"มึงไม่ทำงานวันเสาร์แล้ว?"
"อื้อฮึ" ผมพยักหน้าแล้วตีหน้าขรึมตักโจ๊กกินแล้วลอบมองสีหน้าของเลขาฯของตัวเองไปด้วย
ควินซ์ขมวดคิ้วมีร่องรอยประหลาดใจบนใบหน้าได้ครู่หนึ่งก็พยักหน้ารับรู้และก้มหน้ากินมื้อเช้าบ้าง
เดี๋ยวสิ มีปฏิกิริยาแค่นี้เนี่ยนะ? ถามจริง!?!
ตกใจ อ้าปากค้าง หน้าเหวอ ดีใจ?
ไม่มีเลยเหรอ!
"มึงไม่ดีใจหน่อยเหรอ" เออ แสดงอะไรออกมาหน่อยแบบ ว้าว คนบ้างานก็รู้จักหยุดกับเขาสักที เมื่อเช้าผมเอาเรื่องนี้ไปอวดนับสองมา น้องแทบจุดพลุฉลองให้แล้ว
เอ๊ะ หรือน้องคาบข่าวไปบอกควินซ์ก่อนแล้วแต่ก็ไม่น่าใช่เพราะสีหน้าควินซ์ดูงงงๆ ปนตกใจจริงๆ ตอนที่ผมบอกว่าเลิกทำงานวันเสาร์แล้วจะทำงานถึงแค่ห้าโมงเย็นเท่านั้น ไม่ทำงานล่วงเวลาแล้วด้วย
"ก็ดีใจ" ตอบเสียงเรียบสนิท
"..." ผม
"ดีใจมากด้วย"
นี่คือดีใจ? ดีใจมากแล้วด้วยนะ
แต่ทำไมผมถึงสัมผัสไม่ได้ถึงความดีใจอะไรเลยวะ
"นี่ขนาดมึงดีใจนะ" ผมอดไม่ได้ที่จะแขวะอย่างน้อยใจเมื่อตัวเองไม่ได้เห็นในสิ่งที่คาดหวัง มือยกแก้วกาแฟขึ้นมาจิบให้รสชาติขมๆ ช่วยลดความขมขื่นในใจ
"เออ ในที่สุดมึงก็คิดได้สักทีว่าควรทำงานห้าวัน" เสียงใสว่าต่อ "กูนึกว่าจะตรัสรู้ตอนห้าสิบว่าควรเลิกบ้างานทำงานหนัก แล้วก็นะขอบคุณมากที่มึงรู้จักหยุดเพราะกูจะได้หยุด มึงรู้มั้ยว่าวันเสาร์เนี่ยเป็นวันที่สมควรได้นอนตื่นสายแต่กูต้องลุกมาทำงานกับมึง ไหนจะ..."
"..." ผม
เอ่อ อันนี้ไม่ใช่ปฏิกิริยาที่ผมอยากได้นี่ครับ
สรุปตลอดทั้งมื้อเช้าคือนั่งฟังควินซ์บ่นถึงความทุกข์ในการทำงานวันเสาร์แล้วยังพูดถึงข้อดีในวันหยุดให้ผมฟังยาวเหยียดคล้ายสั่งสอนไปในที
ไอ้เราก็ได้แต่นั่งตัวลีบตักโจ๊กกินเงียบๆ และพยักหน้าฟังเป็นพักๆ เพื่อบอกว่า เออ ฟังอยู่นะ
"กูว่าจะพูดต่อแต่พักไว้ก่อน" มันยังไม่หมดอีกเหรอ ไอ้ที่เขาว่ากันว่าได้เมียก็เหมือนได้แม่ใหม่อีกคนท่าจะจริงนะ "ได้เวลาไปทำงานแล้ว"
ผมร้องอืมในลำคอเบาๆ แล้วจิบกาแฟอึกสุดท้ายก่อนจะกินน้ำล้างปาก ลุกขึ้นเดินออกไปนอกบ้านที่มีรถมาจอดรออยู่แล้ว ระยะทางจากบ้านไปยังบริษัทใช้เวลาครึ่งชั่วโมง
ตอนมาถึงมีพนักงานมายืนต้อนรับไม่น้อย ผู้ช่วยพิเศษเดินยิ้มแย้มเข้ามาทักทายแล้วเชิญขึ้นลิฟต์เพื่อตรงไปยังห้องทำงานชั้นบนสุดที่ไม่มาเดือนกว่า
ควินซ์นั่งที่โต๊ะหน้าห้องแล้วเริ่มดูงานบนโต๊ะที่มีวางไว้อยู่ก่อนแล้ว ส่วนผมเข้ามาในห้องทำงานแล้วก็นั่งฟังรายงานพูดสรุปจากผู้ช่วยพิเศษตลอดหนึ่งเดือนที่ผมไม่อยู่
แน่นอนว่าไม่เพียงแต่เรื่องงานยังมีเรื่องหุ้นส่วน พนักงานที่เข้าข่ายมีปัญหาและคิดจะเล่นตุกติกยามผมไม่อยู่ อ้อ รวมถึงดาราในสังกัดที่มีปัญหาด้วย แม้ว่าจะพยายามปกปิดไว้แต่ไม่รอดไปจากสายตาของผู้ช่วยพิเศษได้
หลังฟังจบแล้วผมขมวดคิ้วแน่นเพราะรู้สึกว่าดาราในสังกัดมีปัญหาอยู่หลายคน และยังมีเรื่องชู้สาวกับผู้บริหารระดับสูงอีก เรื่องนี้คงต้องรีบจัดการก่อนชื่อเสียงบริษัทจะย่ำแย่
"ทำไมผู้จัดการลู่ถึงปล่อยให้มีเรื่องแบบนี้" ผมกำลังพูดถึงผู้จัดการใหญ่ที่ควบคุมคอยดูแลดารานักแสดง "ปกติเขาทำงานไม่เคยบกพร่อง"
"ดูเหมือนผู้จัดการลู่จะโดนซื้อตัวไปแล้ว"
ผมขมวดคิ้วแล้วพยักหน้า "อืม เข้าใจแล้ว" ไม่แปลกใจที่ภายในบริษัทเละเทะ "ไปบอกฝ่ายบุคคลเตรียมรายชื่อผู้จัดการคนใหม่ก่อนที่ฉันจะเข้าประชุม"
ประชุมเก้าโมง ตอนนี้เหลือว่าอีกสี่สิบนาทีได้
"ออกไปได้แล้ว อันหมิง" ผมโบกมือเบาๆ
อันหมิงพยักหน้าแล้วรีบเดินออกไป ผมกำลังจะเปิดคอมพิวเตอร์แต่ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนจึงหันไปบอกว่าเข้ามาได้
คนที่เข้ามาคือเลขาฯหน้าห้องของผมนั่นเองแถมยังถือดอกไม้ช่อใหญ่เข้ามาด้วย ผมเลิกคิ้วขึ้นพลางคิดในใจ...เนบิวล่าเอ๊ย มึงก็เล่นซะช่อใหญ่อย่างกับเอาไปแสดงความยินดีตามงานรับปริญญาเลยนะ
"เอ่อ... มีอะไร" สายตาของหลุกหลิกไปมาแล้วลอบมองดูสีหน้าท่าทางของควินซ์ไปด้วยว่าชื่นชอบดอกไม้ที่ผมให้คนไปหามาให้รึเปล่า
ชอบสิ ใครๆ ก็ชอบดอกไม้ทั้งนั้น
ดอกทิวลิปที่ให้สองวันก่อนก็ชอบ!
เมื่อก่อนผมเคยส่งดอกไม้ให้คู่ควงคนหนึ่ง เธอยังโทรมาขอบคุณแล้วขอบคุณอีกและบอกว่าชอบมาก มันโรแมนติกมากๆ
ผมคิดว่าถ้าส่งดอกไม้ให้ควินซ์ทุกๆ วันน่าจะโรแมนติกและน่ารัก
วาดฝันแบบหนุ่มน้อยวัยใสไม่มีผิด
และแน่นอนว่าผมก็หวังว่าควินซ์จะเล่นไปตามบทที่ผมเขียนไว้...
"ให้ดอกไม้กูทำไม" ควินซ์มองช่อดอกคาเนชั่นอย่างสับสน "ให้เอาไปปักแจกันเหรอ ดีๆ ดอกไม้เก่าเหี่ยวพอดี ขอบใจ"
"..." ผม
"ทำงานวันแรกต้องประดับห้องให้ดูสดชื่นสบายตาหน่อย"
ควินซ์ดึงดอกคาร์เนชั่นออกมาจากช่อสี่ห้าก้านแล้วเอามาเสียบที่แจกันบนโต๊ะผม จากนั้นก็เอาไปเสียบที่แจกันมุมต่างๆ ในห้องทำงานผมอย่างตั้งอกตั้งใจ ดอกไม้เก่าที่อยู่ในแจกันถูกมือขาวดึงโยนทิ้งลงถังขยะทั้งหมดทั้งที่พวกมันก็ยังไม่ได้เหี่ยวเฉาอะไร ดีไม่ดี แม่บ้านเพิ่งเอามาใส่เมื่อเช้าด้วยซ้ำ
รู้สึกเหมือนโดนแกล้งยังไงไม่รู้
หลังจากเติมดอกคาร์เนชั่นจนครบทุกแจกันแล้วแต่ยังเหลือดอกไม้อยู่ก็บอกลาผมแล้วไปปักแจกันข้างนอกต่อ ผมมองประตูที่ปิดลงด้วยแววตามืดครึ้มก่อนจะนั่งกุมขมับอย่างเหนื่อยใจปนอยากกัดหัวควินซ์ทั้งสองสามที
"ทำไมจีบเพื่อนสนิทมันยากแบบนี้วะ"
เฮ้อ กลุ้มใจจริงๆ
ระหว่างรอประชุมในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า แน่นอนว่าผมต้องใช้เวลาทุกนาทีให้คุ้มค่าที่สุด แม้แต่วินาทีเดียวก็จะอยู่เฉยๆ ไม่ได้
เมื่อคอมพิวเตอร์ถูกเปิดเรียบร้อยแล้ว ผมจึงเริ่มค้นหาบางอย่างด้วยความจริงจังยิ่งกว่าการทำงานครั้งไหนๆ
'วิธีจีบเพื่อนสนิท'
'ทำยังไงให้เพื่อนสนิทชอบเรา'
'เปลี่ยนเพื่อนให้เป็นแฟนได้ยังไง'
'วิธีสร้างความเชื่อใจให้แฟน'
'วิธีกระชับความสัมพันธ์แฟนให้ยืนยาว'
'คำพูดต้องห้ามกับแฟน'
ตอนเก้าโมงห้าสิบเหมือนผู้จัดการฝ่ายบุคคลจะเอาแฟ้มรายชื่อที่ผมต้องการมาส่ง แต่ผมไม่ได้ดูในทันที บอกให้เขาวางไว้แล้วออกไป
จากนั้นกลับมาสนใจเนื้อหาในหน้าจอคอมพิวเตอร์ต่อ
ผมจ้องหน้าตาเขม็งอ่านทุกข้อความและจดบันทึกไว้ในสมุดเล่มเล็กส่วนตัวไว้ในเรื่องที่สำคัญๆ จนกระทั่งควินซืมาเคาะประตูเรียกให้ไปประชุมถึงทำการหยุดทุกอย่างและรีบปิดหน้าเว็บพวกนี้ ไม่ลืมที่จะล้างประวัติการท่องเว็บไซต์เพื่อป้องกันอีกชั้น
ถ้ามีคนมารู้ว่าประธานโคตรหล่อโคตรเพอร์เฟ็กต์อย่างผมกำลังมานั่งค้นหาอะไรแบบนี้มันออกจะขายขี้หน้าเกินไป
"บอส ไปประชุมได้แล้วครับ" ควินซ์ย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นผมยังไม่ขยับ
"กำลังไป"
"กำลังก็ลุกครับ"
ผมจิ๊ปากอย่างหงุดหงิดแล้วโยนสมุดบันทึกใส่ลิ้นชักก่อนจะรีบลุกเดินออกไปยังห้องประชุม วันนี้การประชุมเป็นไปอย่างราบรื่นและน่าเบื่อเหมือนเคย
แต่น่าจะมีเรื่องน่าตื่นเต้นอยู่บ้าง...
"ก่อนจบการประชุม ผมมีเรื่องจะแจ้งหนึ่งเรื่อง" ผมตวัดตาไปมองทางผู้จัดการลู่ชายหนุ่มวัยสี่สิบร่างท้วมที่นั่งอยู่ไกลพอสมคววรด้วยสายตาเย็นเยียบ
คนถูกมองหันมาสบตาเข้าพอดี เขาดูสับสนและพยายามไม่แสดงพิรุธอะไร
ผมแค่นยิ้มเย็นแล้วละสายตาออกและพูดต่อ "ดูเหมือนว่าผมไม่อยู่แค่หนึ่งเดือนจะมีคนกล้าทำเรื่องงามหน้าในบริษัทผมอย่างสนุกเลยนะ"
บรรยากาศอบอุ่นในห้องประชุมพลันติดลบทันควัน
ทุกคนต่างก้มหน้าไม่กล้ามองผมแต่ยังแอบเหลือบแอบเหล่มองกันไปมาแล้วจุดรวมสายตาสุดท้ายก็ไปตกที่ผู้จัดการลู่ที่หน้าซีดไม่เหลือสี
"บอสครับ ผมอธิบายได้..."
"เลิกประชุม" ผมตัดบทแล้วลุกขึ้นไม่สนใจใครแต่ก่อนออกมาไม่ลืมบอก "พรุ่งนี้ประชุมสิบโมงเพื่อแนะนำผู้จัดการคนใหม่"
สาวเท้าออกจากห้องประชุมพร้อมกับควินซ์ที่เก็บของเรียบร้อยแล้ว ผมไม่ได้เดินกลับห้องทำงานแต่ไปยังหน้าลิฟต์ ควินซ์รีบตามมาอย่างสงสัย
"บอส คุณจะไปไหน" ถามอย่างตื่นตระหนก
"กินข้าวไง" ตอบตรงๆ เพราะตอนนี้มันเที่ยงสิบนาทีแล้ว
"ไม่กินที่ห้อง?" ควินซ์ทำหน้าประหลาดใจ
อา ผมนึกออกแล้ว ปกติถ้ามาที่จีนผมแทบไม่ออกไปกินข้าวเที่ยงข้างนอกเลย ไม่แปลกที่ควินซ์จะงง
"ไปกินอาหารฝรั่งเศสที่คุณชอบกัน" ผมยิ้มเล็กน้อยแล้วกดเลขลิฟต์ "ที่นี่มีร้านอาหารเยอะมาก พวกเราควรไปลอง"
ใช่ ต้องไปลองให้ครบทุกร้าน
เที่ยวให้ปักกิ่งเป็นเหมือนสวนหลังบ้านไปเลย
ผมมาปักกิ่งหลายครั้งแต่ไม่ค่อยออกไปไหน อุดอู้อยู่แต่บ้านกับบริษัท อยู่เพียงในโลกแคบๆ ของตัวเองทั้งที่โลกนี้มีอะไรอีกมากมายรอคอยให้ผมออกไปค้นพบ
ควินซ์มองเห็นการเปลี่ยนแปลงในตัวผมจึงพยักหน้าแล้วลอบยิ้มเงียบๆ ผมเห็นอีกฝ่ายยิ้มได้เพราะผมแล้วก็รู้สึกยืดขึ้นมา
การได้รับความชื่นชมจากคนรักมันพาให้หัวใจฟูฟ่องจริงๆ
ผมให้ผู้ช่วยอันเป็นคนขับแล้วให้เนบิวล่าไปด้วย ส่วนผู้ติดตามคนอื่นขอให้ตามห่างๆ ก็พอ บางทีมีคนเยอะตามประกบตลอดมันก็อึดอัด
"ร้านนี้ตกแต่งดีนะ มีรสนิยม" ควินซ์มองไปรอบๆ อย่างพึงพอใจ
"ชอบก็ดีแล้ว"
รสนิยมของผมกับควินซ์มีความคล้ายกันพอสมควร เราสองคนเข้ากันได้ดีเรื่องของร้านอาหาร คลับ บาร์เพราะต่างมีสไตล์ความชื่นชอบเหมือนกันเลยไปด้วยกันได้
เนี่ยยย เนื้อคู่ก็อย่างนี้แหละ
ชอบอะไรเหมือนๆ กัน
หยิบสมุดเล่มเมนูมากวาดตาดูเพื่อหาของชอบของควินซ์ จากนั้นก็สั่งกับบริกรอย่างละเอียดว่าเอาอะไรไม่เอาอะไรโดยมีสายตาควินซ์จับจ้องมองอยู่ตลอด
จวบจนบริกรเดินจากไปควินซ์ถึงเปิดปาก "ความจำดีนี่"
"แน่นอน" ผมยิ้มรับแล้วจิบน้ำเปล่าไปคำ "ตกใจ?"
ควินซ์พยักหน้าแล้วมองวิวข้างนอก
"ถ้าบอกว่ามึงรู้จักกูดีที่สุด" เคาะนิ้วเป็นจังหวะบนหน้าตักตัวเอง "คงต้องบอกว่ากูเองก็รู้จักมึงไม่น้อยไปกว่าที่มึงรู้จักกู"
เราเป็นเพื่อนกันมายี่สิบปีย่อมรู้เรื่องราวของกันและกันไม่น้อย ยิ่งผมกับควินซ์เป็นเพื่อนสนิทตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋มาแต่ไหนแต่ไร ความเคยชิน นิสัย ความชอบ สิ่งที่ไม่ชอบ งานอดิเรกล้วนรู้หมด ต่อให้บางเรื่องไม่ได้ถามก็รับรู้ได้เองเมื่อคนเราอยู่ด้วยกันนานๆ
แต่เรื่องที่ผมโง่ที่สุดในชีวิตคงเป็นไม่รู้ใจตัวเองมากกว่า มีเขาอยู่เต็มหัวใจ มีเขาในชีวิต มีเขาอยู่ในโลกแทบจะโลกหนึ่งใบให้ผมแล้วยังโง่ไม่รู้ตัวว่าชอบเขารักเขาเพราะเห็นเขาอยู่ข้างๆ ไม่ไปไหน หันมาเมื่อไรก็เจอเพราะงั้นเลยมองข้ามไป
อยากกลับไปทุบกะโหลกตัวเองจริงๆ ฉลาดทางอารมณ์ให้ได้ครึ่งเรื่องหาเงินหน่อยก็ดี แต่ก็อย่างว่า คนไอคิวสูงมักมีอีคิวต่ำ ยังดีที่อีคิวผมยังไม่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินจนน่าเวทนา
"อื้อฮึ" ควินซ์พยักหน้าบ่งบอกว่าฟังอยู่ "แล้วยังไงต่อ"
"ก็อยากบอกไงว่ากูก็รู้เรื่องมึงนะ ไม่ใช่ไม่รู้นะ" ใช่ๆ นี่แหละที่อยากบอก
"อ้อ" ร้องออกมาคำและก้มหน้าเล่นไอแพด
ชิ เมินกันเหรอ!
ผมจะพูดต่อแต่อาหารรสเลิศได้ถูกนำมาเสิร์ฟพอดี คำที่กำลังจะพูดออกไปเลยต้องกลืนกลับเข้าไปแล้วเริ่มให้ความสนใจอาหารแทน ร้านนี้ยังไม่เคยมา หน้าตาอาหารยังจัดได้ไม่สวยเท่าไรแต่รสชาตินับว่าชั้นหนึ่งได้เลย
ควินซ์นั่งกินเงียบๆ ตามแบบฉบับมารยาทผู้ดีเก่า จะว่าไปเหมือนต้นตระกูลของควินซ์จะแว่วๆ มาว่ามีเชื้อสายเจ้าเมืองเหนืออยู่ นามสกุลที่ใช้ก็บ่งบอกเชื้อสายที่มี เคยถามควินซ์อยู่แต่เจ้าตัวไม่ใส่ใจกับเรื่องพวกนี้ บอกว่าตอนนี้มันก็สายเลือดจืดจางไปหมดแล้ว ไม่มีใครให้ความสำคัญอะไรกับมันแล้ว
บ้านควินซ์เป็นเหมือนตำหนักคุ้มเจ้าสมัยโบราณจริงๆ นะ มันสวยมากแต่ดูเคร่งขรึม ไปบ้านควินซ์ทีไร ผมนี่เหงื่อตกทุกรอบ แต่คนในบ้านก็ปกติดีใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป
อารมณ์ผมกับเขาก็เหมือนผู้ดีเก่ากับเศรษฐีใหม่ไม่ผิด
คิดขำๆ ไม่ได้คิดดูถูกตัวเองอะไร ผมเองก็มีพื้นฐานครอบครัวดี เอ่อ แต่ไม่นับคนเป็นพ่อแล้วกัน เรื่องนี้คงเป็นจุดด่างพร้อยเดียวในชีวิตผม ตอนนี้ก็ทางใครทางมัน เขามีความสุขกับเมียใหม่ลูกใหม่ไปแล้ว
ผมมีพี่มีน้อง ไหนจะตัวเองที่กำลังจะมีครอบครัวอีก
อีกไม่นานผมคงได้แต่งงานกับควินซ์และมีลูกด้วย
คิดแล้วยิ่งอารมณ์ดี
(นับสอง : เหอะๆ ชอบว่าผมขี้มโน ตัวเองไม่น้อยหน้าไปกว่าผมหรอก ฮึ!)
มื้อกลางวันผ่านไปอย่างเรียบง่ายบรรยากาศอบอุ่น เมื่อเห็นว่าควินซ์กำลังสตูว์เนื้อหมดแล้วจึงถามไถ่
"เอาอะไรเพิ่มมั้ย" ผมชะงักที่กำลังจับมีดจับส้อม "ของหวาน?"
ทำหน้าครุ่นคิด "สักหน่อยก็ดี"
ผมยกมือเรียกบริกร ควินซ์เช็ดปาดเงียบๆ แล้วดูเมนูของหวานก่อนจะสั่งไปสองอย่าง เป็นของหวานของตัวเองอย่างหนึ่งและของผมอย่างหนึ่ง
แม้ว่าจะไม่ใช่ของโปรดของผมแต่ในเมื่อว่าที่ภรรยาเอาอกเอาใจขนาดนี้ ผมก็คงปฏิเสธน้ำใจไม่ได้ เดี๋ยวเขาจะเสียใจ
คิดอย่างเบิกบานใจแล้วเตรียมหาคำพูดอะไรสักอย่างมาพูด
ขบคิดกลั่นกรองอย่างละเอียดแล้วก็รู้สึกว่าคำพูดนี้น่าจะดี ควินซ์ฟังแล้วน่าจะรู้สึกดี
"ควินซ์"
เขาเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยสายตางุนงง
"ต่อไปมึงไม่ต้องดูแลกูแล้วนะ"
"มึงหมายความว่าไง!"
สีหน้าควินซ์ซีดแทบจะลุกมาคว่ำโต๊ะจนผมตื่นตระหนกหวาดหวั่นขึ้นมาจับใจและสับสนว่าผมพูดอะไรผิดจึงรีบพูดต่อให้ครบ
"ใจเย็นๆ! กูหมายความว่าต่อไปกูจะเป็นคนดูแลมึงเอง ฟังให้จบก่อน!"
มองตาอีกฝ่ายอย่างหวาดผวาเพราะนึกถึงคราวก่อนที่ผมพูดเว้นวรรคนานไปแถมพูดจาชวนให้เข้าใจผิดอีกเลยโดนต่อยกลับมา ความรู้สึกนั้นยังชัดเจนแจ่มแจ้ง
แน่นอนว่าผมขอไม่เอาหน้าหล่อๆ ไปรับหมัดแล้วเดี๋ยวเสียโฉยกันพอดี
"ทีหลังมึงก็พูดให้มันชัดๆ" ควินซ์ทำหน้าโมโหแล้วกระแทกหลังพิงเก้าอี้พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ "พูดอะไรกำกวมชวนให้คนเข้าใจผิดตลอด!"
"มึงก็อย่าใจร้อนสิ! ฟังกูให้จบ!"
"กูผิด?"
"เปล่าครับ ผมผิดเอง" ผมตอบรับกลับลำอย่างว่องไว
ควินซ์ถอนหายใจอย่างปวดหัวปวดใจและส่ายหัว "เอาตามตรงนะก่อนจะดูแลกู มึงไปดูแลคำพูดตัวเองก่อนเถอะ ชวนให้เข้าใจผิดกี่รอบแล้ว"
เอ่อ ก็หลายรอบอยู่นะ
"มึงพูดแบบนี้เหมือนไม่เชื่อว่ากูจะดูแลมึงได้อะ" ผมขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ
สีหน้าควินซ์บ่งบอกชัดเจนว่าไม่เชื่อแม้ว่าปากจะไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา เล่นเอาผมไฟแทบลุกท่วมหัวจริงๆ ลูกผู้ชายฆ่าได้ หยามไม่ได้!
ผมใช้มีดหั่นสเต็กหมูอย่างโมโหก่อนจะมองควินซ์อย่างมุ่งมั่น
"มึงคอยดูเลยนะ"
"อื้อ"
"กูต้องดูแลมึงได้แน่ๆ!"
มึงตั้งตารอดูเลยนะ ควินซ์!