บทที่ 28 แผลฉกรรจ์
แต่เมื่อโรแลนด์ลงมือทำจริงๆ ถึงได้พบว่าสถานการณ์จริงไม่ง่ายอย่างที่ตัวเองคิด
หลังจากวุ่นอยู่ที่สวนด้านหลังมาสี่ห้าวัน หัวเจาะที่มีความแข็งค่อนข้างมากก็ถูกผลิตออกมาอย่างราบรื่น เปลวไฟของอันนาทำให้เขาผลิตเหล็กหลอมเหลวที่มีอุณหภูมิสูงกว่าหนึ่งพันห้าร้อยองศาได้อย่างง่ายดาย เมื่อไม่มีข้อจำกัดเรื่องอุณหภูมิ เขาก็สามารถใช้วิธีการหลอมธรรมดาๆ ผลิตเหล็กกล้าจำนวนเล็กๆ ออกมาได้อย่างสะดวกรวดเร็ว...นั่นคือใช้แท่งเหล็กกวนเหล็กหลอมเหลวอย่างรวดเร็ว เพื่อให้คาร์บอนและสารเจือปนอื่นๆ ในเหล็กหล่อสัมผัสอากาศแล้วออกซิไดซ์ ทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาเรื่อยๆ เมื่อเหล็กหลอมเหลวเย็นตัวแล้วก็จะได้เหล็กกล้าคุณภาพสูง
ปัญหาอยู่ที่เครื่องจักรไอน้ำตัวแรก
เวลาที่เครื่องจักรต้นแบบตัวนี้ทำงาน มันจะส่งเสียงรบกวนและแรงสั่นสะเทือนอันน่าตกใจ หัวเจาะที่ติดเข้าไปไม่สามารถเจาะท่อเหล็กได้อย่างมั่นคง แรงสั่นสะเทือนระดับนี้ไม่เป็นปัญหาต่อชิ้นงานหยาบๆ แต่หากจะทำลำกล้องปืนย่อมเป็นปัญหาใหญ่แน่นอน
หากคิดจะแก้ไขปัญหานี้ เขาก็ต้องสร้างลูกเหวี่ยงหนีศูนย์กลางมาควบคุมกำลังส่งออกของเครื่องจักรไอน้ำก่อน จากนั้นจึงใช้เฟืองประกอบเพื่อลดแรงสั่นสะเทือนและปรับอัตราความเร็วของการหมุนของหัวเจาะ ซึ่งการจะผลิตเฟืองได้ก็ต้องมีเครื่องกลึงอย่างง่ายๆ ก่อน แบบนี้คำนวณดูแล้ว โรแลนด์ไม่มีทางบรรลุเป้าหมายก่อนที่เดือนแห่งปีศาจจะมาถึงแน่นอน
สุดท้ายก็ต้องกลับมาพึ่งวิธีเดิมๆ อาศัยช่างเหล็กมาตีทีละค้อนๆ แผนการผลิตปืนชุดใหญ่จึงเป็นอันล้มเหลวไป หากดูจากจำนวนช่างเหล็กในเมืองชายแดนแล้ว ต่อให้หยุดพักการสร้างเครื่องจักรไอน้ำเครื่องที่สอง อย่างมากก็ผลิตปืนได้เพียงสามถึงสี่กระบอกต่อเดือนเท่านั้น
ข่าวดีเพียงเรื่องเดียวก็คือเขาสามารถตัดความกังวลเรื่องมาตรฐานลำกล้องปืนไปได้ ช่างเหล็กเพียงแค่ตีท่อกลมออกมาคร่าวๆ แล้วให้อันนาเชื่อมช่องว่างเข้าด้วยกัน ก็จะได้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกับท่อไร้รอยต่อที่เฉือนด้วยมีดคว้านมาก สามารถลดความเสี่ยงเรื่องลำกล้องปืนระเบิดไปได้ระดับหนึ่ง
โรแลนด์จึงต้องปรับแผนใหม่ ตอนแรกเขาตั้งใจจะรับสมัครนายพรานในเมืองชายแดนมาเป็นกองปืน...พวกเขาส่วนใหญ่เชี่ยวชาญเรื่องการยิง ถนัดทั้งธนูและหน้าไม้ หากจะฝึกปืนเพิ่มก็คงใช้เวลาไม่มาก ภายในเวลาไม่นานก็จะกลายเป็นนักรบที่มีพลังทำลายล้างสูง
แต่จากตอนนี้จนถึงเดือนแห่งปีศาจ อย่างมากก็ผลิตปืนคาบศิลาออกมาได้สี่กระบอกเท่านั้น หากเป็นอย่างนี้เขาคงต้องเลือกคนฝีมือดีๆ จากในหมู่นายพรานมาสร้างกลุ่มพิเศษกลุ่มเล็กๆ อีกที เรื่องนี้โรแลนด์ตัดสินใจให้ขวานเหล็กเป็นคนดูแล เขาอยู่เมืองชายแดนมาสิบห้าปี เป็นนายพรานที่ทุกคนยอมรับว่าเก่งที่สุด
********************
ไบรอันไม่มีความสุขตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นกองพลเรือนบนถนน ความรู้สึกนี้ก็ยิ่งเพิ่มทวี...ถึงกระทั่งเกิดความรู้สึกรับไม่ได้อยู่ในใจ
เขารู้สึกว่าตัวเองถูกเจ้าชายลืมไปแล้ว
เมื่อหนึ่งเดือนก่อน เขาตื่นเต้นมากเมื่อหัวหน้าอัศวินเรียกเขาเข้าไป เขาได้สัมผัสเจ้าชายในระยะใกล้ ได้รับความสนใจไถ่ถามจากเจ้าชาย ถือเป็นความโชคดีและมีเกียรติมาก
เขาเติบโตมาในเมืองชายแดน แม้จะเกิดในตระกูลนายพรานธรรมดา แต่ก็ใช้ความสามารถของตัวเองไต่เต้าจนได้เป็นหัวหน้ากองลาดตระเวน เขารู้ว่าตัวเองไม่สามารถเป็นอัศวินได้โดยอาศัยวงศ์ตระกูล จึงได้แต่รอโอกาสสร้างความดีความชอบเพื่อจะได้รับแต่งตั้งยศอัศวินในสักวัน
การซักถามของเจ้าชายทำให้เขารู้สึกว่าโอกาสมาถึงแล้ว เห็นได้ชัดว่าเจ้าชายไม่ยอมทิ้งดินแดนของตัวเอง เขากำลังหาวิธีต่อสู้กับสัตว์อสูรอยู่ และการสร้างกำแพงเมืองอย่างยิ่งใหญ่ก็เป็นเครื่องยืนยันได้ดีว่า ปีนี้พวกเขาจะก้าวผ่านเดือนแห่งปีศาจที่เมืองชายแดนอย่างไม่ต้องสงสัย
หากคิดจะอยู่สู้กับสัตว์อสูรที่นี่ก็จำเป็นต้องมีกองทัพที่หาญกล้า ไบรอันคิดว่าตัวเองเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด เขาเชี่ยวชาญทั้งเรื่องสอดแนม การใช้ดาบและขี่ม้า และการได้อยู่จุดสัญญาณไฟในช่วงสุดท้ายก็เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ดีว่าเขาไม่ใช่คนขี้ขลาด แต่เขาไม่นึกเลยว่า เจ้าชายกลับคัดชาวบ้านธรรมดาเข้ากองทัพเพื่อสู้กับสัตว์อสูร!
ถูกต้อง กองพลเรือนที่มีแต่ประชาชนล้วนๆ ไม่เพียงเขาเท่านั้น แต่สมาชิกกองลาดตระเวนทั้งสิบคนก็ไม่มีใครผ่านเกณฑ์หัวหน้าอัศวินเหมือนกัน บ้าสิ้นดี หรือเจ้าชายคิดว่ากลุ่มชาวเมืองที่ไม่เคยจับอาวุธพวกนี้จะเชี่ยวชาญการต่อสู้มากไปกว่าเขา น่ากลัวว่าพอเจอสัตว์อสูรขู่เข้าจะหนีกันกระเจิงมากกว่า!
แต่ดูเหมือนเจ้าชายจะจริงจังมาก...เขาไม่เพียงตั้งใจฝึกกองกำลังไร้ระเบียบกองนี้เท่านั้น แต่ยังแจกชุดเครื่องแบบชนิดเดียวกันให้พวกเขาอีกต่างหาก ทุกๆ บ่าย ไบรอันจะเห็นคนพวกนี้สวมเกราะหนังสีน้ำตาลเทา วิ่งเรียงแถวสองแถวผ่านถนนไป ตอนแรกขบวนแถวยังสะเปะสะปะมาก แต่ระยะนี้เริ่มเป็นระเบียบมากขึ้นทุกที
ส่วนตัวเขานั้น ยังคงปฏิบัติหน้าที่อันน่าเบื่อหน่ายอยู่ทุกวัน มองไม่เห็นโอกาสก้าวหน้าแม้แต่น้อย
คืนนี้ ขณะที่เขากำลังนอนไม่หลับพลิกตัวไปมานั้น เขาก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจากผนังห้อง จากนั้นประตูก็ถูกผลักออก ใครบางคนเดินเข้ามาข้างในอย่างเงียบๆ
“เฮ้ย ทุกคนตื่น” คนที่เข้ามาคำรามเสียงเบา ไบรอันจำเสียงอีกฝ่ายได้ เขาเป็นหนึ่งในสมาชิกกองลาดตระเวน มีฉายาว่าแผลฉกรรจ์
ในห้องของเขามีคนนอนอยู่ห้าคน นอกจากเขาและเกรย์ฮาวด์แล้ว อีกสามคนที่เหลือก็พลิกตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับเตรียมพร้อมอยู่แล้ว แม้แต่เสื้อนอกก็ไม่ถอดออก
“หัวหน้า ตื่นเถอะ ข้ามีเรื่องสำคัญต้องคุยกับเจ้า”
แผลฉกรรจ์มีญาติเป็นขุนนางอยู่ที่ป้อมปราการลองซอง ว่ากันว่าเป็นขุนนางใหญ่เสียด้วย ดังนั้นสถานะในกองของเขาจึงค่อนข้างสูง ไบรอันจะไม่สนใจเขาก็ไม่ได้ จึงได้แต่ลุกขึ้นมาถาม “มีเรื่องอะไร”
เกรย์ฮาวด์ก็ถูกปลุกขึ้นมาเหมือนกัน “ดะ...ดึกป่านนี้แล้ว พะ...พวกเจ้าไม่...นอนหรือ”
“ข้ามีงานดีๆ มาแนะนำพวกเจ้า พวกเจ้าอยากเลื่อนยศเป็นอัศวินหรือไม่เล่า”
“อะ...อะไรนะ อัศวินหรือ” เกรย์ฮาวด์ร้องอย่างตกใจ
ไบรอันเองก็ตกใจเหมือนกัน รีบถามทันที “งานอะไรหรือ”
“พวกเจ้าทุกคนคงรู้จักอาข้าอยู่แล้ว อาข้าเป็นเอิร์ลที่ท่านดยุคแต่งตั้งและยังเป็นคนสนิทของท่านดยุคด้วย เขาเป็นคนบอกข่าวนี้กับข้าเอง” แผลฉกรรจ์ลดเสียงพูด “เจ้าชายทรงประสงค์จะเขี่ยป้อมปราการทิ้งแล้วรักษาเมืองเอง ทำให้ท่านดยุคขุ่นเคืองใจมาก ท่านดยุคเลยคิดจะทำให้เจ้าชายรู้ว่าใครคือผู้ปกครองดินแดนตะวันตกที่แท้จริง”
“ยะ ยะ อย่าบอกนะ...ว่าพวกเจ้าจะ...ละ ลอบฆ่า...” เกรย์ฮาวด์ตื่นเต้นแล้วก็ยิ่งติดอ่างกว่าเดิม แม้แต่ประโยคสั้นๆ พูดมาตั้งนานก็ยังพูดไม่จบ
“จะเป็นไปได้อย่างไร” แผลฉกรรจ์หัวเราะ “อย่างไรเสียก็ทรงเป็นถึงเจ้าชาย หากพวกเราทำอันตรายพระองค์ ต่อให้เป็นท่านดยุคก็ปกป้องไม่ได้ ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่านี่เป็นงานดี”
ไบรอันสังหรณ์ใจว่างานนี้จะไม่ง่ายอย่างที่เขาบอก แต่ตำแหน่งอัศวินก็ช่างยั่วยวนเขาเหลือเกิน “รีบพูดมาเถอะ”
“เสบียง หากไม่มีเสบียง พระองค์ก็ต้องทรงหนีตายไปที่ป้อมปราการลองซองโดยไม่มีทางเลือก งานนี้ท่านดยุคเป็นคนรับปากเอง หากพวกเราเผาเสบียงของเจ้าชายได้สำเร็จ เขาก็จะจัดพิธีแต่งตั้งอัศวินให้พวกเรา และจะแบ่งที่ดินบางส่วนทางตะวันออกของป้อมให้พวกเราด้วย โอกาสดีๆ เช่นนี้ไม่ได้มาบ่อยๆ นะ หัวหน้ากอง เจ้ารู้สึกเหมือนกันหรือไม่เล่า”
“จะ เจ้าบ้า...ไปแล้ว จะ เจ้าชายทรงบอกแล้วนี่ว่าปีนี้...เดือนแห่งปีศาจอาจจะยะ...ยาวนานเกินสี่เดือน หากเจ้าผะ เผาเสบียงแล้ว ทุกคนจะกินอะไร” เกรย์ฮาวด์ส่ายหน้าไม่หยุด “ระ...เรื่องเมื่อสองปีก่อน ทะ ทุกคนลืมหมดแล้วหรือ”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกเราเล่า” อีกคนพูดอย่างชิงชัง “อย่างไรเสียพวกเราก็จะไม่อยู่ที่นี่อยู่แล้ว ทำงานให้ท่านไรอันสร็จแล้ว พวกเราก็ไปใช้ชีวิตอย่างสุขสบายที่ป้อมได้”
“ถูกต้อง หรือว่าพวกเจ้าอยากกินกากแร่ในเมืองเดนตายนี่ไปทั้งชีวิตเล่า” อีกคนก็ช่วยสนับสนุน
ให้ตายเถอะ พวกเขาวางแผนกันมาก่อนแล้ว ไบรอันตกใจ นอกจากเขาและเกรย์ฮาวด์ซึ่งเติบโตในเมืองชายแดนแล้ว คนอื่นๆ ก็เป็นคนต่างเมืองทั้งนั้น ไม่มีความผูกพันใดๆ กับเมืองเล็กๆ แห่งนี้ เมื่อเห็นว่าคงห้ามไม่อยู่ ไบรอันก็ได้แต่เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “แต่ข้าวสาลีพวกนั้นถูกขนเข้าปราสาทเจ้าชายไปแล้วนี่ แล้วอัศวินของเจ้าชายก็เฝ้าอยู่หน้าประตูด้วย พวกเจ้าจะเข้าไปได้อย่างไร”
“ดังนั้นข้าถึงได้มาหาเจ้าอย่างไรเล่า” แผลฉกรรจ์หัวเราะอย่างลำพองใจ “เจ้าอยู่ที่เมืองผุพังนี่มาตั้งแต่เด็ก ไม่มีใครรู้จักที่นี่ดีไปกว่าเจ้า ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยบอกว่าที่หุบเขาด้านหลังมีบ่อน้ำร้างอยู่บ่อหนึ่ง เชื่อมต่อกับทางระบายน้ำใต้ปราสาท หากใช้เส้นทางนี้ก็จะเข้าไปถึงสวนดอกไม้ในปราสาทได้โดยไม่มีใครรู้ ตอนเด็กๆ เจ้าก็เคยปีนเข้าไปไม่ใช่หรือ เป็นอย่างไร มาทำงานนี้กับข้าดีไหม ต่อไปเจ้าก็จะได้เป็นอัศวิน...อัศวินที่ท่านดยุคแต่งตั้งเองเชียวนะ”
ไม่...อัศวินควรกล้าที่จะต่อสู้กับอธรรม ไม่เกรงกลัวอิทธิพลอำนาจ ปกป้องผู้อ่อนแอกว่า! อัศวินที่ผลักชาวเมืองไปสู่ความอดอยากและความตายเพียงเพราะความแค้นส่วนตัวของท่านดยุคก็คืออัศวินที่มีแต่เปลือกกลวง ก็ไม่มีเกียรติใดๆ ทั้งสิ้น!
เขากำลังจะอ้าปากปฏิเสธ ก็ได้ยินเสียงเกรย์ฮาวด์ร้องขึ้น
“บะ บ้ากันไปหมด! พะ พวกเจ้า คิดเผาเสบียงเชียวหรือนี่ ข้ามะ ไม่ยอมให้พวกเจ้าไปจากทะ ที่นี่เด็ดขาด! ข้าจะไปฟะ ฟ้อง...เอื้อก” เกรย์ฮาวด์พูดได้เพียงครึ่งเดียวเสียงก็ขาดหายไป เขาหันหน้ากลับไปอย่างเหลือเชื่อ อดีตเพื่อนสมาชิกในกองของเขากำลังยืนส่งยิ้มเหี้ยมเกรียมให้เขาอยู่ด้านหลัง กริชสีดำถูกแทงเข้าจากเอวด้านหลังของเกรย์ฮาวด์ คมกริชจมมิดเข้าร่าง เขาตัวสั่นอยู่สักครู่ อ้าปากอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าทำได้เพียงส่งเสียงหายใจแหบแห้งออกมา
อีกฝ่ายขยับกริชสองครั้งก่อนจะชักออกทันที เกรย์ฮาวด์พลันทรุดลงกับพื้นราวกับตุ๊กตาที่ประคองร่างตัวเองไม่ได้
“เป็นอย่างไร” แผลฉกรรจ์ขยับเข้าใกล้ไบรอัน ฝ่ายหลังรู้สึกได้ถึงกระทั่งกลิ่นเหม็นที่พ่นออกมาจากปากเขา “ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะตัดสินใจได้แล้วกระมัง หัวหน้ากอง”
........................................