ดาวน์โหลดแอป
87.5% The High Priest / Chapter 14: บทที่ 14 : พิธีสังเวยทาส

บท 14: บทที่ 14 : พิธีสังเวยทาส

ขบวนทาสถูกนำตัวออกไปผ่านการเฝ้ามองของผู้คนชาวเผ่าโดยมีหญิงชราเดินนำ เสียงตีกระทบของอุปกรณ์บางอย่างที่ถูกสร้างขึ้นโดยฝีมือของผู้คนที่นี่คล้ายกับเสียงกลองดังก้องกังวานดังสนั่นตลอดเส้นทาง

ร่างกายที่อาบย้อมด้วยเลือดของวิคตัสถูกลากไปตามพื้นดินอย่างน่าสลดหลังขบวนพร้อมกับเสียงร้องโหยหวนของเขา

วิคตัสไม่รู้ว่าคนเหล่านี้ต้องการทำอะไรแต่โอกาสรอดชีวิตของเขาดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 0% เป็น 0.5% เมื่อรับรู้ได้ถึงพลังเวทย์ในร่างกายที่คืนกลับมาอย่างช้าๆเพียงแต่ว่าเขาสูญเสียเลือดมากเกินไปและขบวนที่ยืดยาวนี้ดูเหมือนจะไม่มีท่าทีว่าจะหยุดสักที

วิคตัสทำได้เพียงพยายามอดทนเพื่อไม่ให้ตัวเองหมดสติไปทั้งแบบนี้

อดทนไว้ก่อนขืนหลับตอนนี้มีหวังคงได้หลับยาวไปตลอดกาลแน่เรา!

สภาพของเด็กชายดูน่าขบขันในสายตาของผู้คนชาวเผ่าฝูงชนด้านข้างจะแวะเวียนกันมากู่ร้องตะโกนใส่เขาเป็นครั้งคราว

ไอ้พวกป่าเถื่อน ข้าจะเย็บปากที่ส่งเสียงน่าหนวกหูของพวกแกสักวัน!!

" หยุด !! "

เสียงคำสั่งดังขึ้นและการเคลื่อนไหวทั้งหมดก็หยุดลงตามคำสั่งของหัวหน้าเผ่าดอร์ส

หัวหน้านักรบหนุ่มเดินลงจากสัตว์สงครามก่อนใช้กำปั้นทุบหน้าอกตัวเองและโค้งคำนับให้แก่นักบวชหญิงชราก่อนส่งเสียงแปลกๆ 2-3 ครั้ง หลังจากนั้นฝูงชนทั้งหมดก็คุกเข่าลงกับพื้นดิน

วิคตัสพยายามเหลือบตามองไปรอบๆแต่เห็นเพียงขาหลังของสัตว์ขนาดใหญ่ที่ลากเขามาตลอดเส้นทางเท่านั้น สายตาหันไปสบมองทาสเด็กคนอื่นๆที่หน้าซีดลงด้วยความหวาดกลัว

" วันนี้พวกเราชาวเผ่าดอร์สแห่งดินแดนตะวันออกจะทำการสังเวยทาสเหล่านี้เพื่อปัดเป่าความชั่วร้ายและบรรเทาความโกรธแค้นของเทพอสูรวิญญาณที่ถูกผนึกในป่าวาลดอน ขอท่านจงนำดวงวิญญาณทาสที่โง่เขลาเหล่านี้ออกไปเพื่อสนองความหิวโหยของท่านด้วยเถิด! "

ทันทีที่เสียงยืดยาวจบลง ผู้คุมนักรบรอบๆที่ถืออาวุธในมือต่างพากันกระแทกหอกหินของพวกเขาลงกับพื้นเป็นจังหวะดุดันพร้อมกับตะโกนเสียง 'เฮ้'

ท่ามกลางเสียงกระทบของอาวุธและกลองหนังสัตว์ นักบวชอูม่าเดินแหวกฝูงชนเข้ามาก่อนสั่งให้ผู้ช่วยของเธอดึงเชือกล่ามทาสทั้งหมดออกมาด้านหน้า

ในความเงียบสงบหญิงชรายืนนิ่งอยู่เพียงลำพังกลางลานหินที่ถูกจัดเตรียมไว้โดยเฉพาะ ผมกระเซิงปลิวสยายตามสายลมที่ไม่มีอยู่จริงจนดูน่าขนลุกเผยให้เห็นรอยสักสีสันแปลกตาตามใบหน้าของอูม่าที่ทั้งดูลึกลับและน่ากลัวในเวลาเดียวกัน สร้อยคอประดับกระดูกสัตว์ที่ห้อยอยู่บนตัวนักบวชหญิงชราเริ่มส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนออกมาสร้างความหวาดกลัวแก่ผู้ที่ได้ยิน

" จงปลื้มปิติและรับรู้ถึงเกียรติของการเป็นเครื่องสังเวยเทพอสูรในครั้งนี้เถิด ด้วยชีวิตที่ต่ำต้อยและโสมมของพวกเจ้าการเสียสละวิญญาณแก่ผู้คนชาวดินแดนตะวันออกเป็นสิ่งที่สมควรและน่ายินดีอย่างยิ่ง ฮี่ ฮี่ ฮี่!! "

เสียงหัวเราะดังขึ้นพร้อมกับบทสวดที่ไม่มีใครสามารถเข้าใจได้ นักบวชอูม่ายกคทาไม้เท้าในมือของเธอขึ้นและเดินวนรอบทาสทั้ง 9 คนก่อนหมุนวนขึ้นฟ้าเป็นครั้งคราว

วิคตัสเฝ้ามองการกระทำจนพอคาดเดาได้รางๆดูเหมือนว่าหญิงสติฟั่นเฟือนคนนี้กำลังทำพิธีกรรมบางอย่างท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้เริ่มรู้สึกเหมือนตัวเขากำลังถูกบูชายัน

' ข้าคิดไปเองใช่มั้ย ? '

ระหว่างการคาดคะเนในใจ ท้องฟ้าด้านบนค่อยๆมืดลงพร้อมกับลมพายุที่ก่อตัวขึ้นจนบรรยากาศรอบตัวทั้งหมดลดลงอย่างรวดเร็ว

เด็กหนุ่มพยายามยกร่างของตัวเองขึ้นโดยไม่คำนึงถึงความเจ็บปวดของบาดแผลตามร่างกายเพื่อติดตามสถานการณ์ แขนทั้งสองของเขาถูกมัดแน่นด้วยเชือกล่ามติดไว้กับก้อนหินขนาดใหญ่เช่นเดียวกับทาสคนอื่นๆ

วิคตัสพยุงร่างกายท่อนบนของเขาขึ้นโดยใช้แรงจากการพิงผนังหินด้านหลัง ยังคงมีชิ้นส่วนอาวุธกระดูกติดตามลำตัวไม่มากก็น้อยและเผยให้เห็นบาดแผลจำนวนมากเริ่มมีแมลงตัวเล็กๆไต่ตอมตามร่างกายจนอดรู้สึกรำคาญไม่ได้ ริมฝีปากของวิคตัสกระตุกขึ้นเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ดูไร้สาระเป็นอย่างมาก

ร่างกายของเขาขาดน้ำมาเกือบทั้งวันและความกระหายก็เพิ่มขึ้นสูงทุกนาที พลังเวทย์ในร่างกายเริ่มไหลเวียนกลับคืนมาแต่ยังไม่เพียงพอให้เขาลงมือหลบหนีสายตาสีเขียวเข้มสำรวจมองป่าที่ดูคุ้นเคยตรงหน้าของเขาอย่างถี่ถ้วนก่อนหลับตาลงช้าๆเพื่อทำสมาธิ

. . ยังก่อน ข้าต้องรอช่วงเวลาที่เหมาะสมกว่านี้

ท่ามกลางเสียงร้องของทาสที่ถูกมัดติดกับก้อนหินทั้ง 9 คน มีเพียง 'ทาสนอกรีต' ที่น่าสงสัยคนนี้ที่ดูสงบกว่าเด็กคนอื่น ไคออร์สเก็บงำความสงสัยไว้อย่างมิดชิดและเฝ้ามองทุกการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายเป็นพิเศษ

นักบวชชราเงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้าที่มืดครึ้มจากเมฆฝนเมื่อหยดน้ำสัมผัสลงบนใบหน้า เธอก็อ้าปากออกก่อนที่ควันสีน้ำเงินเข้มจะพวยพุ่งออกมาฝูงชนและนักรบทั้งหมดต่างก้มหน้าลงและไม่มีใครกล้ามองหรือแม้แต่ส่งเสียงออกมา

ควันสีน้ำเงินเข้มคล้ายกลุ่มหมอกทึบลอยวนเวียนจากตัวของเธอก่อนเริ่มเคลื่อนตัวไปยังเสาหินที่อยู่ใกล้ที่สุดและเริ่มปกคลุมทาสเด็กคนหนึ่งจากนั้นเสียงกรีดร้องที่ฟังดูเจ็บปวดก็ดังขึ้นชั่วครู่ก่อนเงียบสงบลงเมื่อหมอกปริศนากลุ่มนั้นลอยขึ้นเหนือแท่นหินก็ทิ้งไว้เพียงเศษซากโครงกระดูกชิ้นเล็กๆที่ร่วงหล่นลงมา

เหงื่อไหลเย็นตามลำตัวผู้ที่แอบเหลือบตามองและทาสทุกคนที่พบเห็นต่างกรีดร้องพยายามดิ้นรนเพื่อหนีเอาชีวิตรอด

" ช่วยด้วย !! ได้โปรดท่าน โปรดปล่อยข้าไป ! "

" ช่วยข้าด้วย ข้าจะยอมทำทุกอย่าง ข้ายอมเป็นทาสแรงงานให้กับเผ่าดอร์สผู้แข็งแกร่ง !! "

" อ้ากกกกกกกก !! "

เสียงร้องขอชีวิตจากเหล่าทาสเด็กที่ถูกนำมาเพื่อใช้สังเวยเทพอสูรวิญญาณบริเวณทางเข้าป่าวาลดอน ดังขึ้นไม่ขาดสายแต่กลับไม่มีใครให้ความสนใจราวกับว่าผู้คนรอบข้างทั้งหมดถูกสะกดให้หยุดนิ่ง

ควันสีน้ำเงินยังคงกลื่นกินชีวิตของทาสไปอย่างต่อเนื่องพร้อมกับเสียงร้องโหยหวนที่สิ้นหวังของพวกเขา

ด้านนอกของแท่นบูชายันชาวเผ่าที่กำลังเฝ้ามองพิธีกรรมอันศักสิทธิ์เห็นวิคตัสและพบว่าเขาดูสงบเยือกเย็นมากที่สุดในหมู่ทาสทั้งหมด บางคนแอบยกย่องเขาเงียบๆอยู่ในใจและบางคนก็พร้อมรอดูความสิ้นหวังของเด็กชายคนนี้ด้วยความตื่นเต้นโดยที่พวกเขาไม่เคยรู้เลยว่าในระหว่างการทำสมาธิวิคตัสได้ถูกดึงดูดเข้าไปยังห้วงแห่งความฝันอีกครั้ง

เนื่องจากพลังชีวิตของเขาอ่อนแอลงจากการสูญเสียเลือดไปเป็นจำนวนมากทำให้ยากต่อการควบคุมพลังและเปิดการเชื่อมต่อกับมิติความฝันอีกครั้งอย่างไม่ได้ตั้งใจ

เมื่อรู้สึกถึงความเงียบที่ผิดปกติวิคตัสก็ลืมตาขึ้นอีกครั้งก่อนพบว่าตัวเองยืนอยู่หน้าทางเข้าถ้ำที่ดูคุ้นเคย คราวนี้เขาไม่รอช้าและรีบวิ่งตรงเข้าไปด้านในทันที

ผ่านเส้นทางที่ถูกผนึกด้วยอักขระสีดำมากมายวิคตัสยังคงสังเกตรายละเอียดทั้งหมดระหว่างทางได้เป็นอย่างดี เมื่อพบเส้นทางและกลิ่นของเกลือทะเลที่ล่องลอยกระทบประสาทสัมผัสเขาก็หยุดยืนบริเวณทางเข้าเพื่อไม่ให้ 'สิ่งนั้น' สัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของตัวเอง

ฝีเท้าที่เร่งรีบของเด็กชายหยุดลงและทันทีที่เงยหน้าขึ้นวิคตัสก็พบว่าสายตาของชายคนนั้นได้จ้องมองเขาอยู่ก่อนแล้ว

. . . " ได้โปรด ช่วยข้าด้วย! " . . .

คนทั่วไปอาจมองว่าการกระทำของเขาดูเพ้อเจ้อที่จู่ๆมาขอความช่วยเหลือจากผู้คนที่พวกเขาไม่เคยพบเห็นมาก่อนแถมอีกฝ่ายยังเป็นคนที่อยู่ในความฝันและจินตนาการอีกด้วยเมื่อลองนึกถึงประโยคแปลกๆที่ดูน่าตลกเช่น

' เฮ้ ! พี่ชายผู้แข็งแกร่งท่านช่วยออกมาจากความฝันและพาข้าหนีจากคนป่าเถิื่อนได้หรือไม่ ? "

ถ้าเปลี่ยนเป็นเรื่องราวของมนุษย์ปกติทั่วไปละก็การกระทำเหล่านี้ช่างเป็นสิ่งที่ไร้สาระและไม่มีความหมายอย่างแน่นอน แต่มันแตกต่างออกไปกับเขาที่เป็นพ่อมดโดยสายเลือดหากวิคตัสไม่เคยได้รับความช่วยเหลือจากชายผู้นี้มาก่อนเขาคงไม่กล้าเอ่ยปากพูดประโยคที่ฟังดูไร้สาระเมื่อสักครู่ออกไป

อย่างที่เคยได้กล่าวไปว่าทุกความฝันของเหล่าผู้ตื่นรู้ทางจิตวิญญาณล้วนคือดินแดนแห่งความจริงที่เชื่อมต่อกันอยู่อีกในมิติหนึ่ง แม้อีกฝ่ายไม่อาจออกมาจัดการปัญหาให้กับเขาได้โดยตรงแต่วิคตัสยังคงหวังว่าในดินแดนความฝันที่เขาเข้ามาโดยบังเอิญอาจพอมีหนทางช่วยชีวิตได้บ้าง

ทุกสิ่งล้วนคือโชคชะตาทุกการพบเจอต่างเต็มไปด้วยเหตุผลมากมายที่เกี่ยวพันผู้คนเข้าด้วยกันจนเกิดเป็นเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง

" . . .แม้ว่าข้าต้องการช่วยแต่อย่างที่เจ้าเห็นข้าไม่อาจออกไปจากที่แห่งนี้ได้ "

ดวงตาสีรัตติกาลจ้องมองมาที่เขาโดยไม่กระพริบก่อนเอ่ยปากพูดอย่างช้าๆทำลายความเงียบสงบ

ประโยคปฏิเสธถูกโต้ตอบกลับมาราวกับลมพายุพัดผ่านเปลวเทียนแห่งความหวังอันริบหรี่ วิคตัสตกตะลึงออยู่ครู่หนึ่งแม้ไม่อาจยอมรับความจริงข้อนี้ได้แต่ดูเหมือนพระเจ้าได้กำหนดช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตเขาไว้แล้ว

" ... หากข้ามีเวลามากกว่านี้อีกสักนิด "

แขนซ้ายของเขาบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับร่างกายส่วนอื่นๆและยังพอควบคุมพลังเวทย์เพื่อหลบหนีได้อยู่บ้าง แต่ช่วงเวลาในการร่ายคาถายังน้อยเกินไปและอาจถูกโจมตีก่อนที่พลังเวทย์จะทำงาน

พ่อมดหนุ่มนั่งลงกับพื้นอย่างหมดหนทางแต่ไม่ได้ร้องไห้ออกมา น้ำตาของเขาหมดสิ้นไปกับวันเลวร้ายที่ผ่านมาและตอนนี้เขารู้ดีว่าชีวิตตนเองคงเหลือเวลาอีกไม่นาน

. . . ชีวิตที่รอดมาได้จากการเสียสละของท่านแม่กลับต้องมาจบลงอย่างง่ายดาย . .

เจ็บใจนัก!

วิคตัสเงยหน้าจ้องมองชายผู้ถูกพันธนาการด้านบนด้วยแววตาแห่งความเสียใจ ชีวิตของเขาจะจากไปโดยไม่มีความหมายเช่นนี้และตระกูลแม่มดที่เคยมีตัวตนที่ยิ่งใหญ่มายาวนานจะต้องพังทลายหายไปพร้อมกับเขาท่ามกลางดินแดนรกร้างที่แปลกประหลาดทั้งสัตว์และผู้คนล้วนดูผิดปกติไปหมด

แม้ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดบนหนทางแห่งชีวิตและความตายมาอย่างยาวนาน เขาก็ไม่เคยรู้สึกถึงความสิ้นหวังเช่นนี้มาก่อน

ภายในถ้ำที่เงียบสงบมีเพียงเสียงน้ำไหลดังออกมาเป็นระลอกพร้อมกับดวงตาสีเข้มที่ยังคงจ้องมองเด็กหนุ่มที่นั่งคุกเข่าบนพื้นดินด้วยความซับซ้อนแต่กลับไม่ได้พูดสิ่งใดออกมา เขารู้ดีว่าหากไร้ซึ่งหนทางอย่างแท้จริงการพูดคุยต่อไปมีแต่จะทำให้อีกฝ่ายเสียเวลา

ขณะที่เขากำลังจะริเริ่มพูดบางอย่างจู่ๆอีกฝ่ายก็ยืนขึ้นพร้อมกับจ้องมองมาด้วยสายตาที่ทำให้เขาแปลกใจ

" วิคตัส ฟาราซา ซัวร์แวซายน์ ข้าคือพ่อมดผู้ขับเคลื่อนคาถาและมนตราผู้สืบทอดสายเลือดของตระกูลซัวร์แวซายน์ แม้ชีวิตนี้จะดับสิ้นแต่ข้าจะไม่ยอมถูกกลืนหายไปพร้อมกับพลังชั่วร้ายของผู้คนบนโลกนี้ มีเพียงคำขอร้องเดียวหากท่านสามารถออกไปจากคุกแห่งนี้ได้โปรดช่วยบันทึกเรื่องราวของข้าไว้ในดินแดนอันเงียบสงบด้วยเถิด "

ทันทีที่พูดจบเด็กชายก็ยืนขึ้นอย่างเต็มกำลังอีกครั้ง

ใช้เวลาเพียงชั่วครู่วงแหวนเวทย์รอบตัวของคนตรงหน้าก็ส่องแสงประกายขึ้นจากพื้นดินพร้อมแรงกดดันรอบตัว นักโทษด้านบนจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความตกตะลึงกับภาพที่ปรากฏตรงหน้ากลายเป็นว่าเด็กคนนี้ไม่เคยสิ้นหวังต่อโชคชะตาของเขาเลยแม้แต่นิดเดียว

บางครั้งความสิ้นหวังและไม่จำยอมอาจจุดประกายพลังบางอย่างได้อย่างไม่น่าเชื่อ

วิคตัสไม่สามารถเรียกไม้กายสิทธิ์หรือแม้แต่วัตถุจากโลกแห่งความจริงออกมายังมิติแห่งความฝันได้แต่เขารู้ดีว่าคาถาบางบทนั้นยังคงทำงานได้เป็นอย่างดีในพื้นที่แห่งนี้

เพียงท่องคาถาโบราณที่ยาวเหยียดออกมาพร้อมการขยับมือของเขาหลายต่อหลายครั้งพลังเวทย์ก็เริ่มเปล่งประกายขึ้้นจากจุดที่เด็กชายยืนอยู่และค่อยๆก่อตัวเป็นใยแมงมุมพันเข้ากับกรงขังอักษรรูนสีดำกลางอากาศอย่างช้าๆท่ามกลางสายตาที่เบิกกว้างของชายหนุ่มนักโทษ

ด้วยจำนวนที่มากมายของอักขระ 'กรงขัง' แม้ไม่อาจทำลายสิ่งเหล่านี้ได้ทั้งหมดภายในครั้งเดียวแต่วิคตัสเชื่อว่าการก่อกวนของเขาจะสร้างผลกระทบให้อีกฝ่ายได้ไม่มากก็น้อย

" ตระกูลแม่มดของเราไม่เคยติดค้างใครทั้งความแค้นและความช่วยเหลือทุกสิ่งจะถูกตอบแทนกลับไปอย่างสมน้ำสมเนื้อ ข้าขอโทษด้วยที่ไม่อาจช่วยปลดปล่อยท่านออกไปได้แต่อย่างน้อยการลงมือครั้งนี้อาจพอมีประโยชน์กับท่านบ้างถือเป็นการตอบแทนน้ำใจจากความช่วยเหลือครั้งก่อน "

แผนการของวิคตัสในครั้งนี้คือการระบายพลังเวทย์ของเขาเพื่อสร้างรอยรั่วไว้ให้อีกฝ่ายหลบหนี แม้ว่าไม่อาจกำจัดกรงขังพวกนี้ทั้งหมดลงได้แต่อย่างน้อยเขายังสามารถทำให้กำลังของมันอ่อนแรงลง

หากพลังเวทย์ในร่างกายถูกถ่ายเทออกไปเป็นจำนวนมากเกินขีดจำกัดด้วยคาถาที่ซับซ้อนจะดึงเอาจิตวิญญาณของพ่อมดออกมาใช้ทดแทนกันเพื่อสร้างคาถาและเมื่อร่างกายสูญเสียพลังเหล่านั้นไปก็ไม่ต่างจากเปลือกไม้ที่ว่างเปล่า วิคตัสยอมรับว่าคิดแผนการครั้งนี้ด้วยความสะเพร่าอย่างแท้จริงเพราะเขาคิดว่าไม่มีอะไรน่าเสียใจไปกว่าการถูกกลืนกินจากพลังชั่วร้ายของหญิงชราที่รออยู่ด้านนอกอีกแล้ว

.. ในเมื่อสุดท้ายวิญญาณต้องสูญสลายไปทำไมไม่สร้างประโยชน์ให้กับผู้คนล่ะ ?

กรงขังพันธนาการถูกสร้างขึ้นเพื่อคุมตัวชายคนนี้ไว้ทั้งยังเชื่อมโยงกับผนังของถ้ำด้านบนอย่างแน่นหนาจึงมีจำนวนมากมายเกินกว่าจะจัดการได้หมด แม้พลังการทำลายอักษรรูนของวิคตัสจะเป็นไปอย่างช้าๆแต่สิ่งนี้คล้ายกับไวรัสตัวร้ายที่ค่อยๆแพร่กระจายออกไป

พลังเวทย์สีเขียวกลืนกินกรงอักขระสีดำที่ลอยอยู่กลางอากาศและต่อสู้กันอยู่ชั่วครู่ก่อนทำลายมันหล่นลงสู่พื้นดินและก่อเกิดเป็นต้นอ่อนของหญ้าเล็กๆตกอยู่ทั่วพื้นที่ สายตาของชายหนุ่มจ้องมองคนตรงหน้าที่ซีดลงด้วยความเจ็บปวด

" หยุดเถอะ ! "

" โปรดหยุดก่อน ! "

ภายในห้องโถงของถ้ำเสียงขัดทั้งสองดังขึ้นพร้อมกันจนทำให้วิคตัสเสียสมาธิ มนตร์คาถาที่ถูกขัดจังหวะอย่างกระทันหันสร้างแรงระเบิดกระจายชั่วขณะก่อนหยุดลง


Load failed, please RETRY

สถานะพลังงานรายสัปดาห์

Rank -- การจัดอันดับด้วยพลัง
Stone -- หินพลัง

ป้ายปลดล็อกตอน

สารบัญ

ตัวเลือกแสดง

พื้นหลัง

แบบอักษร

ขนาด

ความคิดเห็นต่อตอน

เขียนรีวิว สถานะการอ่าน: C14
ไม่สามารถโพสต์ได้ กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
  • คุณภาพงานเขียน
  • ความเสถียรของการอัปเดต
  • การดำเนินเรื่อง
  • กาสร้างตัวละคร
  • พื้นหลังโลก

คะแนนรวม 0.0

รีวิวโพสต์สําเร็จ! อ่านรีวิวเพิ่มเติม
โหวตด้วย Power Stone
Rank NO.-- การจัดอันดับพลัง
Stone -- หินพลัง
รายงานเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม
เคล็ดลับข้อผิดพลาด

รายงานการล่วงละเมิด

ความคิดเห็นย่อหน้า

เข้า สู่ ระบบ