Baixar aplicativo
43.1% golden be(a)st friends ผจญภัยป่าหิมพัง เอ่อ พานต์ / Chapter 25: ความลับของอัครเดช

Capítulo 25: ความลับของอัครเดช

ดวงอาทิตย์ส่องประกาย มีดวงดาวบริวารล้อมรอบอยู่ สะเก็ดดาวกระเด็นจากดาวบริวารดวงเล็กที่สุด ดาวบริวารที่ดวงใหญ่ที่สุดชนสะเก็ดดาวนั่นจนมันตกลงไปในปล่องภูเขาไฟ สะเก็ดดาวแตกออก เผยให้เห็นแก้วมณี แก้วมณีส่องแสงเรืองรอง แสงนั้นให้ความอบอุ่น สบายใจอย่างบอกไม่ถูก

ปรเมศวร์ ราชาแห่งวิทยาธรสะดุ้งตื่น เขายังติดอยู่กับความฝัน และพยายามคว้าแก้วมณี ครั้นพอรู้ตัวว่าเป็นความฝันก็ให้นึกเสียดาย

"ฝันประหลาดอะไรอย่างนี้" ปรเมศวร์พูดกับตัวเอง เขารีบเรียกโหรหลวงเข้ามาทำนาย

โหรหลวงผู้ซึ่งเพิ่งได้นอนไปไม่นานถูกเรียกตัวมาเข้าเฝ้าโดยด่วน แม้จะง่วงเพียงใด แต่ก็ไม่อาจหาวต่อหน้าเจ้าเหนือหัวได้ อาชีพโหรเป็นอาชีพที่ต้องตื่นตัวตลอด ไม่แพ้นักรบ เพราะไม่รู้ว่าเมื่อใดจะมีนิมิตประหลาดเกิดขึ้น คำพูดของโหรไม่ต่างอะไรจากคำพูดของเทพเจ้าที่พระราชายังต้องทรงฟัง

"ท่านมาก็ดีแล้ว" ปรเมศวร์เล่าความฝันทั้งหมดให้ฟัง

โหรหลวงหยิบกระดานชนวนขึ้นมาคำนวณ ก่อนจะกราบทูลว่า

"พระอาทิตย์ได้แก่พระองค์ ดาวบริวารทั้งหลายคือพระโอรสของพระองค์ ดาวบริวารที่เล็กที่สุดคือพระโอรสองค์เล็ก"

"มณีโชติหรือ"

"พระเจ้าค่ะ สะเก็ดดาวที่กระเด็นออกหมายถึงเจ้าชายมณีโชติจะทรงให้กำเนิดโอรสหน้าตาอัปลักษณ์"

พอโหรหลวงกราบทูลมาถึงตรงนี้ก็ทำให้ปรเมศวร์ไม่พอใจเป็นอย่างมาก

"ข้ารู้เรื่องของมันกับเด็กอัปลักษณ์นั่นดี เป็นรอยด่างพร้อยแท้ ๆ ข้าอยากจะฆ่าพวกมันนัก นอกคอกทั้งพ่อทั้งลูก"

ยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห มณีโชติที่ตัดสินใจมีชายาเพียงองค์เดียวโดยไม่สนใจธรรมเนียม ประเพณี แล้วยังเด็กมลทินนั่นอีก

"แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับพวกนั้น"

"การที่สะเก็ดดาวตกลงไปในปล่องภูเขาไฟหมายถึงเจ้าชายมลจะได้รับความทุกข์ทรมานสาหัส" โหรหลวงกราบทูลต่อโดยจงใจเลี่ยงที่จะบอกว่าใครเป็นผู้ทำให้มลต้องรับความทุกข์ทรมาน อัครเดชเป็นรัชทายาท อำนาจเป็นรองแต่เพียงปรเมศวร์ เขายังไม่อยากไปดูดวงให้พญายมราชตอนนี้

"ที่สะเก็ดดาวกลายเป็นแก้วมณีหมายถึงเจ้าชายมลจะกลับเป็นเจ้าชายรูปงาม มีความสามารถเพียบพร้อม แสงที่ส่องจากแก้วมณีที่ให้ความอบอุ่น สบายใจนั่นหมายถึงเจ้าชายมลจะปกครองบ้านเมืองด้วยทศพิธราชธรรม นำความเจริญสุขมาให้แก่อาณาประชาราษฎร์"

"ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็ต้องนับเป็นนิมิตหมายที่ดี" ปรเมศวร์รำพึง แม้ว่าเขาจะมีข้อเสียอยู่บ้าง แต่เขาก็ยังเป็นกษัตริย์ที่คิดถึงประชาชนและห่วงใยประชาชนอยู่เสมอ  "แต่จะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อข้าก็ยังมีลูกชายอีกหลายคน"

"ข้าทำนายไปตามตำราเท่านั้นพระเจ้าค่ะ"

"งั้นเจ้าจงไปเสียเถิด" ปรเมศวร์บกมือไล่ ก่อนจะรับสั่งเรียกให้อัครเดชมาเข้าเฝ้า

"เสด็จพ่อมีอะไรหรือพระเจ้าค่ะ" อัครเดชทูลถามอย่างประจบประแจง

ปรเมศวร์เล่าเรื่องคำทำนายให้โอรสองค์โปรดฟัง

"เสด็จพ่อคิดจะยกราชบัลลังก์ให้แก่มลหรือ" อัครเดชทูลถามด้วยน้ำเสียงปกติ ข่มความไม่พอใจไว้ข้างใน

"พ่อไม่ได้คิดทำอย่างนั้นหรอก ลูกเอ๋ย ราชบัลลังก์อย่างไรก็ต้องสืบกันตามราชประเพณี จะมาเชื่อคำทำนาย และทำการขัดต่อกฎมณเฑียรบาลคงไม่ได้"

"แต่ถ้าหลานของข้าจะนำพาความสุขมาให้แก่อาณาประชาราษฎร์จริง ข้าก็ยอมเสียสละ" อัครเดชว่า แกล้งทำเป็นคนมีน้ำใจนักกีฬาอย่างเต็มที่ ขณะที่ในหัวพยายามคิดแผนการกำจัดเด็กน้อยไร้เดียงสา

ราชาวิทยาธรหัวเราะ

"คำทำนายนั่นไม่ได้จะเกิดวันนี้ วันพรุ่ง เสียหน่อย พ่อเล่าให้เจ้าฟัง เพราะเห็นว่ามันแปลกดีเท่านั้น เจ้าอย่าคิดมากไปเลย อย่างไรบัลลังก์นี้วันหนึ่งก็ต้องเป็นของเจ้า"

"ข้าไม่เคยปรารถนาบัลลังก์นี้เลย หวังเพียงแต่ให้ประชาราษฎร์อยู่เย็นเป็นสุขเท่านั้น"

แม้ว่าอัครเดชจะกราบทูลบิดาไปอย่างนั้น แต่ในใจกลับร้อนรนอย่างบอกไม่ถูก แม้ตอนนี้ผู้เป็นพ่อจะบอกว่าไม่สนใจคำทำนาย แต่หากเกิดนิมิตอีกครั้ง ปรเมศวร์ก็อาจยอมยกบัลลังก์ให้แก่เด็กอัปลักษณ์นั่นก็ได้ ใคร ๆ ก็รู้ว่าพวกวิทยาธรเชื่อถือคำทำนายแค่ไหน แม้กระทั่งอัครเดชเองก็เคยคิดว่าคำพูดของโหรหลวงเป็นเหมือนประกาศิตจากพระเจ้า แต่พอมาได้ยินคำทำนายไร้สาระครั้งนี้ เจ้าชายวิทยาธรองค์โต สู้ได้แม้กระทั่งพระเจ้า

สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดล้วนมีธาตุประจำตัว การรู้ว่าใครธาตุอะไร สามารถช่วยบำรุงร่างกายให้แก่ผู้นั้น แต่ในขณะเดียวกันก็ทำร้ายผู้นั้นได้ อัครเดชไปถามหมอหลวงว่าพ่อของเขาธาตุอะไร โดยอ้างว่าจะได้หาอาหารให้เหมาะสมกับธาตุนั้น

"บางทีข้าก็อยากอาหารมาถวายเสด็จพ่อบ้าง แม้ในวังจะมีอาหารเลิศรสมากมาย แต่คงสู้อาหารที่มีแต่ความกตัญญูไม่ได้หรอกกระมัง แต่ข้ากลัวว่าเจตนาดีของข้าจะเป็นบาป หากถวายอาหารไม่เหมาะแก่เสด็จพ่อ ของท่านหมอหลวงจงบอกเถิด ว่าธาตุเจ้าเรือนของเสด็จพ่อคืออะไร ข้าจะได้หามาถวายให้เหมาะแก่ท่าน"

 หมอหลวงผู้ซึ่งเป็นวิทยาธรที่ดี มีศีลธรรม กอปรด้วยความกตัญญู ดังนั้นจึงนึกไปว่าคนอื่นจะเป็นเหมือนตน ไม่ได้มีความระแวงใด.ๆ และกราบทูลไปตามความจริง

"พระเจ้าปรเมศวร์มีพระทัยเมตตา ขี้สงสาร มักจะโอนอ่อนได้ง่าย มีวาทศิลป์ พระองค์เป็นธาตุน้ำ จึงสามารถปรับพระองค์ไปตามสถานการณ์ได้ง่าย หากเจ้าชายปรารถนาจะถวายอาหารแก่พระองค์ ขอจะให้ถวายผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว แต่ห้ามถวายอาหารพวกนมเนยเด็ดขาด"

อัครเดชยิ้ม

"ข้าเข้าใจแล้ว"

หลังจากนั้นอัครเดชก็สั่งให้พวกทหารไปรีดนมกระต่ายเขา กระต่ายเขานั้นเป็นสัตว์ที่มีประโยชน์ เขาของตัวผู้สามารถนำมาทำเป็นอาวุธได้ ส่วนน้ำนมตัวเมียก็มีรสหวานอร่อย รักษาโรคภัยได้

แม้ว่าทหารที่ส่งไป จะไม่ได้กลับมาครบทุกคน แต่อัครเดชก็พอใจกับน้ำนมกระต่ายเขาที่ได้ เขารีบนำน้ำนมนั้นมาทำเป็นเนยและถวายให้แก่ผู้เป็นพ่อ

"หอมดีเหลือเกิน" ปรเมศวร์ชม เขากินเนยที่ลูกเอามาถวายให้ทุกวัน ทำให้ธาตุในร่างกายเริ่มผิดปกติ แต่ทว่าก็ไม่อาจหยุดกินเนยที่มีรสหอมอร่อยอย่างนี้ได้

อัครเดชนั้นไม่เพียงแต่จะถวายเนยที่เคี่ยวมาจากน้ำนมกระต่ายเขาที่หายาก หากแต่ได้ใส่ยาเสน่ห์ลงไปในนั้น ทำให้ปรเมศวร์ที่ปกติก็โปรดปรานลูกคนนี้อยู่แล้ว รับสั่งว่าจะยกบัลลังก์ให้

อัครเดชถือคติว่า 'ช้า ๆ ย่อมได้พร้าเล่มงาม' แม้จะตื่นเต้นดีใจที่พ่อจะยกบัลลังก์ให้ แต่ก็รู้ว่าหากรับบัลลังก์ตอนนี้ย่อมเกิดข้อครหาจึงกราบทูลไปว่า

"เสด็จพ่อยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ ข้าไม่กล้ารับราชบัลลังก์หรอก แต่หากเสด็จพ่อปรารถนาจะพักผ่อน ค่ะก็ยินดีทำงานต่างพระเนตรพระกรรณ"

คำกราบทูลนี้ทำให้ราชาวิทยาธรผู้ลุ่มหลงยิ่งรักใคร่ผู้เป็นบุตรมากขึ้นไปอีก พระราชทานอาชญาสิทธิ์ให้ มีสิทธิ์ว่าขานการนคร ไม่ต่างอะไรกับพระราชาองค์หนึ่ง

ทันทีที่แผนการนี้สำเร็จ อัครเดชก็รีบดำเนินแผนขั้นต่อไป เขาต้องกำจัดหอกข้างแคร่ไปให้พ้นทาง แแม้ว่าตอนนี้มลจะมีอายุเพียงแปดขวบ และดูจะไม่ได้ใส่ใจอะไรเรื่องการบ้านการเมืองเลย วัน ๆ เอาแต่เล่นซนตามประสาเด็ก แต่เรื่องแบบนี้กันไว้ดีกว่าแก้ เขาต้องกำจัดเด็กอัปลักษณ์นั่นให้พ้นทาง ให้มันรู้กันไปว่า เขา อัครเดชคนนี้ จะแพ้ให้แก่เด็กอมมือคนหนึ่ง

อัครเดชใช้อำนาจบารมีของตัวเองบังคับให้น้องชายของเขาส่งลูกไปเรียนกับอาจารย์ธนบาล แล้วคืนนั้นเขาก็รีบไปหาอาจารย์ธนบาล

"บพิตรมาทำอะไรที่นี่หรือ" ธนบาลถาม

อัครเดชรีบเอาทองที่เตรียมไว้ออกมา ไม่เพียงแต่มนุษย์ที่ชอบทอง พวกวิทยาธรก็ชอบเช่นกัน แต่ในขณะที่มนุษย์ชอบทองเพราะเป็นเครื่องประดับอันสวยงาม วิทยาธรกลับชอบเพราะเป็นธาตุที่เหมาะแก่การประดิษฐ์วิทยาการต่าง ๆ

ธนบาลเองก็ทำตัวสมชื่อที่แปลว่าผู้รักษาทรัพย์ ไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบรับทองไปทันที

"มีอะไรให้ข้ารับใช้หรือพระเจ้าค่ะ" เขาว่า สายตาไม่อาจปกปิดความโลภไว้ได้

" 'หลานชาย' ของข้าจะมาศึกษาวิชาจากท่านอาจารย์ในวันรุ่ง" อัครเดชพูดเน้นคำว่าหลานชายราวกับต้องการสื่อความนัยอะไรบางอย่าง

"รับรองว่าจะเอาใจใส่พระนัดดาของพระองค์อย่างดีแน่พระเจ้าค่ะ" ธนบาลทูลประจบ นี่อัครเดชมีหลานแล้วหรือ เวลาช่างผ่านไปไวจริง ๆ เขาเป็นคนสอนอัครเดช และลูกอีกหลายคนของเจ้าชายยุพราชองค์นี้ ถ้าตอนนี้อัครเดชมีหลานและต้องการมาฝากฝัง เขาก็ย่อมทำเต็มที่

"ท่านอาจารย์กำลังเข้าใจผิด" อัครเดชว่า "ที่ข้าพูดว่า 'หลาน' ไม่ได้หมายถึงลูกของลูกข้า หากแต่หมายถึงลูกของมณีโชติต่างหาก"

"เจ้าชายมณีโชติมีพระโอรสแล้วหรือ" ธนบาลถาอย่างประหลาดใจ ข่าวลือเรื่องของมณีโชตินั้นดังไกลมาถึงที่นี่

"ใช่ เด็กนั่นหน้าตาอัปลักษณ์ ไม่คู่ควรกับราชวงศ์ของเราสักนิด" อัครเดชว่า

"แล้วพระองค์จะให้ข้าทำอย่างไรพระเจ้าค่ะ"

"ไม่ต้องสอนวิชาอะไรให้มันทั้งสิ้น มันไม่คู่ควรจะเรียนวิชาของกษัตริย์"  อัครเดชยื่นคำขาด

"แต่ถ้าอย่างนั้น พระองค์ไม่ต้องส่งให้พระภาคิไนยมาเรียนไม่ง่ายกว่าหรือพระเจ้าค่ะ" ธนบาลเสนอความเห็น

"ถ้าข้าไม่ส่งมันมาเรียน พ่อมันก็จะเป็นคนสอนวิชาต่าง ๆ ให้มัน แล้วต่อให้ข้าไม่ชอบขี้หน้าไอ้น้องนอกคอกคนนี้แค่ไหนก็ต้องยอมรับว่าสรรพวิชาต่าง ๆ ของมันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าข้าเลย"

ธนบาลแสยะยิ้ม "รับพระบัญชา"

"ท่านอาจารย์ไม่ได้ตั้งใจสอนวิชาให้ข้าตั้งแต่แรก" มลพูดออกมาอย่างผิดหวังเมื่อได้รู้เรื่องราวทั้งหมด

"ถูกแล้ว" วโรดมว่า

"เขาทำอย่างนี้ทำไม เพียงเพราะข้าหน้าตาอัปลักษณ์หรือ" มลว่าอย่างเจ็บปวด "ถ้าข้าถอดหน้ากากแล้วกลับไป เจ้าตาคิดว่าเขาจะยอมรับข้าหรือไม่"

ฤๅษียิ้ม "พวกเขาอาจจะต้อนรับเจ้า แต่เจ้าจะยินดีหรือที่พวกเขาไม่ได้ทำดีกับเจ้าด้วยใจจริง"

มลพูดไม่ออก "ข้า.."

"โอ๊ย! ยิ่งฟังก็ยิ่งน่าต่อย" กูณฑ์พูดอย่างอดทนฟังไม่ไหว "เราไปต่อยลุงกับอาจารย์เก่านายกันเถอะ ถ้านายไม่กล้า นำทางฉันไปก็พอ คนบ้าอะไรวะ ร้ายกับน้อง กับหลานก็ยังพอทน นี่ดันวางยาพ่อตัวเองอีก เวรเอ๊ย!" เด็กหนุ่มหัวไฟสบถยาวเป็นหางว่าว

"นี่ยังไม่ใช่เรื่องเลวร้ายที่สุดเท่าที่อัครเดชทำหรอก" มลว่า เขาไม่เรียกอัครเดชว่าลุงอีกต่อไป ยิ่งคิดถึงเรื่องที่อัครเดชทำกับครอบครัวของเขาก็ยิ่งเจ็บปวด ครอบครัวที่เคยอบอุ่นของเขาต้องมาพินาศลงเพราะความโลภของคนเพียงคนเดียว

"มีญาติแบบนี้ก็แย่หน่อย" เคียวว่า เขาเคยน้อยใจว่าทำไมต้องเกิดมาเป็นผีไร้ญาติ แต่หากต้องมีญาติแบบอัครเดช เขายอมเป็นผีไร้ญาติต่อไปดีกว่า

"เขาไม่ใช่ญาติของข้า" มลว่า "เจ้าตากับอุสาต่างหากที่เป็น"

"แต่นายบอกว่านายไม่ใช่ลูกของเจ้าตา" กูณฑ์ว่า "หรือว่าเป็นญาติกันทางอื่น"

"ใช่ ญาติทางใจอย่างไรเล่า" มลว่า

กูณฑ์ขมวดคิ้ว "ญาติทางใจคืออะไร"

"วิสฺสาสปรมา ญาตี ความคุ้นเคย เป็นญาติอย่างยิ่ง" มลว่า

"ฉันไม่เข้าใจ" กูณฑ์ว่า

มลถอนหายใจ "ญาติมีสองประเภทคือญาติที่เกี่ยวดองทางสายเลือด อย่างข้ากับอัครเดช ญาติแบบนี้อาจเคยได้ทำกรรมร่วมกันในอดีตหรือมาเริ่มต้นใหม่ในชาตินี้ก็ได้"

"เพิ่งรู้ว่าเป็นญาติต้องทำกรรมร่วมกัน ไม่น่าล่ะ ในละครพวกญาติถึงฆ่ากันเอง คงจะได้มาจากเรื่องนี้สินะ" กูณฑ์รำพึง

"เจ้าเข้าใจอะไรผิดแล้ว" มลว่า "กรรมหมายถึงการกระทำ มีทั้งดีและชั่ว ดังนั้นญาติก็มีทั้งอุปถัมภ์ค้ำจุนกันและทำร้ายกัน ขึ้นอยู่กับกรรมที่ทำจะเป็นกุศลหรือไม่"

"แต่คำว่ากรรมมันหมายถึงกรรมชั่วไม่ใช่เหรอ" กูณฑ์ถาม เขาเองก็เหมือนคนพุทธสมัยใหม่ทั่วไปที่เมื่อพูดถึงกรรมก็คิดถึงกรรมชั่วเป็นหลัก ส่วนกรรมดีก็จะใช้คำว่าบุญแทน

"ใครบอกเจ้ากัน กรรมหมายถึงการกระทำ จะดี จะชั่วก็ได้ทั้งนั้น" มลมองหน้ากูณฑ์ด้วยสายตาที่บอกว่า 'ช่างไม่รู้อะไรเลยนะเจ้า'

กูณฑ์เองเมื่อเห็นท่าทีวางโตของอีกฝ่ายก็ไม่พอใจ อ้าปากจะเถียง แต่เคียวถองเขา

"เล่าต่อเถอะ" เคียวว่า ส่งสายตาห้ามไม่ให้กูณฑ์ทำอะไรบุ่มบ่าม

"ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ นั่นเป็นญาติประเภทมีหนึ่ง ส่วนอีกประเภทหนึ่งก็คือญาติทางธรรมคือคนที่มีความสนิทสนมคุ้นเคยกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน เหมือนกับข้ากับเจ้าตาและอุสาอย่างไรล่ะ" มลสรุป

"จะว่าไปแล้วอุสากับเจ้าตาไปไหนกันนะ" กูณฑ์ว่า พลางมองไปรอบ ๆ คนหนึ่งก็คนแก่ อีกคนก็เด็กผู้หญิงไปเดินเล่นในป่าตอนค่ำ ๆ มืด ๆ ไม่กลัวเลยหรือไงนะ มลก็ชิลเหลือเกิน ดูไม่ห่วงคนที่เขาเรียกว่าเป็นญาติเลยแม้แต่น้อย

มลยักไหล่ "เดี๋ยวพวกเขาก็กลับมากันเอง"

"นายไม่ห่วงพวกเขาเลยเหรอ"

"ทำไมต้องห่วง"

"พูดงี้ได้ไง" กูณฑ์ว่าอย่างไม่พอใจ "พวกเขาอาจจะโดนตัวอะไรคาบไปแล้วก็ได้ คนหนึ่งก็คนแก่ อีกคนก็เป็นเด็ก"

มลหัวเราะ "เจ้าลืมไปหรือว่าคนแก่กับเด็กที่เจ้าพูดถึงไม่ใช่คนแก่กับเด็กธรรมดา คนหนึ่งก่อนจะมาเป็นฤๅษีก็เคยเป็นกษัตริย์ที่ครองมหาอาณาจักรมาก่อน แม้ตอนนี้จะละอาวุธมาถือไม้เท้า แต่ความเชี่ยวชาญในสรรพาวุธก็ยังไม่ยิ่งหย่อน ไม่มีอะไรกล้าทำอันตรายท่านหรอก ส่วนอุสาแม้จะเป็นเด็กผู้หญิง แต่สัญชาตญาณระแวงภัยก็ไม่ต่างอะไรจากพวกลูกสัตว์เพราะได้รับความสามารถมาจากผู้เป็นแม่ เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก"

สีแดงจากผมของกูณฑ์ดูเหมือนลามไปถึงใบหู เขาเคยชินกับโลกที่เห็นว่าคนแก่ เด็กและผู้หญิงเป็นคนที่อ่อนแอและต้องปกป้องจนลืมไปเสียสนิทว่าวโรดมกับอุสาไม่ใช่คนธรรมดา

"ถึงอย่างนั้นก็เถอะ สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง เราควรดำรงตนอยู่ในความไม่ประมาท" กูณฑ์เถียงกลับ

"เป็นสุภาษิตที่ไพเราะ" วโรดมที่เพิ่งกลับมาว่า "ขอบใจที่เจ้าเป็นห่วงข้า แต่ข้ากับอุสาไม่เป็นไรหรอก"

"ตอนที่ข้าไป เจ้าพี่เล่าเรื่องอะไรให้สองคนนี้ฟังบ้างเจ้าคะ" อุสาถาม

มลมองเพื่อนใหม่ทั้งสองเป็นเชิงปรามไม่ให้พูดอะไร ก่อนจะตอบเด็กหญิงช่างเจรจาไปว่า

"ข้าก็นินทาเจ้าน่ะสิ"

อุสาหน้ามุ่ย ก่อนจะรัวกำปั้นทุบอกมลอย่างแรง

"เจ้าพี่ใจร้าย" เธองอนและเดินกลับเข้าไปข้างใน

มลถอนหายใจ "ค่อยยังชั่วหน่อย"

"ทำไมนายไม่บอกเขาไปตรง ๆ " เคียวถาม

"ข้าไม่อยากให้นางไม่สบายใจ" มลตอบ แม้จะไม่ได้เป็นพี่น้องแท้ ๆ แต่มลกลับรักอุสามากกว่าญาติพี่น้องของตัวเองเสียอีก อุสาเป็นคนแรกที่ไม่ตกใจตอนเห็นใบหน้าอัปลักษณ์ของเขา ตลอดชีวิตที่ผ่านมาทุกคนที่เห็นหน้าของเขาล้วนแต่ตกใจ ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ที่แม้ตอนหลังจะทำใจยอมรับได้ แต่ใบหน้าตะลึงของพ่อแม่ตอนเห็นหน้าเขาก็ทำให้มลเจ็บช้ำน้ำใจอยู่ไม่น้อย แต่อะไรก็ไม่น่าเจ็บใจเท่าผีที่อยู่ข้าง ๆ เขาก็ตกใจตอนเห็นหน้าเขาด้วยจนเขาต้องยอมละเมิดคำสั่งของอาจารย์ ถอดหน้ากากออก หน้าเขานี่ผีเห็นคร้ามของจริง


Load failed, please RETRY

Status de energia semanal

Rank -- Ranking de Poder
Stone -- Pedra de Poder

Capítulos de desbloqueio em lote

Índice

Opções de exibição

Fundo

Fonte

Tamanho

Comentários do capítulo

Escreva uma avaliação Status de leitura: C25
Falha ao postar. Tente novamente
  • Qualidade de Escrita
  • Estabilidade das atualizações
  • Desenvolvimento de Histórias
  • Design de Personagens
  • Antecedentes do mundo

O escore total 0.0

Resenha postada com sucesso! Leia mais resenhas
Vote com Power Stone
Rank NO.-- Ranking de Potência
Stone -- Pedra de Poder
Denunciar conteúdo impróprio
Dica de erro

Denunciar abuso

Comentários do parágrafo

Login