พวกเขามาถึงเกาะของเวมานิกเปรตเร็วกว่าที่คิดไว้ เกาะนั้นสวยงามพอจะขึ้นแท่นการท่องเที่ยวไทยได้สบาย ๆ ทั้งหาดทรายขาวสะอาด ต้นไม้ออกดอกสะพรั่ง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีสาวน้อยหน้าตาแฉล้ม ใส่ชุดไทยอยู่เต็มไปหมด บางคนก็นั่งร้อยดอกไม้ บางคนก็เล่นดนตรี บางคนก็จับกลุ่มคุยกัน แต่ทันทีที่พวกเธอเห็นผู้มาเยือนก็หยุดกิจกรรมทุกอย่างทันทีแล้วหันมาสนใจเด็กทั้งสาม
"สวยเป็นบ้า" กูณฑ์อุทานออกมาอย่างลืมตัว
เคียวหยิกเขาเข้าให้ กูณฑ์หันมาขอโทษขอโพย "สวยแค่ไหน ก็สู้นายไม่ได้หรอก"
ผู้หญิงที่ดูจะเป็นหัวหน้าเดินเข้ามาพวกเขาอย่างแช่มช้า ก่อนจะถอนสายบัวให้พวกเขา
"ยินดีต้อนรับท่านสู่เกาะของเรา เรายินดีจะให้ท่านอยู่ที่นี่กับเราตลอดไป ไป ไป" เธอพูดด้วยเสียงไพเราะดุจนกการเวก
"ครับ" กูณฑ์ตอบรับด้วยสีหน้าและแววตาเคลิ้มฝัน
มลสังเกตได้ว่าหัวหน้าเวมานิกเปรตกำลังใช้มนตร์สะกดกับกูณฑ์ เขาจึงผลักเพื่อนไปด้านหลัง ก่อนจะก้าวออกมาข้างหน้าเพื่อเป็นตัวแทนเจรจาครั้งนี้
"ต้องขออภัยท่านด้วย" มลพูดอย่างหนักแน่น แต่เขาไม่สบตาเธอเลยแม้แต่น้อย เพราะกลัวว่าจะเผลอตกในภวังค์สะกด"แต่เรามีธุระ คงไม่อาจอยู่กับท่านได้"
หญิงผู้นั้นหรี่ตาลงอย่างไม่สบอารมณ์นัก แต่ก็ยังพูดต่อไปด้วยถ้อยคำอ่อนหวาน
"แล้วท่านเดินทางมาถึงที่นี่ต้องการอะไรหรือ"
"เราต้องการมะม่วงทอง ขอเพียงผลเดียวเท่านั้น" มลว่า ยังคงไม่ยอมสบตา
นางเวมานิกเปรตเชยคางมลขึ้น จ้องไปในดวงตาของเขาด้วยอำนาจเหนือธรรมชาติของเธอก่อนจะพูดด้วยเสียงเย็นว่า
"เรายินดีจะยกผลมะม่วงทองให้ท่าน แต่ท่านต้องตามเรามา" เธอหันหลังจากไป เธอไม่ได้เดินไปหาหมู่บริวาร แต่เดินไปทางทิศอื่นที่ดูน่ากลัวกว่ามาก ไม่ใช่ว่าไม่สวย แต่เป็นความสวยที่น่าสะพรึง
"ดี" มลตอบรับด้วยอาการเหมือนหุ่นยนต์ ก่อนจะก้าวเท้าตาม
เคียวยึดตัวเพื่อนไว้ หากแต่มลผู้อยู่ในภวังค์กลับสะบัดออกจนภูตหนังสือล้มลงคนจ้ำเบ้า เสร็จแล้วก็เดินต่อไปโดยไม่ชายตามามองเลยแม้แต่น้อย
"โอ๊ย!" เคียวร้อง แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ เขาพยายามยืดแขนเพื่อจะจับตัวมลต่อ แต่ก็อีกฝ่ายก็จ้ำเอา จ้ำเอา เคียวรู้สึกเหมือนเล่นชักกะเย่อไม่มีผิด แขนเขาจะหลุดอยู่แล้ว เคียวไม่แน่ใจว่าแขนเขาจะหลุดได้ไหม เขาไม่เคยยืดแขนยาวขนาดนี้มาก่อน รู้สึกว่าแขนเริ่มล้า แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ อะไรบางอย่างบอกว่าถ้าเขาปล่อยให้มลเดินตามไป มลอาจจะไม่ได้ออกมาอีกเลย
มลชักรำคาญแขนของผีร้ายตนนี้แล้ว มีอย่างที่ไหนพยายามขัดขวางไม่ให้เขาเข้าไปหานางฟ้า เขาพยายามแกะแขนน่ารำคาญออก แต่อีกฝ่ายก็ยังรัดแน่น เขาทั้งหยิกทั้งทึ้ง พยายามดิ้นให้หลุดพ้นจากพันธนาการ
ขณะที่เพื่อนทั้งสองกำลังตีกันอยู่นั้น ร่างอวตารของเทพอัคนีได้แต่มองตาม ใจหนึ่งเขาอยากเข้าไปช่วย แต่ทว่าคำพูดของนางฟ้ายังคงก้องอยู่ในโสตประสาทของเขา
"อยู่ที่นี่กับเราตลอดไป"
เธอคงหมายถึงให้กูณฑ์ยืนอยู่ตรงนี้กระมัง เด็กหนุ่มยินดีจะยืนอยู่ตรงนี้ตามคำสั่ง หากเพียงได้ยลโฉมนางอีกครั้งหนึ่ง แม้จะนึกเจ็บใจที่ทำไมมลถึงเป็นผู้ถูกเลือกก็ตาม
ตอนนี้เคียวเห็นแล้วว่ายืดแขนอย่างเดียวไม่ไหว เขาเดินตามมลไป แม้จะต้องจำใจทิ้งกูณฑ์ไว้ข้างหลังก็ตาม แต่ตอนนี้มลต้องการเขามากกว่า การเดินตามทำให้ระยะระหว่างต้นแขนกับปลายแขนลดลงช่วยให้หายเมื่อยไปได้บ้าง แต่การที่มลทั้งหยิกทั้งทึ้งทำให้เคียวเจ็บอยู่ไม่ใช่น้อย
ในที่สุดวิทยาธรกับภูตก็มาประจันหน้ากันอีกครั้ง
"ปล่อยข้า" มลคำราม พยายามยกแขนของคนที่เคยเรียกว่าเพื่อนออกไป
"นายมีสติหน่อย" เคียวพูด แม้จะรู้ว่าไม่มีประโยชน์ แต่เขาจะทำอะไรได้มากกว่านี้เล่า
"ปล่อยข้า" มลพูดย้ำคำเดิม ก่อนจะใช้ฟันซี่ใหญ่กัดแขนเคียวอย่างแรง
ภูตหนังสือสะดุ้ง ปล่อยแขนตัวเองออกจากอดีตเจ้าชายวิทยาธรทันที เขาต้องไปหาเธอ เขาจะไม่ยอมให้ใครหรืออะไรมาขัดขวางเด็ดขาด เธอรอเขาอยู่
เคียวลูบแขนที่ถูกกัด เขาไม่คิดเลยว่ามลจะเล่นวิธีนี้ เหมือนเด็ก ๆ ทว่าเขาไม่มีโอกาสจะรำพึงกับตัวเองนานนัก เมื่อตั้งสติได้ เขาก็เห็นว่ามลกำลังเข้าสู่หลุมพราง เคียวยืดแขนออกไปอีก ครั้งนี้จับที่ข้อเท้า
มลพยายามเดินต่อไป แม้จะช้ามากเพราะมีผีร้ายถ่วงเท้าอยู่ แต่เขาก็ไม่แม้แต่จะก้มลงแกะมือออก เขาจะเสียเวลาอีกไม่ได้แม้ชั่วขณะเดียว เขาเดินต่อไป พยายามเตะตัวเกะกะน่ารำคาญออก
ตอนนี้เคียวหมอบราบไปกับพื้น พยายามยึดข้อเท้าเพื่อนไว้ด้วยแรงทั้งหมด แต่แรงของภูตเร่ร่อนหรือจะสู้กับแรงคนที่ตกอยู่ในภวังค์ได้ สุดท้ายเคียวจึงตัดสินใจใช้แรงเฮือกสุดท้ายปลุกปล้ำให้มลลงไปอยู่บนพื้น
ตอนนี้พวกเขาทั้งสองอยู่ในท่าหมิ่นเหม่มาก เคียวคร่อมบนตัวมล ขณะที่เด็กอายุน้อยกว่าพยายามดีดดิ้น
"เจ้าจะทำอะไรข้า"
"มีสติหน่อย มล" เคียวว่า เขาแทบจะร้องไห้อยู่แล้ว ทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้ด้วย มลเป็นคนเตือนพวกเขาเรื่องนางเวมานิกเปรตเองไม่ใช่หรือ มลรู้พิษสงของเธอดีที่สุด ทำไมถึงพลาดท่าขนาดนี้ได้"มีสติหน่อย"
แต่มลไม่ฟัง เขาพยายามดิ้นอีก
เคียวคิดถึงตอนที่กูณฑ์เกือบตกอยู่ในมนตร์สะกด แต่รอดมาได้เพราะเขาหยิกแขนเรียกสติ เคียวทดลองหยิกแขนมลดูบ้าง แต่ก็ดูจะไม่ได้ผล
'คิดสิ' เคียวพูดกับตัวเอง 'อะไรทำให้กูณฑ์ได้สติ'
ราวกับมีใครมาเปิดไฟนำทางให้เห็นในอุโมงค์มืด สิ่งที่ทำให้กูณฑ์ได้สติไม่ใช่ความเจ็บปวดทางกาย แต่เป็นความกลัว กลัวว่าจะทำร้ายคนที่ตัวเองรัก กูณฑ์ไม่อยากให้เคียวคิดว่าเขานอกใจ ถึงแม้ความจริงพวกเขาทั้งสองจะไม่ได้เป็นอะไรมากกว่าเพื่อน เคียวตัดสินใจได้ในฉับพลันนั้น เขาต้องพูดชื่อหนึ่งออกมาและหวังว่ามันจะทำให้มลได้สติ เพราะถ้าไม่ได้ผล เคียวเองก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้วเหมือนกัน
"มล คิดถึงอุสาสิ เธอรอให้นายกลับไปอยู่นะ"
"อุสา" มลทวนคำ ชื่อนี้ช่างคุ้นหูเหลือเกิน ราวกับเป็นชื่อคนสำคัญ
เคียวสังเกตเห็นว่ามลเริ่มกลับมามีสติอีกครั้งจึงรีบสำทับ "อุสาไง เด็กผู้หญิงน่ารัก ๆ ใส่ชุดใบไม้ มีเขากวางเล็ก ๆ ชอบพูดเจื้อยแจ้ว"
"อุสา" ครั้งนี้มลตะโกนขึ้นมา เขาผลักเคียวออกจากร่างและผุดลุกขึ้นนั่ง ก่อนหันมองไปรอบ ๆ "อุสาอยู่ไหน"
"อุสาไม่ได้อยู่ที่นี่" เคียวพูด "แต่เธอปลอดภัยดี เรามาทำภารกิจกัน จำได้ไหม"
คราวนี้มลพยักหน้า สติเริ่มกลับมา
"ขอบใจเจ้ามากนะ ไม่อย่างนั้นข้าคงแย่ไปแล้ว"
"กลับไปหากูณฑ์ก่อนเถอะ แล้วเราค่อยวางแผนกันต่อ" เคียวชวน
หัวหน้าเวมานิกเปรตเริ่มรู้สึกว่าบ่าวรับใช้คนใหม่ของเธอเดินช้าผิดปกติ ความจริงเธอไม่ค่อยอยากได้บ่าวอัปลักษณ์แบบนี้นักหรอก แต่ก็ไม่มีทางเลือก อย่างน้อย ๆ ถึงหน้าตาเด็กนั่นจะน่าเกลียด แต่ก็มีแรงช่วยทำงานได้ เธอพยายามเดินช้า ๆ ให้อีกฝ่ายตามทันก็แล้ว หยุดรอก็แล้ว แต่ก็ไม่เห็นจะมาสักที ในที่สุดเธอก็ต้องย้อนกลับไปรับ นึกกลัวว่ามนตร์สะกดจะเสื่อม แล้วความกลัวของเธอก็เป็นจริง แววตาของเด็กอัปลักษณ์นั่นกลับมาเป็นปกติแล้ว และมันก็กำลังจะหนีเธอไป เจ้าของเกาะโกรธมากจนอยากกรีดร้อง แต่ก็ต้องข่มอารมณ์ไว้และพูดด้วยเสียงอ่อนหวาน
"เจ้าจะไปไหนหรือ ไม่อยากอยู่กับข้าแล้วหรือ"
คราวนี้มลรอบคอบกว่าเดิม เขานั่งภาวนาคาถาที่เจ้าตาเคยสอนไว้ไม่หยุด
นางเปรตเดินเข้ามาใกล้ ตั้งใจจะบังคับให้มลสบตากับตัวเองอีกครั้ง แต่คราวนี้เคียวไม่ยอมอีกต่อไปแล้ว เขาใช้มือทั้งสองข้างดันเธอไม่ให้เข้ามาใกล้
"ถอยไปนะ เจ้าภูตชั้นต่ำ"
เคียวรู้ดีว่าลำพังฤทธิ์ของเขาตอนนี้มีไม่พอที่จะกันเธอไว้ได้นานแน่ เขาหันไปพูดกับมล
"สวดมนต์เพิ่มพลังให้ฉันหน่อย บอกให้โอกูโบะ ไดจิ"
ภูตหนังสืออย่างเคียวนั้นมีวิธีเติมพลังอยู่สองทาง หนึ่งคือต้องอยู่ใกล้ขุมพลังหรือหนังสือของตน แต่พลังที่ได้จากหนังสือก็เป็นเหมือนกับมนุษย์กินอาหาร เป็นพลังที่ทำให้ดำรงชีวิตอยู่ได้เท่านั้น แต่วิธีรับพลังแบบที่สองคือการที่มีคนอุทิศส่วนกุศลให้โดยเฉพาะการอุทิศแบบเฉพาะเจาะจง จะเปรียบเหมือนการกินอาหารเสริมที่ช่วยให้พลังของเคียวเพิ่มขึ้นหลายเท่า
มลพยักหน้า เขารีบสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้เพื่อนทันที
"ต่ำหรือ" เคียวหัวเราะ "อย่างน้อย ๆ ผมก็ไม่เคยสะกดใครมาเป็นทาส"
เวมานิกเปรตใคร่ครวญ บางทีเธอควรสะกดภูตหนังสือตนนี้ก่อน ดังนั้นเธอจึงพูดด้วยถ้อยคำอ่อนหวาน
"ท่านพูดอะไรเช่นนั้น" ผู้เสวยทั้งบาปและบุญพูดด้วยเสียงออดอ้อน ไม่เพียงเท่านั้นเธอยังเข้ามากอดรัดเคียวไว้อีกต่างหาก "ข้าต้องการให้พวกท่านมีความสุขด้วยกันที่นี่ต่างหาก"
นางเวมานิกเปรตมั่นใจมากว่าเสน่ห์ที่เกิดขึ้นจากผลบุญของเธอจะทำให้เคียวหลงเสน่ห์ แต่น่าเสียดายที่มันไม่ได้ผล ไม่ใช่ว่าเธอไม่สวย เธอสวยมากทีเดียว แต่ไม่ว่าจะเป็นเคียวในชาตินี้หรือไดจิในชาติก่อนก็เหมือนกัน เขาไม่เคยสนใจผู้หญิงเลย
"ฟังผมนะ เอามะม่วงทองมา แล้วปล่อยพวกเราไปเดี๋ยวนี้" เคียวคำราม เขาไม่อยากทำร้ายผู้หญิง แต่ก็ไม่มีทางเลือก เขายื่นมือไปบีบคอเธอ เขารู้ว่าเธอไม่ตายหรอก แต่คงทรมานน่าดู เธอดิ้นรนไปมาอย่างน่าสงสาร แต่เคียวก็ไม่ยอมใจอ่อน
"ได้โปรดเถิดท่าน ปล่อยข้า ข้าจะไปเอามาให้"
เคียวค่อยคลายมือออก นางเปรตลงไปหอบอยู่บนพื้น
"ไปสิ"
"เจ้าค่ะ" นางเปรตรีบลุกขึ้นไปปฏิบัติตามคำสั่งทันที แต่ว่าเธอไม่ยอมแพ้แค่นี้หรอก สงครามยังไม่จบสักหน่อย
"เดี๋ยวเราจะไปรอที่เดิมนะ" เคียวตะโกนไล่หลังไป
เด็กทั้งสองกลับมาหากูณฑ์ที่ยังคงมีสีหน้าเคลิ้มฝันอยู่ ร้อนถึงเคียวที่ต้องส่งกระแสจิตเจ้าไปเรียกสติ
"ฉันกลับมาแล้ว"
กูณฑ์สะดุ้ง หันมามองเคียวด้วยท่าทางเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน
"เคียว" เขาเรียกเสียงอ่อน
เคียวกอดเพื่อนเอาไว้ "ไม่เป็นไร เราจะผ่านไปด้วยกัน"
ไม่นานนางเปรตก็เข้ามาพร้อมมะม่วงทอง เธอพยายามชักชวนให้เด็กทั้งสามลองชิมมะม่วงทองที่แสนอร่อย
"ไม่ครับ" เคียวปฏิเสธ เขารีบเอื้อมมือไปรับมะม่วงเจ้าปัญหาสอดเข้าไปในเสื้อคลุมก่อนที่เพื่อนทั้งสองของเขาจะหลงกลอีก
ตอนนี้นางเปรตเริ่มมีอาการที่เปลี่ยนไป เธอไม่ได้งดงามเหมือนนางฟ้าอีกแล้ว แต่ดูน่าเกลียดน่ากลัวไม่ต่างจากอสูรกาย บรรยากาศบนเกาะก็ดูรกร้างน่ากลัว ไม่เหลือเค้าความสวยงามเลยแม้แต่น้อย
"รีบไปกันเถอะ" กูณฑ์ชวน เขาไม่อยากอยู่บนเกาะประหลาดนี่ต่อไป แม้เพียงวินาทีเดียว
เด็กทั้งสามรีบวิ่งไปขึ้นเรือที่จอดอยู่กลางน้ำ และรีบแล่นเรือออกไปในความมืด พวกเขาไม่รู้ว่าจะไปไหน รู้อย่างเดียวคือต้องหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้