บทที่ 4
เริ่มบทเรียน
1 อาทิตย์ผ่านไปไวเหมือนโกหก แต่มันก็ผ่านไปแล้วพร้อมความวุ่นวายในแต่ละวันที่ผมบรรยายไม่หมด ไม่คิดเลยว่าชีวิตในโลกเทพเซียนนี่จะใช้ชีวิตอยากกว่าที่คิด เดิมทีเห็นในหนังในซีรีย์ก็นึกว่าง่ายแต่ที่ไหนได้ครับ ยากกว่าที่เห็นเยอะเลย ทั้งต้องท่องสมุนไพรสรรพคุณของมันทั้งแยกส่วน ทั้งต้น ดอก ผล มันจะไม่ยากเลย ถ้าอยู่เงียบๆเรียนและทำความเข้าใจจากที่อาจาร์ยเซียงสอนเอง แต่นี่เวลาเรียนก็เรียนไม่เต็มที่เพราะอาจาร์ยหลี่เที่ยวไล้เที่ยวขื่อมาจีบ เอ้ยยย มาเยี่ยมผม แต่ก็ไม่คุยหรือถามไถ่ผมสักคำ มาทีไรก็มาหยอดมาแกล้งอาจาร์ยเซียงอยู่เรื่อยจนคนที่เป็นที่ระบายอารมณ์อาจารย์เซียงอีกทีก็ผมครับ แรกๆโดนสั่งให้ไปทำความสะอาดห้องสมุนไพรบ้างแหละ สั่งให้ไปจัดหมวดหมู่สมุนไพร สั่งให้ไปจำสมุนไพรทุกตัวในห้องเก็บสมุนไพรบ้างละ แต่นี่ก็แค่ส่วนนึงครับ เพราะตัวการที่ทำให้ผมวุ่นวายจริงๆคือเหล่าศิษย์พี่ของผมต่างหากครับ ด้วยความเคารพ ศิษย์พี่ที่นี่เมื่อรับรู้ว่ามีศิษย์น้องก็ว่าตื่นเต้นแล้ว พอพี่หงไปเล่าว่าผมหน้าตาน่ารักดีเท่านั้นแหละ ที่คิดว่าเขตบุหลันเงียบสงบก็ไม่สงบอีกต่อไป มีแต่เรื่องให้เกิดขึ้นทุกวัน วันนี้ก็เช่นกัน
"ข้าเหนื่อยจังพี่สวี่"
"เอาน่าทนอีกนิดใกล้เสร็จแล้ว ถ้าเสร็จแล้วเดี่ยวพี่จะสั่งขนมอร่อยๆให้เจ้าเอง"
"อีกนิดอะไรกันพี่สวี่ เหลืออีกตั้งเยอะแนะ" (=_=! ) ขวับ โดนมองแรงใส่อีก ก็มันความจริงนี่น่า
"เจ้าเด็กคนนี่นี้ มองว่ามันอีกนิดมันก็เหลือแค่อีกนิดสิ มองมันเยอะก็ท้อใจแย่นะสิ เจ้านี่"
"ก็ได้ขอรับ อีกนิดก็อีกนิด"
จากนั้นร่างผอมเพรียวน่ารัก ตะมุตะมิ ผิวขาวอมชมพูที่เตี้ยกว่าผมและกำลังนั่งยองๆ ถอนต้นหญ้าต้นเล็กๆต่อในแปลงสมุนไพรที่วันนี้ผมมีเวรจะต้องมารดน้ำและถอนวัชพืชออกจากสมุนไพรชั้นราชันที่เขตสำนักบุหลันปลูกเอาไว้เพื่อให้ศิษย์สายโอสถได้ศึกษาและฝึกวิธีดูแลที่ถูกต้อง พอถึงหน้าเก็บเกี่ยวก็ฝึกวิธีเก็บที่ถนอมสมุนไพรให้ได้นานที่สุดโดยสรรพคุณยังคงเหมือนเดิม แต่สมุนไพรที่มีพลังปราณสูงกว่านี้อาจาร์ยเซียงก็จะมอบหมายให้ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รองและศิษย์พี่สามหรือพี่หงดูแล เพราะฉะนั้นแปลงที่เป็นสมุนไพรราชันนี้เดิมที ไม่ใช่เวรผมหรอกครับ แต่พวกศิษย์พี่ทั้งหลายที่ต้องการหาเรื่องหาราวมาคุยกับผม มาชวนผมทำนั้นทำนี่ด้วยเต็มไปหมดรวมถึงการเล่นทอยลูกเต๋าโดยที่ศิษย์พี่สี่ข่ายนำมาเล่นที่ห้องผม โดยมีพี่หงร่วมวงด้วย ทอยเฉยๆผมจะมาถอนหญ้าได้ไง แน่นอนมันต้องมีการพนันสิครับ ใครคิดต่างการพนันย่อมตามมา โดยมีแค่สองฝั่งครับ ต่ำกับสูง ทอยแต่ละครั้งก็บอกสิ่งที่ต้องการไปใครแพ้ก็หาให้ฝั่งชนะไป และเล่นตาแรกปุบพี่หงกับพี่ข่ายบอกอยากได้คนไปถอนวัชพืชและรดน้ำพรวนดินในแปลงสมุนไพรให้ครับ ซึ่งผลก็อย่างที่ทุกคนคิด ผมและพี่สวี่เราแพ้เลยต้องมาถอนหญ้า พรวนดินอยู่แบบนี้ และพวกผมก็คิดว่าจะได้แก้มือในตาต่อไป แต่ไม่เลยครับ พอพี่หงและพี่ข่ายได้สิ่งที่ต้องการก็หายตัววับไปราวกับเมื่อกี้ผมแค่ฝันไป และวันต่อมาในชั้นเรียนอาจาร์ยเซียงก็ชี้บอกถึงแปลงที่พวกผมต้องทำ ผมก็งงว่าอาจารย์รู้ได้ไง อาจารย์เลยบอกผมว่าพี่หงกับพี่ข่ายบอกว่าศิษย์น้องหกและศิษย์น้องห้าอาสาส่วนของสองคนนั้น อาจารย์เลยต้องบอกขอบเขตอีกทีนึง สรุปง่ายๆคือผมสองคนเป็นเหยื่อของพี่หงพี่ข่ายครับ เพราะปกติหน้าที่พวกนี้จะมีเวทย์กำจัดอยู่แล้วแต่ต้องร่ายก่อนที่ต้องมันจะเติบโต เพราะมันจะได้ไม่เกิดขึ้นมาแย่งอาหารของสมุนไพร แต่อาทิตย์ที่แล้วที่พี่ข่ายลืมร่ายเวทย์กำจัดทำให้มันเติบโตและแย่งดูดซึมน้ำปราณทิพย์ที่รดสมุนไพรทุกวันเข้า มันจึงโตและแข็งแรงกว่าสมุนไพรในแปลงครับ ทำให้ร่ายเวทย์กำจัดอีกรอบก็ไม่มีผลกับมันหรอกครับ ซ้ำยังมีผลกับสมุนไพรอีกเพราะต้นมันไม่แข็งแรง ดังนั้นพี่ข่ายที่ทำผิดต้องแก้ไขปัญหาเองด้วยการถอนเท่านั้น และผู้ที่ดูแลพี่ข่ายอีกทีก็คือพี่หงที่ต้องรับผิดชอบร่วมด้วยเพราะไม่ตรวจสอบการทำงานของน้องอีกที ดังนั้นผมกับพี่สวี่จึงแบ่งกัน โดยสมุนไพรในแปลงพื้นฐานผมจะรับผิดชอบเองและแปลงราชันพี่สวี่จะเป็นคนทำ และที่ผมต้องมาทำที่แปลงราชันด้วยก็เพราะพอผมไปทำที่แปลงพื้นฐานวันเดียวทำทั้งวันทำแทบตาบก็ทำไปได้แค่หนึ่งในห้าส่วนครับ ผมละโคตรท้อเลยที่เห็นมันยังเหลือเยอะเหมือนเดิมเหมือนที่ผมถอนไปไม่มีประโยชน์เลย ผมเลยกะจะมาทำอีกทีหลังเลิกเรียนวันต่อไป แต่พอมาถึงอีกวัน ทั้งแปลงสมุนไพรพื้นฐานกับไม่มีวัชพืชสักต้น ไม่มีเลย แม้สักนิดก็ไม่มี มีแต่สมุนไพรที่กำลังโต ผมเลยมองหารอยเท้ารอบแปลงแต่ก็ไม่มีรอยเท้าเลยสักนิด แต่กองหญ้าที่ผมถอนเมื่อวานยังอยู่แสดงว่าที่ผมเห็นหญ้าเมื่อวานคือเรื่องจริง แต่ใครจะมาถอนช่วยนี่สิประเด็น ดังนั้นผมเลยมาช่วยพี่สวี่โดยแบ่งกันมาทำคนละอย่างครับและวันนี้ก็เวรผมที่ต้องมากำจัดต้นวัชพืชที่ถอนแล้วให้ตายจริงๆครับ ด้วยความที่แปลงนี้มีแต่สมุนไพรชั้นราชันครับ ฉะนั้นหญ้าที่โตในแปลงก็ระดับเดียวกันเลยครับแถมปราณยังแข็งแกร่งกว่าสมุนไพรอีก ทำให้พอถอนต้นมาแล้วเนี่ย มันไม่ตายครับ ผมเลยต้องมานั่งสับมันเป็นชิ้นๆและเผามันให้สิ้นซาก โดยมีพี่สวี่เป็นคนถอน จริงๆเวรผมต้องถอนและพี่สวี่ต้องสับแล้วเผา แต่ผมเห็นแกสับทีไรมันหวาดเสียวทุกที เหมือนมีดในมือจะลอยมาแฉะหัวผมได้ทุกเมื่อผมเลยอาสาทำเอง และตอนนี้ก็มาถึงแปลงสุดท้ายแล้ว
"ว้ากก"
"เกิดอะไรขึ้นขอรับพี่สวี่ เป็นอะไรรึเปล่า"อยู่ๆพี่สวี่ก็ร้องขึ้นเสียงดัง ทำผมต้องใจตามไปด้วย
"งะ..งะ.งะะะ..งู"พี่สวี่พูดตะกุกตะกักพร้อมกับชี้มือไปในแปลงสมุนไพรที่มีหญ้าแซมประปราย
"ไหนขอรับ"ผมเลยค่อยๆเดินไปดูตามนิ้วที่ชี้ไป เพื่อดูว่ามันมีพิษหรืออันตรายรึเปล่า
"ตรงนั้นไง ข้างต้นสมุนไพรนะ"ผมเลยมองตามต้นสมุนไพรดูก็สบตาเข้ากับดวงตาสีแดงกล่ำตัวสีเขียวไม่ต่างจากสมุนไพรเลย และผมก็ไม่รู้คิดอะไรจึงยื่นมือไปลูบหัวมันโดยที่ไม่กลัวมันฉกสักนิดทั้งที่มันคืองูเขียวเขี้ยวพิษขั้น 1 ซึ่งถือว่าเป็นสัตว์ชั้นต่ำ แต่มันมีพิษที่ร้ายแรงมากตรงเขี้ยวสามารถปลิดชีพศัตรูได้เพียง 10 นาทีที่โดนมันฉก แต่ตอนที่ผมสบตามันอยู่ๆก็มีความรู้สึกสงสารอย่างบอกไม่ถูกขึ้นมาในใจจึงยื่นมือไปลูบหัวมันหวังปลอบประโลมและมันก็ยื่นหัวมาให้ผมลูบและเอาหัวมาดุนและคลอเคลียมือผม เหมือนแมวอ้อนเลย ผมเลยยื่นมือออกไปสองมือ งูตัวนั้นเห็นจึงเลื้อยขึ้นมาบนฝ่ามือผมแต่โดยดีและทำตัวว่าง่ายมาก ผมชอบจัง เอาไปเลี้ยงดีกว่า
"เจ้าอยากไปอยู่กับข้ามั้ย ข้าสัญญาจะดีต่อเจ้า" ผมถามไปด้วยรอยยิ้มและให้สัญญาอย่างจริงใจ ทั้งที่ไม่รู้ว่าสัตว์ขั้น 1 แบบนี้จะฟังผมรู้เรื่องมั้ย เพราะปกติจะเป็นสัตว์เทพหรือสัตว์อสูรที่มีปราณระดับสี่ขึ้นไปที่จะฟังมนุษย์รู้เรื่อง แต่ผมกลับเห็นดวงตามันเป็นประกายและผงกหัวอย่างรวดเร็วหลายรอบ เหมือนกลัวว่าผมจะไม่รู้ว่ามันฟังผมรู้เรื่อง
"5555 งั้นต่อไปนี้ข้าจะตั้งชื่อเจ้าว่าเสี่ยวเสี้ยว เป็นอย่างไร"ผมหัวเราะถูกใจและตั้งชื่อให้สัตว์เลี้ยงน่ารักของผม เสี่ยวเสี้ยวที่ตอนนี้มีชื่อจึงเลื้อยไปมาบนฝ่ามือขาวเนียนไปมา
"จะดีเหรอหลงเอ๋อร์ งูเขียวเขี้ยวพิษมันอันตรายนะ"พี่สวี่ที่ยืนดูอยู่เงียบๆเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดก็อดจะเป็นห่วงน้องเล็กของที่นี่ไม่ได้ แต่อีกใจก็รู้สึกว่างูตัวนี้จะไม่ทำอะไรน้องเขาแน่ๆ แต่เขาก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี
"อย่างห่วงเลยขอรับพี่สวี่ ข้าเชื่อว่าเสี่ยวเสี้ยวไม่มีวันทำอะไรข้า"ผมกล่าวอย่างมั่นใจในสายตาที่กำลังมองสบตากับเสี่ยวเสี้ยวราวกับรู้สึกถึงความในใจอีกฝ่ายได้
"เช่นนั้นก็จงดูแลเสี่ยวเสี้ยวให้ดีละ อย่างคิดแค่อยากเลี้ยงเล่นๆเข้าใจมั้ย เพราะทุกสรรพสัตว์ล้วนมีชีวิตจิตใจไม่ต่างจากมนุษย์"
"ขอรับพี่สวี่"ผมรับคำที่พี่สวี่สอน เพราะผมก็คิดอย่างนี้เหมือนกัน
"งั้นหลงเอ๋อร์พาเสี่ยวเสี้ยวกลับห้องเถอะหาข้าวหาน้ำให้เสี่ยวเสี้ยวด้วยละ ท่าทางระโหยโรยแรงแบบนี้น่าจะยังไม่ได้กินอะไรนะ"หลังจากที่เลื้อยไปมาจนเหนื่อยตอนนี้เลยมีสภาพอย่างที่พี่สวี่พูดไม่ผิดเลยขอรับ ท่าทางหมดแรงแล้วนอนขดตัวเป็นวงบนมือผม
"แล้วที่นี่ละขอรับ"
"พี่ดูแลเองเหลืออีกไม่มากละ หลงเอ๋อร์ไปเถอะ"
"เช่นนั้นข้า ฝากพี่สวี่ด้วยนะขอรับ"
"อืม ไม่ต้องห่วง พี่จัดการได้"
"ขอบคุณขอรับ พี่สวี่ก็ระวังขึ้นนะขอรับเผื่อมีงูเงี้ยวเขี้ยวขออีก อาจจะเป็นอันตรายได้"
"ได้เลย"
หลังจากกำชับพี่สวี่เสร็จผมจึงพาเสี่ยวเสี้ยวกลับมาที่ห้องและพาไปเล่นน้ำ และหาตะกร้าใบเล็กมาใส่ผ้าผืนเล็กลงไปทำเป็นที่นอนให้เสี่ยวเสี้ยวและก็สั่งอาหารที่ผมกินปกติมาไว้ด้วย พอพาเสี่ยวเสี้ยวเล่นน้ำเช็ดตัวเสร็จกำลังจะป้อนเสี่ยวเสี้ยวผมก็นึกได้ว่างูจะกินอาหารคนได้เหรอ โดนผมคีบหมูผัดพริกเผาลอยอยู่กลางอากาศโดยกำลังคิดถึงความเป็นจริงว่างูควรจะกินอะไร โดยลืมมองดวงตาสีแดงเปร่งประกายเมื่อเห็นอาหารลอยเด่นตรงหน้าจึงฉกกินอย่างตะกละตะกราม โดยมีสายตาอี้เหลียนหลงมองตามด้วยความตะลึง และคิดในใจว่าเลี้ยงง่ายกว่าที่คิดจากนั้นจึงคีบขึ้นมาป้อนเรื่อยๆจนท้องเสี่ยวเสี้ยวเริ่มป่องจึงหยุดป้อนและช้อนเอาไปวางไว้ในตะกร้าที่เตรียมไว้
"พักผ่อนนะเสี่ยวเสี้ยว เดี่ยวพรุ่งนี้จะให้เจ้าลิ้มลองขนมที่ข้าชอบด้วย"เสี่ยวเสี้ยวผงกหัวและขดตัวนอนอย่างว่าง่าย ส่วนผมจึงกลับมากินข้าว แต่กินยังไม่ทันอิ่มดีก็มีเรื่องราววิ่งเข้ามาหา
ปังงงงงง ประตูห้องผมถูกถีบออกด้วยฝีเท้าของศิษย์พี่ใหญ่เซียวที่มีเบ้าหน้าสวยราวกับนางพญา แต่นิสัยเถื่อนชิบหาย เถื่อนชนิดที่ไม่เกรงใจในเบ้าหน้าแกเลย ด้วยตัวที่สูงถึง 183 ซม. และตัวที่เพรียวมีกล้ามเนื้อกำลังสวย ทำให้ลูกถีบพี่แกส่งเสียงดังพอที่ผมจะตกใจง่ายๆเลย
"พี่เซียว ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าถีบประตู เคาะหรือไม่ก็เปิดเข้ามาก็ได้ ข้าไม่ได้ล็อค"
"น้องเล็กกก ข้าได้ยินว่าเจ้ามีสัตว์เลี้ยงน่ารักเหรอ"
"พี่เซียวรู้ได้ยังไง"
"สวี่เอ๋อร์เล่าให้ฟัง พี่เลยอยากเห็น ไหนๆ สัตว์เลี้ยวน่ารักนะ พี่ขอยลโฉมหน่อยสิ"
"เอ่อ จะดีเหรอขอรับ"เห็นท่าทางตื่นเต้นราวกับได้ของเล่นของพี่เซียวแล้ว ผมใจคอไม่ดีเลยแฮะ เหมือนจะมีเรื่องราวที่ทำให้ปวดหัว
"ดีสิ พี่อยากเห็นๆ อยากรู้จัก อยากเล่นด้วยอะ นะนะนะ ให้พี่รู้จักเสี่ยวเสี้ยวหน่อยนะ"ถึงจะพยายามทำตัวเถื่อนกลบใบหน้าสวยยังไง แต่นิสัยที่ซุกซนและรักสนุกนี่ก็ปิดไม่มิดเลยสินะ ขอแค่เป็นเรื่องที่คิดว่าสนุกพี่ใหญ่เซียวคนนี้พร้อมนำน้องๆทำเรื่องปวดหัวให้อาจารย์เซียงทันที
"เช่นนั้น ทางนี้เลยขอรับ"ผมจึงผายมือ และเดินนำมาที่ตะกร้าเสี่ยวเสี้ยว
"ว้ากกกก งูนี่งู งูๆๆๆๆๆ มันคืองู อ้ากกกกกกก"เมื่อผมพามาถึงตะกร้าแล้วแล้ว พี่เซียวก็ชะโงกหน้าไปดูในตะกร้าด้วยความตื่นเต้น แต่ก็ต้องสะดุงโหยงและร้องออกมาเสียงดังทันที ก่อนจะวิ่งหนีออกไปด้วยความหวาดกลัว ราวกับเจอผีอะไรอย่างนั้นเลย โดยได้ยินเสียงพี่เซียวตะโกนส่งท้ายรางๆประโยคนึง
"สวี่เอ๋อร์เจ้าเด็กน่าตาย รู้ว่าข้ากลัวงูมากเจ้ายังกล้าหลอกข้ามาดูอีกนะ เจ้าตายแน่ เด็กแสบบบ"
"55555 ที่แท้พี่เซียวกลัวงูนี่เอง โดนพี่สวี่แกล้งอีก น่าสงสารๆ"ตึกๆๆๆๆเสียงวิ่งปะ
"น้องหกกกก เจ้าเก็บงูได้เหรอออ ตัวใหญ่มั้ยยย น่ากินมั้ยยยยยย"พี่ข่ายวิ่งมาด้วยความเร็วแสงหลังจากได้ยินพี่ใหญ่ตะโกนวิ่งหน้าตั้งไปห้องพี่สวี่โดยผ่านหน้าห้องพี่ข่ายพอดี อะไรจะวุ่นวายขนาดนี้
"เอ่อ พี่ข่าย ข้าเก็บมาเลี้ยงไม่ได้เก็บมากินขอรับ"
"เก็บมาเลี้ยงให้โตและจะได้กินอิ่มๆใช่มะะ"( +_+) (-_+?)
"ใครเขาจะกินสัตว์เลี้ยงตัวเองละพี่ข่ายยย"
"พี่ไง พี่เคยเลี้ยงกระทิงเวทย์ แต่มันไม่ฟังที่พี่บอกให้มันไปล่าหมูป่ามา พี่หิว พี่เลยกินกระทิงพี่แทน อร่อยมากเลย พี่เพิ่งรู้ว่าเนื้อกระทิงอร่อยก็วันนั้นละ"มีใครเคยบอกพี่แกมั้ยว่ะ ว่าพี่แกกินแปลก แปลกมากก ใครจะไปกินกระทิงกัน สัตว์ใหญ่ขนาดนั้นพี่แกล้มคนเดียวและกินคนเดียวอะนะ และเป็นสัตว์เวทย์อีกไม่ใช่สัตว์ทั่วไป โอ้ยยยพี่เอ้ยยยย หัวจะปวดดด พี่แกคงไม่จ้องจะแหลกงูผมหรอกนะ
"แต่เสี่ยวเสี้ยวคือเพื่อนของข้า พี่ข่ายห้ามคิดจะกินมันนะ"ผมรีบเตือนทันที
"ตัวเล็กขนาดนี้ไม่อิ่มหรอก" อ้าว
"ต่อให้ตัวโตกว่านี้พี่ก็ไม่ควรจะกินมันนนน"
"พี่ล้อเล่นหรอกน่า มันไม่น่าอร่อยเท่าไก่ฟ้าหรอก เราไปล่าไก่ฟ้ากินเถอะน้องหก ป่ะ"
หลังจากที่หยอกผมพอประมาณ หยอกแหละนะจากคำพูดอะ พี่ข่ายก็บอกจุดประสงค์ที่แท้จริงออกมาคืออยากกินไก่ย่างและอยากเที่ยวป่าครับ เลยจะชวนผมไปล่าไก่ฟ้าและย่างกินทั้งที่ไก่ย่างในครัวออกถมไปแต่พี่แกอ้างว่าไม่ท้าทายครับ
"อีกแล้วเหรอพี่ข่าย ครั้งที่แล้วเกือบเผาป่านะ"
"ครั้งนั้นพี่มัวแต่อยากโชว์หลงเอ๋อร์ไงเล่า จริงๆฝีมือการย่างไก่ของพี่เป็นที่หนึ่งเลยนะ เชื่อมือพี่สิ"
"เชื่อก็เชื่อขอรับ"จริงๆท่าทางเหมือนจะน่าเชื่อถือนั้นของพี่ข่ายก็มั่นใจอยู่หรอก ถ้าไม่ใช่วันที่สองที่ผมมาอยู่ที่เขตสำนักบุหลันและโดนพี่ข่ายโดดเรียนหนีออกทางหลังเขตสำนักที่ติดป่าและพาผมล่าไก่ฟ้าเพื่อมาย่างกิน แต่พี่แกทำอีท่าไหนไม่รู้แทนที่ไก่จะไม่มีขน กลายเป็นเหลือแต่ขนไม่มีตัวไก่ ไก่ย่างก็ไม่ได้กินกลับมายังโดนอาจารย์เซียงลงโทษที่โดดเรียนตั้งแต่คาบแรกให้ทำความสะอาดห้องสมุนไพรอีก ถ้าคิดว่านี่สุดแล้วยังครับ พี่ข่ายยังสุดได้มากกว่านั้น เมื่อสองวันที่แล้ว จากบทเรียนครั้งก่อนพี่ข่ายเลยมาหาผมหลังจากเลิกเรียนแล้ว และก็พาผมไปที่หลังเขตสำนักเพื่อล่าไก่ฟ้าอีกครั้ง และครั้งนี้ทุกอย่างผ่านไปได้อย่างสวยงาม ทั้งถอนขนไก่ หมักไก่ เหลือลงไฟย่างครับ ระหว่างที่พี่ข่ายก่อไฟก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนเอาไก่ลงไปย่างด้วยความที่ไก่ตัวโตและมีไขมันอยู่เยอะ ทุกคนคิดภาพออกกันมั้ยครับ ว่าน้ำมันจากตัวไก่หยดลงไปกองไฟละอะไรจะเกิดขึ้น ไฟปะทุและกระเด็นละอองไฟออกไปรอบๆกองไฟ ซึ่งรอบๆก็คือใบไม้แห้งครับมันจึงเกิดไฟไหม้ ด้วยความตะลึงอยู่เราสองคนจึงยืนดูเฉยๆไปแปปนึง หลังจากตั้งสติได้พี่ข่ายกับผมจึงช่วยกันหากิ่งไม้มาเขี่ยใบไม้แห้งออกจากทางไฟ ตัดวงจรไม่ให้ไฟลาม โดยพอตั้งสติได้จริงๆเราจึงมองหน้ากันละสงสัยว่าทำไมเราไม่ร่ายเวทย์เสกน้ำมาดับไฟกันโว้ย จากนั้นก็หัวเราะลั่นป่าทั้งคู่ในความเขลาของตัวเอง
"พี่ข่ายไปทิศเหนือ ข้าจะไปทิศใต้ละเจอกันที่ต้นหงระย้าที่เดิม"
"ได้ ละวันนี้หลงเอ๋อร์จะต้องได้ลิ้มรสฝีมือพี่สักที"
"ขอให้ได้กินจริงๆสักทีเถอะพี่ข่าย"
"ต้องได้สิ คนอะไรจะทำไม่สำเร็จถึงสามครั้งกันเล่า"
"ว่าไม่ได้นะพี่ข่าย เกิดมีครั้งที่สามนี่ข้าว่าพี่ต้องหยุดกินไก่ไปทั้งชาติละล่ะ"
"จิ๊ อย่าพูดเป็นลางสิ ยิ่งกลัวๆอยู่"
คำพรึมพรำเบาๆนั้นผมได้ยินชัดเจนเลยครับ แต่ผมจะไม่ซ้ำเติมแกหรอกว่าผมคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะวันนี้ก็ยังไม่มีทางได้กินไก่ย่าง ผมกับพี่ข่ายเลยแยกกันไปหาไก่ป่าคนละทิศกัน ผมเดินเข้ามาในป่าทิศใต้ที่ส่วนใหญ่ก็เหมือนๆกันหมดคือมีต้นไม้ใหญ่ ดอกไม้ ใบหญ้า กระรอก นก กา และเสียงจั่กจั่น เสียงใบไม้ไหว กลิ่นป่าและน้ำตกที่ไกลออกไปมีอยู่ 1 แห่งที่น้ำใส สะอาด น่าเล่นและมีดอกไม้รายรอบน้ำตก ผมมาหาไก่ฟ้าแถวนี้บ่อยๆเพราะเป็นแหล่งน้ำ สิ่งมีชีวิตทุกชนิดล้วนต้องกินน้ำละนะ ผมเลยไปซุ่มรอไก่ฟ้าที่น้ำตกนั้น และก็ร่ายเวทย์กับดักจนได้ไก่ฟ้าตลอด แต่วันนี้นอกจากเสียงธรรมชาติที่ผมบอกไปยังมีเสียงขลุ่ยที่แว่วมาตามสายลม และยังมาจากทางน้ำตกที่ผมจะไปอยู่ด้วยพอดี ผมจึงค่อยๆเดินเข้าไปใกล้น้ำตก จนตอนนี้ผมยืนอยู่ใต้ต้นไม้ต้นนึงที่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากน้ำตกมากนัก และผมก็มองเห็นแผ่นหลังสูงใหญ่ที่มีผมยาวสลวยครึ่งนึงหมัดรวบผมด้วยผ้ายาวสีทองอร่ามที่ปลิวไสวไปกับลมราวกับงูเล่่นลมไว้กลางศรีษะและปล่อยอีกครึ่งปล่อยสยายไปตามแผ่นหลังนั้น และรัศมีสีทองช่างเข้ากับชุดสีดำปักลวดลายมังกรทองที่อีกฝ่ายสวมเหลือเกิน แค่แผ่นหลังและรัศมีก็ทำให้ผมรู้เลยว่าต้องเป็นผู้อาวุโสสักคนในสำนักญาณศึกษาเป็นแน่ โดยผมเห็นแค่ข้างหลังร่างสูงนั้นที่กำลังยืนบนโขดหินและเป่าขลุ่ยอย่างไพเราะราวกับขับกล่อมป่าอยู่นั้น ทำให้ผมเผลอเดินออกไปข้างหน้าไม่รู้ตัว
เปี๊ยะ เสียงที่เกิดขึ้นคือผมเผลอเหยียบกิ่งไม้แห้งหักจนเกิดเสียงดังแทรกจังหวะที่ร่างสูงเป่าขลุ่ยอยู่จนอีกฝ่ายชะงักและลดขลุ่ยลง และหันหน้ามามองผม เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ผมเงยหน้าขึ้นพอดีจึงทำให้เราสบตากันโดยไม่ตั้งใจ ตึกตักๆๆ เสียงหัวใจที่เต้นรัวนี่ไม่ใช่ว่าตื่นเต้น หรือหล่อเหลาอะไรหรอกนะครับ ไอ้หล่อนะหล่อตั้งแต่รัศมีละครับ แต่ที่ผมตื่นเต้นกว่านั้นคือคนตรงหน้าผมนี่คือคุ้นหน้ามาก ยิ่งดวงตาดำสนิทราวรัตติกาลที่ไม่มีวันสิ้นสุดแบบนี้ที่ผมเคยสบตาด้วยมีคนเดียว คือคนที่ให้หนังสือปกดำที่ผมคิดว่าเป็นนิยายจนทำให้ผมต้องมาที่นี่ยังไงละครับ
"นี่..คะ..คุณ คุณก็มาที่นี่งั้นเหรอ"ผมถามด้วยความประหลาดใจ
"ข้าล้วนไปได้ทุกที่"เขาทำหน้านิ่ง แต่สายตาหงุดหงิดที่ส่งมาผมรู้สึกได้
"หมายความว่าไงที่คุณบอกว่าไปได้ทุกที่ งี้แสดงว่าคุณเป็นคนพาผมมาที่โลกนี้ด้วยใช่มั้ย"
"พูดอันใดของเจ้า"คราวนี้เขาทำหน้างง และส่งสายตาเหมือนผมเป็นคนวิปลาสมาให้
"ก็ที่โลกนิยายนี่ไง คุณบอกไปได้ทุกที่แสดงว่าคุณเป็นคนพาผมเข้ามาที่นี่นะสิ"
"นิยายคืออันใด ที่ข้าบอกไปได้ทุกที่คือที่นี่ทุกแห่งหนมีที่ใดที่ข้าไปไม่ได้กัน "ที่นี่คือที่ของข้า ข้าล้วนไปได้ทุกที่ ของที่อยู่ที่นี่ก็เช่นกัน
"อย่างมาทำไขสือไม่รู้เรื่องนะ"
"เจ้านี่พูดจาประหลาด เจ้าวิปลาสเหรอ"เขาถามผมหน้านิ่ง
"ผมไม่ได้บ้านะ คุณพาผมกลับบ้านกลับโลกผมเลยนะ ผมอยากกลับบ้านแล้วไม่รู้ที่บ้านเป็นห่วงขนาดไหนแล้ว พากลับเลย"
"กลับอันใดของเจ้า ข้าไม่เข้าใจที่เจ้าพูด เจ้ามันคนวิปลาส ข้าจะละเว้นเจ้าไปละกัน"เขาทำหน้าหงุดหงิดใส่ผมเต็มประดา นั้นยิ่งส่งทำให้ผมใจเสียกว่าเดิม ก็ถ้าเขาไม่รู้เรื่องที่ผมพูดจริงๆ หรือว่าเขาจะไม่ได้พาผมเข้ามา หรือเขาจะโกหกอยู่ แต่ทั้งท่าทางและแววตามันจริงมากว่าเขาไม่รู้เรื่องเลย หรือเขาคือคนในโลกนี้ และที่ผมเจอละคือคนในยุคนั้นแบบครอบครัวผมใช่มั้ย งั้นเขาก็คงจะเป็นแบบนั้นสินะ แล้วแบบนี้ผมจะยังกลับบ้านได้มั้ย แล้วผมจะกลับยังไง ละผมมาทำไมอะ มาเพื่อเป็นพระเอกใช่มั้ย ใช่พระเอกจริงๆใช่มั้ย
"เอ่อ ขออภัยท่านผู้อาวุโสที่ล่วงเกิน ผู้น้อยแค่เข้าใจผิดและพูดจาเลื่อนเปื้อนไปเอง ผู้อาวุโสโปรดลงโทษด้วย"เมื่อคิดได้ดังนั้นผมเลยทำตัวเป็นอี้เหลียนหลงตามปกติ
"ข้าไม่ใช่ผู้อาวุโสหรอก"
"เช่นนั้นให้ผู้น้อยเรียกท่านเทพว่าอย่างไรจึงจะเหมาะสมขอรับ"
"จินหลง เรียกข้าว่าจินหลง แล้วเจ้าละเด็กน้อย"มังกรงั้นเหรอ ชื่อสมตัวดีนี่
"ผู้น้อยเหลียนหลงขอรับ"
"อืม เหลียนเอ๋อร์สินะ"เหลียนเอ๋อร์งั้นเหรอ ไม่เคยมีใครเรียกเขาแบบนี้มาก่อนเลยแฮะ แต่ทำไมรู้สึกคุ้นๆเหมือนเคยมีคนเรียกชื่อนี่จากความทรงจำรางๆในหัวกัน
"ปกติมีแต่คนเรียกหลงเอ๋อร์ขอรับ"ผมบอกไปตามความจริง
"งั้นเหรอ งั้นก็ให้ข้าเป็นคนแรกและคนเดียวก็แล้วกัน"ห๊ะ
"....."
"แล้วเจ้ามาทำอะไรที่นี่"เขาถามผมน้ำเสียงเหมือนขับกล่อมเลย
"มาหาไก่ฟ้าไปย่างขอรับ"
"งั้นเหรอ"
"มันอร่อยรึ"
"ไม่รู้สิขอรับ ยังไม่เคยกิน"
"อ้าว แล้วเจ้าจะอยากกินไปทำไมกัน ในโรงครัวมีแยะแยะที่อร่อย"
"แหะๆๆๆ ไม่ทราบสิขอรับ พอดีศิษย์พี่ข่ายเป็นคนอยากกิน"
"อืม พวกเจ้าเป็นศิษย์ของซิวเซียงเหรอ"จินหลงที่บอกให้เรียกเขาแบบนั้นเรียกชื่ออาจารย์ผมออกมาราวกับสนิทหรือรู้จักดี ทำให้ผมต้องระวังว่าจะเจอศัตรูของอาจารย์หรือแม้แต่คนจีบของอาจารย์ละนะ เอาตรงๆคือไม่อยากเป็นสะพานไปหาอาจารย์เขา แค่อาจารย์หลี่คนเดียวก็เดินข้ามเขาเป็นสะพานจนสึกละ
"ขอรับ"
"เจ้าไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้ ข้าไม่ดุอะไรเจ้าหรอก และข้าก็ไม่ใช่ทั้งสองอย่างนั้นแหละ"จินหลงตอบราวกับรู้ทันความคิดผมแหนะ
"ท่านไม่ใช่อย่างที่คิดจริงๆใช่มั้ย"ผมถามย้ำให้แน่ใจ
"แน่นอน"
"ฟู่ว ค่อยหายใจโล่งคอหน่อย"เพราะถ้าจินหลงมาจีบอาจารย์เขาจริงๆ คิดว่าอาจารย์หลี่จะฆ่าใครถ้าไม่ใช่คนที่ถูกจินหลงใช้เป็นสะพานอย่างผม
"หึๆๆๆงั้นเจ้าก็ล่าไก่ฟ้าของเจ้าไปเถอะ ไว้เจอกัน"จินหลงพูดปุบหายไปปับเลย ยังไม่รู้เลยเขามาทำอะไรที่นี่ เหมือนแค่อยากให้ผมรู้จักเลยมาดักวางแผนนี้อะ แต่ไม่หรอก ใครจะว่างอะไรขนาดนั้น และจินหลงจะอยากให้ผมรู้จักทำไม ถูกมะ ฉะนั้นนี่มันก็แค่บังเอิญละน่า หาไก่ไปย่างดีกว่า
สรุปทั้งผมทั้งพี่ข่ายล่าไก่ฟ้าไม่ได้เลยไม่มีการย่างไก่เกิดขึ้น จึงแยกย้ายกลับห้อง ผมเลยแวะดูสี่ยวเสี้ยวที่ตอนนี้หลับไปแล้ว แล้วเดินเข้าไปฉากกั้นและอาบน้ำสวมชุดนอน เดินไปปิดประตูหน้าต่างให้สนิทเรียบร้อยแล้วล้มตัวลงนอนโบกมือเบาๆเทียนในห้องก็ดับตัวลง และเข้าสู่ภวังค์แห่งฝัน ถึงเรื่องราวบางอย่าง
ณ ตำหนักเวหาภาพมืดสนิทในกระจกส่องชีวิตทำให้มองไม่เห็นสิ่งใดเคลื่อนไหว นอกจากเสียงลมหายใจของเจ้าของห้อง จินหลงที่เห็นเหตุการณ์ในวันนี้ทั้งหมดทุกเรื่องแม้แต่เรื่องงูเขียวชั้นต่ำตัวนั้น ที่ไม่รู้ว่าเข้าไปในแปลงสมุนไพรนั้นได้อย่างไร และทั้งท่าทางของมัน และแววตาแดงกล่ำนั้น ดูคุ้นเคยอย่างแปลกประหลาด โดยเฉพาะแววตายามจ้องมองเหลียนเอ๋อร์นั้นยิ่งดูคุ้นเคย แต่จะเป็นไปได้ยังไงกัน ก็มันได้แตกดับสูญสิ้นไปทั้งร่างและจิตวิญญาณแล้ว ไม่มีทางเป็นมันไปได้ ถึงแม้การมาของงูตัวนั้นจะแปลกไปสักหน่อย แต่ก็ทำให้เหลียนเอ๋อร์ยิ้มได้ งั้นเขาจะทำเป็นมองไม่เห็นความผิดปกตินี้ละกัน
ของขวัญจากผู้อ่านคือกำลังใจในการสร้างสรรค์ผลงาน ช่วยส่งกำลังใจให้ไรต์หน่อยนะ!