เมื่อพูดถึงผีคุ้มกูณฑ์ก็คิดถึงเคียวขึ้นมา เขานึกอยากเขกกะโหลกตัวเองจริง ๆ เขามัวแต่โล่งใจที่รอดตายจนลืมเพื่อนอย่างเคียวไปเสียสนิท เขาหวังว่าเคียวจะไม่ตายนะ พอคิดถึงตรงนี้กูณฑ์ก็อดนึกขันในใจไม่ได้ เคียวเองก็เป็นผีอยู่แล้ว จะตายได้ยังไง ตายซ้ำตายซ้อนเหรอ ถ้าผีตายแล้วจะมาเกิดเป็นคนหรือเปล่านะ
"เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก ข้าไม่ปล่อยให้โอกูโบะคุงเป็นอะไรไปหรอก" เทพอัคนีกระซิบ
"แก เอ๊ย ท่าน พูดเรื่องอะไร" กูณฑ์ว่า เขาไม่เคยได้ยินชื่อโอกูโบะมาก่อนเลยในชีวิต คนที่เขาห่วงคือเคียวต่างหาก เป็นถึงเทพ แต่ทำไมไม่รู้เรื่องเลยเนี่ย
"ทำใจให้สบาย พระนางจะพาเจ้าไปรักษา"
กูณฑ์ไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย แล้วเขาก็เกรงใจด้วยที่ผู้หญิงเอวบางร่างน้อยอย่างพระนางต้องมาอุ้มเด็กหนุ่มวัยกำลังกินกำลังนอนอย่างเขา เขาอยากจะฟื้นคืนสติขึ้นมาจริง ๆ เผื่อจะแบ่งเบาภาระให้พระนางได้บ้าง แต่ทำอย่างไรร่างกายก็ไม่ยอมขยับ พระนางมาสัมผัสเขา นวดฟั้นให้เขา กูณฑ์เริ่มฟื้นสติขึ้นมาได้ เขาพยายามบอกพระนางเกี่ยวกับเรื่องเคียว ขอให้พระนางไปช่วยเคียว แต่พระนางกลับทรงมองหน้าเขาแปลก ๆ เหมือนกับว่าเขาเสียสติไปอย่างนั้นแหละ แต่พระนางก็ไม่ได้เอ่ยอะไรให้กูณฑ์เจ็บช้ำน้ำใจ เพียงแต่ปลอบเขาว่า
"อย่ากังวลกับสิ่งของนอกกายเลย จงพักผ่อนเสียเถิด"
คำปลอบของพระนางฟังดูทะแม่ง ๆ อยู่ ในเมื่อเคียวไม่ใช่สิ่งของสักหน่อย แต่คิดไปคิดมาอีกทีเขียวก็เป็นภูตหนังสือ สำหรับพระนางอาจจะทรงถือว่าเป็นสิ่งของก็ได้ แล้วพระนางก็ป้อนอะไรบางอย่างให้เขา รสสัมผัสนั้นทั้งหวานและเย็น รสอร่อยเสียจนเขาอยากกินมากกว่านี้ แต่มันก็หมดเร็วเกินคาด กูณฑ์เริ่มรู้สึกมึนหัว และในที่สุดเขาก็หลับไป แต่แม้ว่าร่างกายเขาจะหลับ แต่จิตเขายังไม่หลับ ต่อเขารู้ว่าตอนนี้ปลอดภัยแล้ว แต่ทว่าเคียวยังอยู่ข้างนอกนั่น และไม่มีใครรู้ เขาพยายามส่งสัญญาณให้คนที่อยู่ดูแลเขาไปช่วยเคียว เขาไม่ต้องการให้ใครมาดูแล เคียวต่างหากที่กำลังต้องการความช่วยเหลือ ให้ตายเถอะ เขาอยากลุกขึ้นเดินได้เหลือเกิน
"เคียว ฉันต้องการเคียว" กูณฑ์อยากจะพูดว่าฉันต้องการให้เคียวปลอดภัย ฉันต้องการให้เธอไปช่วยเคียว แต่เมื่อร่างกายเราหลับ มนุษย์ธรรมดาก็ไม่อาจจะพูดทุกอย่างที่คิดได้ เขาจึงพูดได้กระท่อนกระแท่น และซ้ำไปซ้ำมาอยู่แต่ประโยคเดิม
"เขายังไม่ฟื้นอีกหรือ" เสียงใสดังนกการะเวกดังขึ้น
"ยังเพคะ แต่เขาเอาแต่พูดว่าเคียว"
กูณฑ์พยายามลืมตา เขาต้องฟื้นให้ได้ อย่างไรก็ต้องฟื้น และในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ เขาพยายามยันตัวลุกขึ้นนั่ง แต่ข้ารับใช้มาห้ามเขาไว้เสียก่อน
"อย่า เจ้าอย่าเพิ่งลุกขึ้นนั่ง นอนไปก่อน"
พระนางเสด็จมาหาเขา ก้มลงมองด้วยสีพระพักตร์เปี่ยมด้วยความเมตตา พอได้เห็นพระนางใกล้ ๆ อย่างนี้ กูณฑ์บังเกิดความรู้สึกหวั่นเกรงขึ้นมา เขาไม่รู้จะทำยังไง ในเมื่อยังนอนอยู่บนเตียง เขาจึงตัดสินใจทำในสิ่งที่ง่ายที่สุด ก็คือยกมือไหว้
"ไหว้พระเถิด" พระนางตรัสตอบ "ท่า..เอ๊ยเจ้ารู้สึกดีขึ้นแล้วหรือ"
"ดีขึ้นแล้วครั.. เอ๊ยพระเจ้าค่ะ" กูณฑ์ตอบ เขารู้สึกอึดอัดอยู่ไม่ใช่น้อยที่ต้องมาเสวนากับเทพธิดา
พระนางจ้องหน้าเขา "จริงหรือ หายเป็นปกติแล้วหรือ"
กูณฑ์ยอมรับว่าเขารู้สึกมึน ๆ อยู่นิดหน่อย แต่เมื่อได้นอนพักก็คงจะดีขึ้น
"อาจจะเพราะว่าเจ้าดื่มน้ำอมฤตมากไป เราเองก็ไม่ได้มีความรู้ในด้านนี้ นี่ยังโชคดีที่ไม่ได้ดื่มมากจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต"
"ช้าก่อน เพคะ" นางข้ารับใช้อุทานอย่างตกใจ "พระองค์ทรงให้มนุษย์ผู้นี้ดื่มน้ำอมฤตหรือเพคะ"
แววตาที่เธอจับจ้องมาที่กูณฑ์ ทำให้กูณฑ์รู้สึกว่าหากเธอผ่าท้องเขา เอาน้ำอมฤตคืนไปได้ เธอก็คงทำ
"เจ้าอย่ายึดติดไปหน่อยเลย บุปผา" พระนางตรัสด้วยพระสุรเสียงอันอ่อนโยน "น้ำอมฤตเป็นของนอกกาย ช่วยคนสิถึงเป็นกุศล นำติดตัวไปภพหน้าได้"
"เดี๋ยวก่อนนะครับ" กูณฑ์พูดด้วยภาษาปัจจุบัน เพราะยังสับสนงุนงงเกินกว่าจะใช้ภาษาแบบที่พระนางตรัสได้ "น้ำอมฤตนี่คือน้ำที่ได้จากการกวนเกษียรสมุทรหรือเปล่าครับ"
ถึงแม้ว่ากูณฑ์จะไม่ค่อยใส่ใจวรรณคดีไทยมากนัก แต่เขาก็เคยอ่านการ์ตูนรามเกียรติ์ การ์ตูนที่วาดมาให้เด็กและเยาวชนเข้าใจสงครามระหว่างยักษ์และลิงได้โดยง่าย เขาจำได้ว่ามันมีกล่าวถึงน้ำอมฤตที่เทวดาไปหลอกพวกยักษ์มากวนเกษียรสมุทรอยู่ถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน หากสิ่งที่เขาดื่มไปเป็นน้ำอมฤตจริง ต่อไปนี้เขาจะไม่มีวันตายแล้วหรือ เขาจะเป็นอมตะใช่ไหม กูณฑ์ไม่แน่ใจว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร เขายังเด็กเกินไปที่จะคิดถึงเรื่องความตาย แต่เขาก็ไม่เคยคิดถึงชีวิตที่เป็นอมตะ การอยู่คนเดียวโดยที่ใคร ๆ รอบตัวต่างทยอยล้มหายตายจากเป็นอะไรที่น่าหวาดหวั่นอยู่ไม่ใช่น้อย
พระนางมุจลินทร์แย้มพระโอษฐ์ "เจ้าดูมีความรู้มากทีเดียว แต่นาคีต่ำต้อยอย่างเรามิมีวาสนาได้น้ำอมฤตจากเกษียรสมุทรดอก"
"ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยผม" กูณฑ์ว่า "แล้ว เอ่อ ไม่ทราบว่าพระนางเห็นเคียวบ้างหรือเปล่าครับ"
"เจ้าจะห่วงอะไรกับสิ่งของนอกกาย ได้รอดชีวิตแล้วก็นับว่าเป็นบุญ"
"เดี๋ยวก่อนนะครับ" กูณฑ์ขัด ดูท่าทางจะเกิดเรื่องเข้าใจผิดกันเสียแล้ว "เคียวที่ผมหมายถึงเป็นชื่อผี เอ่อ ภูตครับ ไม่ได้หมายถึงเคียวเกี่ยวข้าว"
พระนางทรงพระสรวลน้อย ๆ สีพระพักตร์แดงระเรื่อ
"อ๋อ เราเข้าใจผิดเอง หน้าตาภูตของเจ้าเป็นอย่างไรเล่า จะได้ให้ทหารนาคไปช่วยกันตามหา"
"เขามีผมสีขาวครับ ใส่ชุดสีน้ำเงิน ตาสีน้ำเงิน" กูณฑ์อธิบาย
"ได้" ธิดาพญานาครับคำ ก่อนจะเสด็จออกไปจากห้อง ทิ้งให้กูณฑ์อยู่กับบุปผาสองต่อสอง
กูณฑ์ขยับตัวไปมาอย่างอึดอัด สายตาของบุปผาจับจ้องเขาอยู่จนเขาไม่กล้าทำอะไร ในที่สุดเขาก็ลองชวนคุยดูเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศ
"ห้องสวยนะครับ ห้องของพี่เหรอ"
"ฉันไม่มีวาสนาได้อยู่ห้องงามปานนี้ดอก" บุปผาตอบ
ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง กูณฑ์พยายามเค้นสมองว่าจะคุยเรื่องอะไรต่อไปดี ที่รู้ ๆ คือเขาไม่ชอบความเงียบตอนนี้เลย
"แล้วพี่รู้ไหมครับว่าน้ำอมฤต กินแล้วจะเป็นยังไง"
"เพชรอย่างดีมีค่าราคายิ่ง ส่งให้ลิงจะรู้ค่าราคาหรือ" บุปผาพูดเสียงเรียบ
ถึงแม้ว่ากูณฑ์จะไม่เก่งภาษาไทยนัก แต่เขาก็รู้ว่าบุปผากำลังหลอกด่าเขาอยู่ หาว่าเขาไม่รู้จักของมีค่า นี่ถ้าไม่เห็นว่าเป็นผู้มีบุญคุณ กูณฑ์จะด่ากลับให้
"ขอโทษจริง ๆ นะครับ แต่ผมไม่เคยรู้จักน้ำอมฤตมาก่อนเลย เคยได้ยินได้ฟังแต่ในนิทาน ไม่นึกว่าจะมีจริง"
"เจ้ามาอยู่ในวังบาดาลของพญานาคแล้ว นิทานอะไรก็เป็นจริงได้ทั้งนั้นแหละ"
"แล้วน้ำอมฤตนี่คือ.." กูณฑ์เซ้าซี้ถามต่อไป มันใช่เรื่องไหมล่ะ อยู่ ๆ ก็มีคนป้อนอะไรก็ไม่รู้ให้ กระทั่งถึงตอนนี้เขายังรู้สึกมึน ๆ หัวอยู่เลย ไม่ใช่ว่าเขาแพ้ฤทธิ์ของมันหรอกนะ
"มฤต หมายถึง ตาย พอเติม อ เข้าไปก็หมายถึงไม่ตาย" บุปผาอธิบายเรียบ ๆ
"เป็นน้ำที่ทำให้ผมไม่ตายเหรอ" กูณฑ์ทวนคำ ในใจรู้สึกสับสน ความเป็นอมตะเป็นสิ่งที่กูณฑ์ไม่เคยคิดฝัน เขาไม่เข้าใจเลยว่าคนเราจะดิ้นรนอยากเป็นอมตะกันทำไม เขาเคยอ่านนิทานต่างประเทศเรื่องหนึ่ง ที่นางฟ้าหลงรักมนุษย์และขอพรจากเทพให้มนุษย์ผู้นั้นเป็นอมตะ เพื่อจะได้อยู่เคียงข้างเธอตลอดไป เทพประทานพรให้ตามที่ขอ หากแต่ความเป็นอมตะหมายถึงความไม่ตายเท่านั้น ร่างกายของมนุษย์ผู้โชคร้ายคนนั้นได้เสื่อมโทรมไปตามสภาพ ใบหน้าเหี่ยวย่น หลังโค้งงอ ผมหงอกขาว ตาฝ้าฟาง เรียกอะไรก็ไม่ได้ยิน โรคภัยไข้เจ็บรุมเร้า นางฟ้าผู้เป็นภรรยาได้แต่ทุกข์ที่เห็นสภาพสามีเป็นอย่างนี้ ได้วิงวอนต่อเทพผู้เป็นใหญ่อีกครั้ง และเทพก็ได้เสกให้สามีของนางเป็นจั๊กจั่นที่ลอกคราบได้ ลอกคราบเพื่อกลับความเป็นสู่ความเป็นหนุ่มและไม่ต้องทุกข์ทรมานกับความชราที่มาเบียดเบียนอีกต่อไป
คิดมาถึงตรงนี้ ขนสันหลังของกูณฑ์ก็ลุกวาบ แค่คิดว่าเขาจะเป็นภาระของคนรุ่นหลังถึงเพียงนั้น เขาก็แทบอยากกัดลิ้นตัวเองให้ตายไปตอนนี้เลย
"พวกคุณไม่น่าเอาน้ำนั่นให้ผมกินเลย" กูณฑ์ว่า เขารู้สึกผิดนิด ๆ ที่พูดจาเหมือนคนอกตัญญู แต่ถ้าเขาจมน้ำตาย แม้ว่ามันจะเป็นการตายที่ทรมาน แต่ก็คงไม่ทรมานเท่าชีวิตนิรันดร์ที่อยากตายแต่ตายไม่ได้หรอก
"คนอกตัญญู" บุปผาบริภาษ "เจ้ารู้หรือไม่น้ำอมฤตนั่นหายากเพียงไหน เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีมนุษย์และอมนุษย์จำนวนเท่าใดที่จะยอมแลกกับชีวิตอมตะที่ไม่แก่ไม่ตาย"
"ไม่แก่ไม่ตาย" กูณฑ์ทวนคำ หากความเป็นอมตะหมายถึงความไม่แก่ด้วย ก็ทำให้กูณฑ์รู้สึกโล่งใจขึ้นมาก เพราะอย่างน้อย ๆ เขาก็ไม่ต้องเป็นภาระของคนรุ่นหลัง กูณฑ์ก้มลงสำรวจแขนขาตัวเอง นึกโมโหที่ตัวเองไม่รู้จักออกกำลังสร้างกล้ามเนื้อมากกว่านี้ หากเขารู้สักนิดว่าวันหนึ่งเขาต้องมาติดอยู่ในร่างเก้งก้างของเด็กหนุ่มวัยสิบห้าปีนี้ตลอดไป เขาคงจะเชื่อฟังพ่อ กินอาหารที่มีประโยชน์ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายเยอะ ๆ แต่ตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะกลับไปอยู่บนโลกมนุษย์ได้ไหม จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเพื่อนร่วมชั้นของเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แก่แล้วตายไป แต่เขาก็ยังอยู่เหมือนเดิม คิดถึงตรงนี้น้ำตาของกูณฑ์ก็ไหลออกมา แค่คิดว่าเขาต้องอยู่โดดเดี่ยวไปทั้งชีวิต กลายเป็นตัวประหลาดอย่างสมบูรณ์แบบก็ทำเอาเขากลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ แต่อยู่ ๆ กูณฑ์ก็เกิดความคิดดี ๆ ขึ้นมา ถ้าเขาเลือกให้ใครสักคนเป็นอมตะเหมือนเขาได้ล่ะ คนที่อยู่เคียงข้างเขาตลอดไป เขาหันไปทางบุปผาก่อนถามว่า
"พี่เอาน้ำอมฤตมาจากไหนเหรอ" กูณฑ์ถาม
"เจ้าจะรู้ไปทำไม" บุปผาย้อนกลับ
กูณฑ์ไม่รู้จะตอบยังไงดี ได้แต่ส่งสายตาลูกหมา มันได้ผลทุกครั้งเวลาเขาทำกับแม่ แต่ไม่รู้ว่าจะได้ผลกับนาคีด้วยหรือเปล่า
"พระญาติข้างฝ่ายพระมารดาของพระนางมุจลินท์ส่งมาให้" บุปผาตอบอย่างเสียไม่ได้
"พระนางมุจลินท์" กูณฑ์ทวนคำเป็นเชิงถาม
บุปผาถอนหายใจใส่เขา เธอคงรำคาญเพราะนึกว่ากูณฑ์แกล้งทำโง่
"พระนางที่พระราชทานน้ำอมฤตให้เจ้าไง"
"อ๋อ พระญาติของพระนางคงต้องเป็นนาคที่เก่งน่าดู" กูณฑ์หยอด
"เท่าที่ข้ารู้ ไม่มีนาคตนไหนรู้สูตรยาอมฤตหรอก พวกวิทยาธรก็หวงความรู้กันจะตาย"
"วิทยาธร" กูณฑ์ลองออกเสียงชื่อแปลก ๆ นี้ เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน
"พวกนั้นมีฤทธิ์มาก เจ้าชู้ที่หนึ่ง ลูกเขาเมียใครไม่สน แถมชอบทดลองอะไรแปลก ๆ สำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง แต่ไม่ค่อยจะบอกสูตรลับกับใคร"
"แล้วนาคกับวิทยาธรมาเกี่ยวข้องกันได้ไงครับ"
"เจ้าชายวิทยาธรองค์เล็กที่ทรงพระนามว่ามณีโชติอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงจันทประภาแห่งเผ่ากินรี"
พอได้ฟัง คิ้วของกูณฑ์ก็ยื่นเข้าหากัน ผู้ใหญ่นี่เป็นเหมือนกันทุกเผ่าพันธุ์หรือเปล่าที่ไม่ชอบอธิบายรายละเอียดอะไรให้เด็ก ต้องให้ซักถามอยู่เรื่อย แต่พอถามก็ดันหงุดหงิด
"ผมยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่านาคกับกินรีเกี่ยวอะไรกัน" กูณฑ์พยายามเค้นสมองคิดถึงเรื่องนาคกับกินรี แต่ในหัวกูณฑ์รู้จักแต่นาคกับครุฑที่เป็นพี่น้องต่างแม่กัน หรือว่านาคกับกินรีจะเป็นพี่น้องต่างแม่กันเหมือนกัน
"ท้าวมุจลินท์ทรงได้พระนางแขอำไพ พระเจ้าป้าของเจ้าหญิงจันทประภาเป็นพระชายาและได้ให้กำเนิดพระนางมุจลินท์ ทีนี้เจ้าเข้าใจหรือยังว่ามีสายสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันทางไหน หรือจะต้องให้ข้าวาดแผนผังให้ดู" น้ำเสียงของบุปผาตอนท้ายฟังประชดประชัน
กูณฑ์ลำดับญาติในหัว ก่อนจะพยักหน้า
"เข้าใจแล้วครับ" แต่ความจริงต่อให้ไม่เข้าใจกูณฑ์ก็ไม่กล้าซักต่อหรอก หน้าตาเธอเหมือนจะฉีกเนื้อเข้าเป็นชิ้น ๆ ค่าที่บังอาจไปดื่มน้ำอมฤตล้ำค่า ใครจะไปรู้ล่ะว่าของหายาก รู้งี้ เขาปฏิเสธไม่เอาก็ดีหรอก หรือบางทีเขาอาจจะลองหาสูตรมาปรุงดูเองก็ได้ น่าจะลองถามจากพระนางมุจลินท์ดู เผื่อพระนางจะทรงทราบ