก็บข้อมูลมาให้ครบ พอผ่าตัดเสร็จเราจะได้คุยกันต่อเรื่องนี้"
"ตามนั้น หลังผ่าตัดพี่ก๊อกแก๊กเสร็จ ผมว่าเราน่าจะมีข้อมูลอะไรบางอย่างมากพอแล้ว เราลงดอยไปหาสารวัตรที่สถานีตำรวจกันดีไหมครับ"
"ก็ดีเหมือนกันคะ จะได้ปรึกษาหารือว่ากำจัดคนพวกนี้อย่างไรดี แต่วันนี้ก็แค่นี้ก่อนดีไหมคะ แยกย้ายไปพักผ่อน เพราะทางนี้ก็ต้องตรวจดีเอ็นเออีกเยอะเหมือนกัน"
"ก็ได้ครับ อย่าลืมฝันถึงกันครับ"
"กลับๆ ครับศิษย์พี่"
แล้วก็แยกย้ายกันไป ส่วนทางมูมู่กับนิลลี่ก็ทำการตรวจทางห้องปฏิบัติการต่อไปหาดีเอ็นเอของผู้ต้องสงสัย แถมด้วยนิลลี่ยังต้องทำการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ที่ได้มาร่วมกันด้วยโปรแกรมที่คิดค้นใหม่
พอถึงวันนัดไปรับพี่ก๊อกแก๊กมาผ่าตัด ทุกคนก็พร้อมหน้ากันที่เพิงหมาแหงน
"ทางเดินไม่ค่อยดี มูมู่แปลงร่างเป็นเปลแบบไม่มีล้อนะ พาพี่ก๊อกแก๊กกลับไป วันนี้เราผ่าแค่เรื่องซ่อมแซมหน้าเท่านั้น เปิดแค่ห้องผ่าตัดเล็กพอ"
การผ่าตัดศัลยกรรมตกแต่งกลายมาเป็นความถนัดอีกอย่างของดร.นิลลี่ไปแล้ว เลยทำให้การผ่าตัดในวันนี้เป็นไปอย่างรวดเร็ว คนไข้ฟื้นตัวเร็ว ใช้เวลาแค่ชั่วโมงเดียวก็เสร็จ ให้มูมู่ไปส่งที่บ้าน พร้อมนัดไปตัดไหมที่เพิงพร้อมทำการวัดขนาดและคำนวณการทำขาเทียมต่อไป
"เดี๋ยวอาทิตย์หน้าหมอจะมาตัดไหมและวัดขนาดทำขาเทียมให้นะคะ วันนี้กลับกันก่อน"
"ขอบคุณมากค่ะ" นิ่มกล่าว
พอเว้นไปอีกสัปดาห์ก็ทำการตัดไหม เมื่อตัดไหมเสร็จ นิ่มถึงกับอุทาน
"ดูดีมากเลยคะ ขอบคุณแม่หมอมากเลยคะ ตอนนี้จะได้ออกไปไหนมาไหนได้บ้าง"
"พอได้ขาเทียม ฝึกเดินและใช้ไม้เท้าคนตาบอดช่วยก็สามารถเดินเหินไปมาได้บ้าง จะได้ไม่ติดเตียงคะ"
"ขอบคุณมากเลยครับ แม่หมอเก่งจริงๆ เลย พวกเราไม่รู้จะขอบคุณด้วยอะไรดีครับ"
"ไม่ต้องค่ะ เป็นหน้าที่ของหมออยู่แล้วค่ะ"
"เดี๋ยวเย็นนี้เอาขาเทียมมาใส่ให้นะคะ แล้วเดี๋ยวส่งมูมู่มาฝึกการใช้ขาและไม้เท้าให้ วันนี้ขอตัวก่อนนะคะ"
"ขอบคุณอีกครั้งครับแม่หมอ"
"ขอบคุณแม่หมอค่ะ"
แล้วทั้งหมดก็กลับมาที่บ้านริมน้ำ มูมู่กลับมาทำเสร็จภายในครึ่งวันก็นำไปใส่ให้กับก๊อกแก๊ก เหลือทั้งสามคนนั่งคุยกันเรื่องคดีหมูตายทั้งหมู่บ้าน
"หลังจากรวบรวมผลดีเอ็นเอทั้งหมดของหมู่บ้านแล้วมาวิเคราะห์ผล สรุปไม่เจอใครที่มีดีเอ็นเอตรงกับที่เกิดเหตุเลย แสดงต้องเป็นคนนอกลอบเข้ามา แต่การที่เอาโรคระบาดสัตว์มาปล่อยก็ไม่คิดว่าจะเป็นคนในหมู่บ้านทำได้อยู่แล้วคะ"
"งานยากแล้ว กลายเป็นว่ามืดแปดด้าน รู้ว่าฝีมือคนแต่ไม่รู้ว่าจะเป็นใคร แล้วหลักฐานอื่นๆ ที่หุ่นยนต์เก็บหลักฐานเก็บมามีอะไรพอช่วยได้ไหมครับ"
"ไม่มีเลยคะ มืดมนสุดสุด"
"ส่วนผมก็เลียบๆ เคียงๆ คุยกับคนในหมู่บ้านมาก็ไม่ได้อะไรเลยครับ" ตุ๊ดตู่บอกข้อมูล
"งั้นเราคงต้องไปปรึกษากับคนที่ถนัดในการหาหลักฐานดีกว่าครับ ตามที่ได้บอกไว้ว่าจะไปคุยกับสารวัตรที่สถานีตำรวจด้านล่างกัน"
"ได้ค่ะ นัดกับคุณสารวัตรหรือยังนะคะ"
"นัดไว้แล้วครับ พรุ่งนี้เย็นๆ"
"ตามนั้นค่ะ พรุ่งนี้เย็น วันนี้แยกย้ายตามระเบียบ"
"พวกเราไปก่อนพรุ่งนี้เจอกันครับ"
แล้วคืนนั้นดร.นิลลี่ก็นำข้อมูลที่มีทั้งหมดมานั่งวิเคราะห์ใหม่อีกครั้งเพื่อหาคนร้าย พร้อมทำการเก็บเข้าห้องลับ พร้อมกับยังนึกถึงโรคเรื้อนว่า
"โรคเรื้อนเป็นโรคเขตร้อนที่ถูกละเลยต่อไป คนที่เป็นก็ไม่กล้ามาหาหมอเพราะกลัวคนรังเกียจ หมอเองก็ไม่มีนโยบายที่ตรวจเชิงรุก"
มีความเห็นเกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้ใช่รึเปล่า คอมเมนต์มาได้เลยไรต์อยากฟัง