สองเดือนก่อนหน้า เสียงข้อมือนาฬิกากำลังเดินถอยหลัง ปัจจุบันเดือนธันวาคมในนครนิวยอร์ก ในโมงยามแห่งความผ่อนคลาย หกเดือนหลังจากที่พัฒน์ย้ายมาอยู่ที่นี่
อาคารโรงพยาบาลภายนอกสีเทากับสีน้ำตาลของอิฐบางจุดของอาคาร กำลังกักเก็บเล่าถึงความเจ็บป่วย และความหวังต่อการมีชีวิตรอด สายสัมพันธ์ครอบครัวสิ่งที่ทำให้คุณค่าต่อชีวิตถูกรวมอยู่ที่นี่ และน้ำตาของผู้คนที่ในพื้นที่เดียวก็มากพอที่จะเก็บรวมสร้างความทรงจำที่เจ็บปวด
พัฒน์คือวิญญาณน้อย ๆ ที่รับภาระเรือนกาย หลังจากที่ผ่าตัดสมองแล้ว เขายังต้องทำการรักษาเคมีบำบัดกับโรงพยาบาลในเมืองนี้ต่อ ผลข้างเคียงของการรักษาเคมีบำบัด คือการเติบโตในสมองและโครงข่ายข้อมูลมีปัญหาเขาต้องเรียนรู้คำที่จะสร้างคำที่จะพูดไว้ใช้เพื่อการสื่อสาร เวลาพัฒน์จะพูดหรืออธิบายอะไรเขาไม่สามารถสบตากับคนได้ เพราะมันจะดึงดูดความสนใจจากเขา ปลายประสาทหยุดเติบโตชั่วขณะเขาไม่ค่อยรู้สึกถึงปลายมือปลายเท้า เวลาพัฒน์เดินไปไหนมาไหนในเมืองเหมือนรู้สึกว่าตัวเองลอยอยู่ตลอดเวลา พัฒน์ไม่สามารถมองตาคนเวลาพูดคุยได้เพราะมันดึงดูดข้อมูลและรบกวนการประมวลผลการอธิบายของเขา เขาหันหลังเดินตรงบนทางยาวผนังสีเขียว เพดานสีขาว ไฟส่องนำพาเขาเดินตรงไปที่ลิฟต์ ระบบรอกพากล่องเหล็กบรรจุร่างกายพัฒน์ลงมาชั้นล่างเข้าสู่โถงทางเดิน ประตูสีเทาข้างหน้าค่อย ๆ แง้มออกเบาช้า ย่างก้าวออกมาจากกล่อง ออกจากสถานที่เป็นซึ่งความหวังต่อการเจ็บป่วยและการทุกข์ทรมานทางร่างกาย ลมหายใจพัฒน์ร้อนและตื่นตัว ควันอากาศที่ออกมาจากร่างกาย กำลังเคลื่อนตัว ออกนอกตัวอาคารหวนนึกไปข้อมูลในอดีตที่เคยมีช่วงเวลาที่ได้หายใจจากโรงพยาบาล ตอนนี้การมาโรงพยาบาลคือการมีความหวังสำหรับตัวเอง
เขายืนนิ่งคอแหงนมอง ภายใต้ฟ้าครามแสดงดาวแพรวพรายยามค่ำฟ้าดูมืดแต่จุดดาวเคราะห์ข้างบนยังเปล่งประกาย พัฒน์ยืนคิดทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นหน้าโรงพยาบาลหันหลังจากสิ่งที่ทำ ควันสีขาวขมุกขมัวอุ่นลอยอยู่ด้านบนอาคารและบนใบหน้าเขา การมองไปทางอื่นไม่มีความหมายสำหรับเขา หลังจากรักษาในวันนี้เสร็จ การเอามือล้วงกระเป๋าเสื้อและเช็คตารางเวลาเรียนแล้วจะเดินกลับที่พักโดยใช้เส้นทางผ่านถนนบรูคลิน ย่านนั้นเต็มไปด้วยคนเป็นความเบาบางของชีวิตยังคงอยู่ทุกที่ เมื่อเขาเห็นแววตาของคนที่นี่ความสิ้นหวังกระจายผ่านแววตาและข่าวสาร การคืบคลานของภาวะหมดหวังกระจายอยู่ในทุกวิญญาณของเมืองนี้ เสื้อผ้าที่หลากหลายปกคลุมร่างกายและเมืองนี้ห่อหุ้มวิญญาณที่หลากหลายเหล่านั้น ลมหายใจถอนออกเฮือกใหญ่ การเติบโตของตัวเขาเองพบว่าความหวังและเรื่องราวที่ผ่านมา เป็นปัจเจกแต่ถูกลดคุณค่าด้วยจำนวนประชากรที่ล้นต่อการบริโภคทรัพยากร พัฒน์คิดไปมาเรื่องปัญหาที่เกิดขึ้นรอบตัวมนุษย์และตัวเขาเองบ่อยครั้ง ช่วงเวลาที่อยู่ในป่าคอนกรีตนี้สำหรับพัฒน์ที่นี่เป็นเพียงความทรงจำของเสียงเต็มไปด้วยรถและคนผู้คลั่งความอิสระ ที่จะพูดและแสดงออก ที่ระบบเผด็จการไม่มีให้คนเหล่านั้นคือความสามารถที่จะแสดงออกอย่างไร้ข้อจำกัด
พัฒน์รู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนเหลืองในนิวยอร์ก ล่าสุดมีคนถูกคนแปลกหน้าใช้คัตเตอร์กรีดบนใบหน้าที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินเมื่อสองสัปดาห์ก่อนสำหรับพัฒน์ การเป็นคนช่างวุ่นวายและอันตราย หมกมุ่นแต่การทำร้ายกันเพื่อสร้างความชอบธรรมให้ตัวเองทั้งความถูกต้องในบทสนทนา กับทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้มีคนที่อยากถูกทุกอย่างที่ตัวเองทำ สำหรับพัฒน์ความทุกข์ต่างหากที่เป็นชีวิต ทุกอย่างจะแย่ลงเราจะเจ็บป่วยและสูญเสียคนรัก การมีชีวิตอยู่ของพัฒน์คือการเรียนรู้ที่จะประเมินสถานการณ์ หาความเป็นไปได้และแก้ปัญหาพร้อมที่จะผิดหวังและเต็มไปด้วยเรื่องตลกของความผิดพลาด พัฒน์อยู่ในเมืองแห่งโอกาสด้วยวิธีคิดนั้น เวลาส่วนใหญ่จะใช้ไปกับหน้าจอคอมพิวเตอร์และเรียนรู้ที่จะต่อยอดปัญญาประดิษฐ์ พัฒน์รู้ว่าความรุ่งเรืองของมนุษย์เกิดจากความฉลาด และความวุ่นวายก็เกิดจากการรับรู้ขอบเขตของตัวเอง
ทุกครั้งที่เดินเมื่อพัฒน์ก้มหน้าสายตากวาดไปทั่วฟุตบาทที่เต็มไปด้วยคราบหมากฝรั่งและฝาท่อเหล็กเขาตระหนักถึงลมที่ออกจากท่อระบายน้ำ พัฒน์ต้องกลับไปเรียนปัญญาประดิษฐ์และฟังเพลงที่พัฒน์ใช้โปรแกรมสร้างด้วยตัวเอง และฟังข้อมูลที่ตัวเองสร้าง ความเพลิดเพลินต่อคุณค่าของพัฒน์เปลี่ยนไปตั้งแต่ได้เรียนอัลกอริทึม เขาได้รับความหมายต่อประวัติศาสตร์ของเทคโนโลยีคือการเรียนรู้ที่จะใช้ความฉลาดเพื่อการร่นระยะเวลา และทำบางอย่างที่มนุษย์ทำไม่ได้ เพื่อให้มนุษย์ใช้ชีวิตง่ายขึ้น เขาไอครอกใหญ่เหมือนหญิงชราใกล้ลมหายใจเฮือกสุดท้าย ผลข้างเคียงของการทำเคมีบำบัดทำให้พัฒน์มีอาการไอและหลอดลมฉีกพัฒน์หายช้าจากการพักผ่อนไม่เพียงพอและภูมิคุ้มกันต่ำลง
สองวันถัดมาขณะที่ทุกคนจำนวนมากกำลังเข้าหอประชุมใหญ่ในการสัมมนาที่หอประชุมเดล คาร์เนกีในมหาวิทยาลัยเอ็มไอที
ในห้องประชุมมีเครื่องทำความร้อนมันทำงานและอุ่น พัฒน์เดินตรงเข้ามาที่นั่งมีกระเป๋า อยู่ด้านข้างคือเพื่อนมหาลัยคนเดียวของพัฒน์ เธอทักทายพัฒน์ด้วยภาษามือ "ไง"
พัฒน์ที่ใส่หมวกไหมพรมถอดหมวกและนั่งข้าง ๆ อิดิธ "ไง สบายดีมั้ย"
อิดิธอ่านปากได้ เธอเป็นเพื่อนที่มหาวิทยาลัยที่มีเป็นผู้พิการทางการได้ยินแต่เธออ่านรูปทรงกล้ามเนื้อการออกเสียงบนใบหน้า และมีความสามารถทางการสื่อสาร เธอเรียนหลายภาษาทั้งภาษาที่ยังใช้อยู่และภาษาที่ตายไปแล้ว ข้อพิสูจน์ความเก่งของเธอคือเธอผ่านการคัดเลือกของมหาลัยและได้ทุนการศึกษาเต็มจำนวนจากที่นี่ "ใช่ สบายดี การรักษาเป็นไงบ้าง"
"มันเจ็บปวด แต่ก็อดทนได้ เขาพูดเป็นไงบ้าง" พัฒน์ตอบและถามเป็นภาษามือ
"เขาเจ๋งดีนะ" บทสนทนาถูกขั้นด้วยความน่าสนใจของการที่จะเริ่มสอน ชายร่างบางยืนอยู่ด้านบนเวทีกำลังจะเสวนา
เรื่องราวของพัฒน์กำลังลัดเลาะตัวตนอยู่หน้าเวทีในพื้นที่ของนักวิชาการ บนเวทีคือชายสวมแว่นตัวผอมสวมเสื้อเชิ้ตสีครีมกับสูทสีดำทับหน้าผากสูงผู้เติบโตในอิสราเอล ยูวัล โนอาห์ แฮรารี่เป็นผู้ให้เสวนาหัวข้อ " วิธีการอยู่รอดในศตวรรษที่ 21"ในหอประชุม ห้องเรียนขนาดใหญ่จำนวนผู้ฟังสามพันคนและจำนวนนักศึกษา อาจารย์กับผู้นำความรู้กำลังรอฟังการบรรยาย
"ราวกับมนุษย์ศตวรรษที่ 21 การทำงานของอาชีพและอาชีพใหม่จะลดคุณค่าอาชีพเก่าทันที การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผ่านความฉลาดของมนุษย์ที่พร้อมกับเทคโนโลยี เกิดเป็นมนุษย์ที่ไร้ค่าและผู้นำเทคโนโลยีผู้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ระบบอุตสาหกรรมหลักไม่ได้อยู่ที่สหรัฐหรืออยู่ที่ญี่ปุ่น แต่อยู่ที่ปัญญาประดิษฐ์ เป็นพลังของปัญญามนุษย์เพื่อออกแบบความฉลาดของมนุษย์ สิ่งมีชีวิตที่เคยเศร้ากับการตัดสินใจ หลังจากที่ปัญญาประดิษฐ์ทำให้เราเห็นรูปแบบของผลลัพธ์ การตัดสินใจมากกว่าความหมายเพียงครั้งเดียว ระบบชีวภาพสร้างสวรรค์และนรก ว่าสวรรค์เป็นยังไงและนรกเป็นยังไง เราเจออะไรก่อนการแทนที่ไม่ได้และถูกแทนที่แค่ร่างกาย คือการทำงานและร่วมทำงานกับระบบชีวภาพ ก่อนหน้านี้วิถีชีวิตธรรมชาติตีกรอบด้วยการคัดเลือกทางธรรมชาติ หลังจากนี้ชีวิตเราจะเปลี่ยนไปผ่านการออกแบบที่ฉลาดล้ำโดยพวกเราจะเป็นส่วนหนึ่งของการก้าวกระโดดครั้งยิ่งใหญ่ของมนุษย์ ยิ่งเราใช้เครื่องมือที่เลิศเลอขนาดไหนเราก็เป็นโฮโมเซเปียนส์ที่สร้างนรกและสวรรค์ขึ้นมาในยุคสมัยของตัวเอง ปัญญาประดิษฐ์คือต่างออกไปสิ่งนี้ไม่ได้ทำร่นระยะเวลาของการทำงานของมนุษย์ แต่เป็นการถอยร่นความหมายของการเป็นมนุษย์ นั้นคือคอมพิวเตอร์ที่ไร้ขอบเขตของการเรียนรู้ ในนั้นเป็นที่รวมความฉลาดมนุษย์และไร้ขอบเขตของความฉลาด มนุษย์จะเป็นเพียงแมลงวัน กับไอน์สไตน์ มนุษย์จะกลับไปเป็นลิงที่พัฒนาไม่ทันปัญญาประดิษฐ์ เพราะความฉลาดที่มอบให้แก่คอมพิวเตอร์ มนุษย์จะถูกผลักไปที่ชายขอบของความฉลาด สติปัญญาสูงสุดจะเป็นเพียงนามธรรมของการใช้ประโยชน์ ระหว่างระดับตัวบุคคล ระดับวิทยาศาสตร์ และระดับการเมืองทุกระดับ นั้นเป็นเหตุผลให้วันหนึ่งเราจะหลอมรวมกับความฉลาดที่มนุษย์เป็นคนสร้าง"
พัฒน์นั่งฟังอยู่ด้านหน้าสุดเวที น้ำหนักตัวแตะเก้าอี้ กระดูกโกลนหูรับเสียง สมองกำลังทำงานประมวลผลข้อมูลความรู้สึกของข้อมูลกับการหาความเป็นไปได้ทางความรู้ พัฒน์ตบมือหลังตีความเสร็จพร้อมกับที่ทุกคนกำลังให้การตบมือกับคนบนเวที พัฒน์รีบเดินขึ้นไปหลังเวทีเตรียมตัวพูดในหัวข้อถัดไปในการออกแบบข้อมูลเพื่อสร้างอวัยวะ โปรแกรมที่สามารถเขียนโปรแกรมตัวเองในการออกแบบรูปทรงอวัยวะจากข้อมูลทางสาธารณสุขได้ เพื่อออกแบบอวัยวะให้เข้ากับพฤติกรรมและเป้าหมายของเจ้าของร่างกาย อย่างน้อยเรื่องทั้งหมดที่พัฒน์ทำก็ทำให้ชีวิตอื่นตายช้าลงอยู่กับร่างกายนานขึ้นต่อเวลากับครอบครัว
เขาพูดจบด้านหลังเวที ขณะกำลังฝ่าฝูงคน ศาสตราจารย์ผู้เป็นพิธีกรเดินตรงเข้ามาหาพัฒน์
"คุณไปเจอที่ห้องที่ปรึกษาอีกสิบนาที ห้องอาจารย์ที่ปรึกษา" ศาสตราจารย์พูดย้ำ
ในเวลาถัดมาในห้องสีเรียบ ชายตัวใหญ่นั่งอยู่หลังโต๊ะ คนตรงหน้าผายมือไปที่เก้าอี้ว่างเปล่า สื่อสารเพื่อให้พัฒน์นั่งลง
"ทำไมคุณถึงอยากลาออก" อาจารย์ที่ปรึกษาใช้เสียงเรียบถามถึงประเด็นของเขา
พัฒน์นิ่งเงียบก่อนจะตอบ "ผมไม่รู้… บางทีผมอาจจะจ่ายค่ารักษาไปหมดแล้ว"
"ขอทุนสิ คุณมีเรื่องเล่ามั้ย"
พัฒน์คิดครู่หนึ่ง และเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง นึกถึงเรื่องที่ตัวเองเคยทำกับคนในคิปป์ทีม เขากลัวความเงียบที่กลั่นจากเสียงน่าอึดอัด
"พัฒน์" อาจารย์ทักเตือนสติพัฒน์
"มะ… ไม่ครับ" พัฒน์ตอบ
อาจารย์หยิบกระดาษการประเมินผลเกรดของพัฒน์ขึ้นมาในวิชาหน่วยเอส
"คุณเป็นนักชีวะที่เก่งที่สุดตั้งแต่เราเคยมีมา คุณอาจจะได้รางวัลโนเบลหรือทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้หลังจากนี้ ลองเก็บไปคิดดู" พวกเราไม่ได้คำตอบเหมือนที่อาจารย์ที่ปรึกษาถามเขา ไม่มีใครรู้คำตอบจากพัฒน์ ระหว่างที่ความคิดกำลังหมุนตัวอยู่ข้างนอก จุดรวมสายตากำลังทอดกายไปบนก้อนเมฆลอยตัวบนสีควันอ่อน ๆ ในหัวพัฒน์เต็มไปด้วยความทรงจำ มันเป็นจุดทิ้งดิ่งสำหรับผู้โหยหาอดีตระหว่างสายตามองออกไปที่อากาศสีเทาข้างนอก พ่อเหมือนเป็นสายรุ้งสีดำ พัฒน์เกลียดพ่อแต่รักเขา เรามักจะเกลียดคนที่รักเงาอดีตของพวกเขาทำให้ใจสลาย พ่อทำตัวสดใสแต่มืดมน ทุกคนยังมีชีวิตและยิ้มร่าในความฝันเมื่อตื่นมาพบความผิดหวังที่มนุษย์เรียกร้องต่อความสุขในชีวิต พัฒน์กร่ำทุกข์และความทรงจำของที่บ้านมากเกินไป พื้นที่ในความคิดมักจะถูกรุกรานผ่านความว่างเปล่า เขาแค่ยับยั้งได้ผ่านการเข้าสู่ภาวะลื่นไหลของการกระทำ ทำบางอย่างไปเรื่อย ๆ เพื่อหยุดความว่างเปล่าของชีวิต กลายเป็นความยุ่งเหยิงที่น่าหลงใหลจิตใจไม่มีเอกภาพพลางแต่จะขุดหลุมให้ความคิดตกลงไป
ในขณะเดียวกัน เขตปกครองจีน เขตบริหารพิเศษฮ่องกง เสียงความแออัดและการถูกกดขี่ของแรงงานที่นี่หนาแน่นไปกับความสิ้นหวังของผู้อาศัยที่นี่ ชายเอเชียสวมสูทสีเทาผ้าเงาเดินเข้ามาตรวจดูในแล็บวิจัยนอกกฎหมายในประเทศ ที่นี่สามารถเปิดได้ถ้ามีเส้นสายมากพอ คนแบบนี้พวกเขาจะทำอะไรตรงไหนก็ได้ กลุ่มเครือข่ายที่สนับสนุนลีดูซัมคือลูกค้าขนาดใหญ่ของเอเชียแปซิฟิก เป็นเรื่องน่าเศร้าเคล้าน้ำตาแห่งยุคที่สหภาพแรงงานที่นี่ไม่ได้ช่วยแรงงานแต่เป็นส่วนหนึ่งของการผูกขาดแรงงานในภาวะผู้นำชาตินิยม
"เราพยายามเต็มที่แล้ว" นักวิจัยชุดกาวน์สีขาวยืนคุยโทรศัพท์ เขาสะดุ้งตัวตกใจหลังเสียงเปิดประตูด้วยความร้อนรน "แน่นอนว่าเรา… เดี๋ยวโทรกลับ" คนสวมชุดกาวน์หลายหันไปมองเพียงเหลือบตา ทุกคนกังวลกับเจ้าของเสียงนั้น มีแค่หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ที่เป็นตัวแทนพูดคุย ทุกคนต่างก้มหน้าก้มตากลัวอำนาจนี้
"คุณลีดูซัม คือ… เราดูตรงที่คุณขอมาแล้ว แต่ดูมันจะสะอึกนิดหน่อย" นักวิทยาศาสตร์พูดเกริ่น ฝีเท้าของลีทำให้คนทำงานที่เหลือในบริเวณนั้นถอยออก
กรามที่ใหญ่บนใบหน้า เสียงฟันเคาะขูดกันภายในปากเขาแสดงความไม่พอใจเป็นอย่างมาก "สะอึกเหรอ?" ลีดูซัมรับฟังรายงานของนักวิทยาศาสตร์ นักชีววิทยาหัวหน้างานอาวุโส หัวหน้าวิศวกรรมชีวเคมีแต่ละทีมที่เข้ามาแจ้ง
"ใช่ครับ ในการพิมพ์อวัยวะนี้มันเป็นไปไม่ได้"
"เดี๋ยว เป็นไปไม่ได้เหรอ?" ลีดูซัมพยายามเปลี่ยนผ่านการรับอวัยวะ และปลูกถ่ายการพยายามพิมพ์อวัยวะเองทำให้เจอคอขวดของข้อมูลที่การทำงานทางชีวภาพหลายหน่วยงานยังทำไม่ได้ เขาเจอทั้งชนักของสินค้าขาดตลาดและถ้ากลับไปซื้อขายอวัยวะแบบเดิมราคาจะยิ่งพุ่งขึ้นสูง และความเสี่ยงสูงเหมือนเดิม "หยาง มันเป็นไปแล้ว ตรงหน้านี้ของ่าย ๆ แค่ทำให้มันตรงกับร่างกาย" ลีดูซัมกำลังโน้มน้าวอย่างกดดันไปที่ลูกจ้างนักวิทยาศาสตร์ ผ่านการผายมือไปที่ผลงานที่พัฒน์เคยทำ
"เราพยายามแล้ว แต่บอกตรง ๆ มันเป็นไปไม่ได้ มันเกิดภาวะต้านทานกับร่างกายมากสุดที่จะตรงได้แค่ ยี่สิบสองเปอร์เซ็นต์" หยางพูดอย่างถ่อมตนและจนตรอกต่อปัญหาตรงหน้า
"อิชิอินั้นยังทำได้เลย! ทั้งที่มีแค่เรือประมงเก่า ๆ ทำจากเศษหมึกชีวภาพด้วย!" ลีดูซัมตะคอกไปยังหยางที่เป็นหัวหน้าหัวกะทิของทีมพัฒนาแล็บวิจัยอวัยวะใหม่ของเขา เสียงหายใจแรงขุ่นเคืองต่อผลลัพธ์ที่ได้จากการทุ่มเงินไปมหาศาลด้วยความต้องการสินค้าระลอกนี้
"ต้องขอโทษด้วย… ผมไม่ใช่อิชิอิ" หยางพูดพร้อมเอียงตัวไปกับการกังวลที่ชีวิตเขาอาจจะถูกคุกคาม
"เด็กนั้นควรให้บางอย่างกับฉัน" ลีดูซัมพูดไปพลางนึกหาวิธีจัดการปัญหานี้