ในที่สุดครอบครัวภูเขี้ยวพร้อมกับผู้ติดตามที่ไม่มีใครเห็นนอกจากกูณฑ์ก็ได้เข้าไปทำกิจกรรมที่อ่างซับเหล็ก วาเรศไปติดต่อซื้อตั๋วบานาน่าโบ๊ทให้ตัวเองกับลูก
กูณฑ์ชวนเคียวไปเล่นบานาน่าโบ๊ทด้วยกัน
"ไปเถอะน่ะ รับรองติดใจแน่"
"ฉันไม่ไปหรอก" เคียวปฏิเสธ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะบอกว่า "นายไม่ไปไม่ได้เหรอ ฉันสังหรณ์ไม่ดียังไงชอบกล เหมือนในน้ำจะมีอะไร"
กูณฑ์หัวเราะ "ไร้สาระจริง นี่มันแหล่งท่องเที่ยวนะ อีกอย่างเราก็มีเสื้อชูชีพอยู่แล้ว จะกลัวอะไร"
วาเรศโบกมือเรียกลูกชายให้ไปหาจากริมน้ำ กูณฑ์วิ่งไป วาเรศใส่เสื้อชูชีพและส่งอีกตัวหนึ่งให้กูณฑ์ใส่ กูณฑ์พยายามใส่อยู่นาน แต่ทำอย่างไรก็ไม่สามารถติดล็อกให้แน่นสนิทได้ วาสนาเห็นลูกวุ่นอยู่กับเสื้อชูชีพก็ลุกมาช่วย
"ทำไมติดไม่ได้ล่ะเนี่ย ไม่มีตัวอื่นที่ดีกว่านี้แล้วหรือ"
คนขับเรือยิ้ม "ไม่มีแล้วครับ แต่ติดแค่นี้ก็พอแล้วครับ ไม่มีอันตรายอะไรหรอก"
วาสนาเม้มปาก เธออยากจะค้าน แต่ไม่อยากพูดอะไรเป็นลางจึงได้แต่ลูบหัวกูณฑ์ ระลึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัยให้ช่วยคุ้มครองเขา
ผู้โดยสารทั้งหมดลงเรือ กูณฑ์ยึดหลักไว้แน่น ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับความมันที่กำลังจะเกิดขึ้น คนขับเรือขับไปช้า ๆ ก่อน น้ำกระเซ็นมาโดนแก้มทำให้สดชื่นขึ้นไม่น้อย ความเร็วค่อย ๆ เพิ่มขึ้น กูณฑ์จับที่ยึดไว้แน่นกว่าเดิม เขาไม่รู้ว่าเขาตะโกนอะไรออกบ้างเพราะความตื่นเต้น ในที่สุดก็มาถึงวินาทีที่ตื่นเต้นที่สุด เรือบานาน่าโบ๊ทพลิกคว่ำ ผู้โดยสารที่ยังไม่ทันตั้งตัวลงมาอยู่ในน้ำ สำลักน้ำไปคนละหลายอึก กูณฑ์มองไปรอบ ๆ พอมาอยู่ในน้ำแล้ว วิวที่เห็นก็ดูแปลกตาไปชอบกล ทันใดนั้นเองกูณฑ์ก็ขยี้ตา เขาไม่แน่ใจว่าเขาตาฝาดไปหรือเปล่า แต่เมื่อมองไปอีกที เขาก็เห็นหน้าคนที่กำลังลอยปริ่มน้ำอยู่ หน้าคนที่เหมือนแม่ของเขาไม่มีผิด กูณฑ์ตกใจ เขารีบว่ายไปตรงนั้นทันที ทั้ง ๆ ที่ความจริงเขาควรปล่อยให้พ่อจัดการเรื่องนี้จะปลอดภัยกว่า แต่กูณฑ์ก็ตัดสินใจทันทีเพราะอารามรีบร้อนและไว้ใจในฝีมือของตัวเองมากเกินไป เนื่องด้วยกูณฑ์เองก็เป็นนักกีฬาว่ายน้ำคนหนึ่ง
เมื่อกูณฑ์ว่ายเข้าไปใกล้ ๆ เขาก็นึกแปลกใจว่าเหตุใดแม่จึงไม่ยกมือโบกเพื่อเป็นสัญญาณให้คนเห็นชัดกว่านี้ แต่เขาก็สลัดความรู้สึกนั้นไปเสีย เนื่องด้วยมีเรื่องอื่นต้องห่วงกังวลมากกว่า
"แม่ครับ เกาะผมไว้" กูณฑ์ตะโกนบอก เมื่ออยู่ใกล้พอที่จะได้ยิน เขาว่ายเข้าไปใกล้อีก พยายามอ้อมไปด้านหลังตามหลักการที่ได้ศึกษามา เขาใช้มือข้างหนึ่งพาดบ่าไหล่ด้านหลังไขว้ทะแยงหน้าอก จับข้างลำตัวด้านตรงข้ามของแม่ ขณะที่เขาอุ่นใจว่าทำสำเร็จแล้วนั่นเอง แม่ก็หันกลับมากอดรัดเขาไว้แน่นด้วยแรงมหาศาลอย่างไม่น่าเชื่อ ถ้าหากเขาไม่ได้ใส่เสื้อชูชีพก็คงสิ้นไปเสียแล้ว
"แม่ครับ ใจเย็น ๆ " กูณฑ์ปลอบ คิดไปว่าแม่คงตกใจเมื่ออยู่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ แต่ถ้าแม่ไม่ตั้งสติให้ดี อย่างไรเขาก็เอาแม่เข้าฝั่งไม่ได้ แต่แล้วเขาก็ต้องตกใจแทบสิ้นสติเมื่อเสื้อชูชีพที่เขาติดไว้หลวม ๆ นั้นได้หลุดลอยออกจากตัวเขาเป็นที่เรียบร้อย กูณฑ์นึกแช่งชักหักกระดูกความสะเพร่าและโชคชะตาเฮ็งซวยของตัวเอง แต่เขาก็พยายามมองหาฝั่งเพื่อจะว่ายเข้าหา
และแล้วกูณฑ์ก็ได้ยินเสียงที่ไม่ควรได้ยินในเวลานี้ เวลาที่เขากับแม่กำลังจมน้ำตายเพราะความประมาทเลินเล่อ เสียงนั้นเป็นเสียงหัวเราะแสบแก้วหู เหมือนเสียงหัวเราะของปีศาจอย่างไรอย่างนั้น แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด ไม่ใช่เสียงหัวเราะอันน่าประหลาดนั้นหรอก แต่เพราะกูณฑ์ได้ยินมันมาจากร่างที่กอดรัดเขาอยู่ตอนนี้ ร่างที่พยายามกอดรัดและกดเขาไปใต้น้ำ นี่ไม่ใช่การกอดรัดเพราะความตกใจเสียแล้ว แม่พยายามจะฆ่าเขา กูณฑ์ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ ขณะที่เขากำลังจะจมดิ่งไปสู่ห้วงน้ำอันลึกล้ำ ไม่มีที่สิ้นสุดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงแว่วมา
บางทีมันอาจจะเป็นเสียงอนุสติของเขาก็ได้
"กูณฑ์ มันไม่ใช่แม่นาย"
วาสนาผุดลุกผุดนั่งอย่างอยู่ไม่สุข ทำไมกับอีแค่เล่นบานาน่าโบ๊ทรอบเดียว สองพ่อลูกจึงไปกันนานถึงเพียงนี้ ครั้นพอวาเรศกลับมา วาสนาก็วิ่งไปต้อนรับอย่างยินดี แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นตกใจเมื่อไม่เห็นลูกชายมาด้วย
"กูณฑ์ไปไหน" วาสนาถามอย่างร้อนรน
วาเรศยังคงดื่มน้ำอย่างใจเย็น
"มันไม่ได้ขึ้นมาแล้วหรือ มันขึ้นมาก่อนผมเสียอีก"
"ฉันนั่งอยู่ตรงนี้ตลอด แต่ก็ไม่เห็นนะ"
"เดี๋ยวมันก็กลับมาเองแหละ อาจจะไปเข้าห้องน้ำก็ได้"
พวกเขานั่งรอกันอยู่สักพัก แต่ก็ไม่มีวี่แววว่ากูณฑ์จะกลับมา
"ฉันว่ามันท่าจะไม่ดีแล้วนะ เราไปหากันเถอะ" วาสนาพูดอย่างร้อนรน
วาเรศลุกขึ้น "คุณรออยู่ตรงนี้แหละ เผื่อมันจะกลับมา ผมจะไปบอกให้ประชาสัมพันธ์ประกาศตามหา มันอาจจะหลงทางก็ได้"
วาเรศเดินไปที่ประชาสัมพันธ์และขอให้เธอประกาศตามหาซึ่งเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ก็ทำตาม เธอประกาศซ้ำสองรอบ แต่ก็ไม่มีวี่แววว่ากูณฑ์จะมา
วาเรศเดินตามหาลูกชายอยู่สักพัก พยายามตะโกนหาและถามคนไปทั่ว แต่ก็ไม่มีใครเห็นลูกของเขาเลย เขาเริ่มร้อนรนขึ้นมา ในที่สุดเขาก็ไปขอให้เจ้าหน้าที่ช่วยตามหา
"คุณแน่ใจหรือเปล่าครับว่าลูกคุณขึ้นจากน้ำแล้ว" เจ้าหน้าที่ถาม
"ก็เขาบอกว่าขึ้นแล้วนี่"
"คุณเห็นกับตาหรือเปล่าครับ" เจ้าหน้าที่ถามย้ำ
พอเจอคำถามแบบนี้วาเรศก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน เขาจำได้ว่าเมื่อ บานาน่าโบ๊ทคว่ำ เขากับกูณฑ์อยู่ใกล้ ๆ กัน เด็กหนุ่มลอยตัวอยู่ในท่าคล้าย ๆ กับแมงกะพรุนเพียงแต่ไม่ได้ก้มหน้าไปในน้ำเท่านั้น แล้วกูณฑ์ก็บอกว่าเขาจะขึ้นบก ไปอาบน้ำ ล้างตัว วาเรศจำได้ว่าเขาพยักหน้าตอบ แต่หากถามว่าเขาเห็นกูณฑ์ขึ้นบกไปจริง ๆ หรือเปล่า เขาก็ต้องตอบว่าไม่
"ผมไม่แน่ใจ" วาเรศอ้อมแอ้ม
"งั้นเดี๋ยวเราต้องหาทางน้ำด้วย อ่างเก็บน้ำของเรากว้างมาก บางทีเขาอาจจะอยู่ในน้ำก็ได้"
"คุณคงไม่คิดว่าเขาจมน้ำหรอกนะ" วาเรศถามอย่างร้อนรน
เจ้าหน้าที่ยิ้มอย่างเมตตา "ผมไม่คิดยังงั้นหรอกครับ ลูกคุณใส่เสื้อชูชีพไม่ใช่เหรอ"
"เขาใส่" วาเรศว่า
"งั้นคงไม่เป็นไรหรอกครับ ใจเย็น ๆ ก่อน
ใจเย็น จะให้วาเรศใจเย็นอยู่ได้ยังไง ลูกชายเขาทั้งคนนะที่หายไป
ฝ่ายเจ้าหน้าที่ก็คงเข้าใจและเห็นใจคนเป็นพ่อ เพราะเขารีบหยิบวิทยุขึ้นมาเรียกกำลังเสริม
"ว.1 เรียกทุกคน ตอนนี้มีเด็กคนหนึ่งหายไป กรุณามาช่วยกันค้นหา ด่วน!" เขาหันมาทางวาเรศก่อนจะถามว่า "คุณเห็นลูกครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ครับ"
วาเรศชี้นิ้วไปกลางน้ำ "อยู่แถวกลางน้ำนั่นแหละ ที่เรือบานาน่าโบ๊ทชอบไปคว่ำ"
เจ้าหน้าที่พูดวิทยุต่อ "พ่อเด็กแจ้งว่าเห็นเด็กครั้งสุดท้ายตอนเรือบานาน่าโบ๊ทคว่ำ อ๋อ เดี๋ยวถามให้" เขาหันมาทางคุณพ่อผู้ร้อนรนอีกครั้ง "เขาใส่เสื้อสีอะไร"
ให้ตาย สมองของวาเรศเหมือนจะหยุดทำงานไปเสียเฉย ๆ เขาดันจำไม่ได้ว่าลูกตัวเองใส่เสื้อสีอะไร เขาเป็นพ่อประสาอะไรกัน ลูกหายไปไหนก็ไม่รู้ ลูกใส่เสื้อสีอะไรก็จำไม่ได้
"ว่ายังไงครับ" เจ้าหน้าที่ถามซ้ำเมื่อเห็นวาเรศไม่ตอบ
"ผมจำไม่ได้" วาเรศเอามือกุมหัว "ผมคิดไม่ออก"
"ใจเย็น ๆ ครับ แล้วลูกคุณมีตำหนิหรือจุดเด่นอะไรไหมครับ"
"เขามีผมสีแดง" วาเรศว่า "แล้วก็ทำผมตั้ง ๆ ขึ้นไปเหมือนกองไฟเลย ผมเขาเด่นมาก"
เจ้าหน้าที่แจ้งข้อมูลกลับไปทางวิทยุ
วาเรศรู้สึกเหมือนรอเป็นชั่วโมง กว่าเจ้าหน้าที่ที่เหลือจะมา แถมพวกนั้นก็ดูเหมือนเดินทอดน่องกันตามสบาย ไม่ได้ร้อนใจเลยว่าลูกชายเขาเหมือนจะหายไปจากแผนที่โลก แม้ว่าวาเรศจะรู้สึกอย่างนั้น แต่ความจริงเขารอไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ เจ้าหน้าที่ทุกคนต่างก็เร่งฝีเท้าอย่างเต็มที่ ความร้อนใจของวาเรศทำให้เขาคิดไปเองว่าเจ้าหน้าที่จงใจถ่วงเวลา
เจ้าหน้าที่ระดมกำลังค้นหาอย่างเต็มที่ วาเรศก็ตะโกนเรียกชื่อลูกชายเขาจนเสียงแหบเสียงแห้ง เขามัวแต่กังวลเรื่องลูกชายจนลืมภรรยาที่กำลังเป็นทุกข์ไม่แพ้กันเสียสนิท
"ใครมันโทรมาตอนนี้วะ" วาเรศสบถเมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
เขากดรับสายและพูดห้วน ๆ "ฮัลโหล ใคร มีอะไร"
"ทำไมคุณไปนานนัก" วาสนาถามมายังร้อนรน "ตกลงกูณฑ์ไปอยู่ไหน"
วาเรศไม่รู้จะตอบยังไงดี เขาไม่อยากโกหก แต่ถ้าพูดความจริงไปวาสนาจะกลุ้มเสียเปล่า ๆ
"ว่ายังไง" วาสนาถามซ้ำ
"ผมยังหากูณฑ์ไม่เจอเหมือนกัน" วาเรศตอบแบ่งรับแบ่งสู้ "คุณไปอาบน้ำให้สบายใจก่อนเถอะ" เขาเบี่ยงความสนใจของเธอไปทางอื่น
"ลูกหายไปไหนก็ไม่รู้ ใครจะมีอารมณ์ไปอาบน้ำได้" วาสนาแหว เธอกดวางสายไปโดนไม่ได้บอกลา
"มาทางนี้กันหน่อยครับ" เจ้าหน้าที่คนหนึ่งโบกไม้โบกมือเรียก
ทุกคนรวมทั้งวาเรศเดินไปตามเสียงเรียก เจ้าหน้าที่ที่เรียกมาหยิบเสื้อชูชีพที่เปียกน้ำมาให้พวกเขาดู
วาเรศหัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม เขาไม่อยากคิดเลยว่าเกิดอะไรขึ้น
"ลูกคุณใส่เสื้อตัวนี้หรือเปล่าครับ" เจ้าหน้าที่ถาม
วาเรศหลับตาและส่ายหน้า เสื้อชูชีพก็เหมือน ๆ กันไปหมด ใครจะไปจำได้ว่าลูกตัวเองใส่เสื้อตัวไหน เขาได้แต่ภาวนาว่าขออย่าให้เสื้อตัวนี้หลุดออกขณะที่กูณฑ์ยังอยู่ในน้ำเลย แม้ว่ากูณฑ์จะว่ายน้ำเก่งแค่ไหน ก็เฉพาะในสระน้ำที่มีการวอร์มร่างกายก่อนลงสระ อีกทั้งใส่ชุดว่ายน้ำที่บางเบา เหมาะสมสำหรับการว่ายน้ำหรอก จะเอามาเปรียบเทียบกับการว่ายน้ำในชุดหนา ๆ หนัก ๆ อย่างนี้ได้อย่างไร
"นายเจอดสื้อชูชีพตัวนี้ตรงไหน" เจ้าหน้าที่ที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้าถาม
"มันลอยมาติดฝั่งตรงนั้นน่ะครับ" เจ้าหน้าที่ที่เจอเสื้อชูชีพชี้บอก
หัวหน้าเจ้าหน้าที่ยกมือขึ้นลูบจมูกตัวเอง เขาหันทางมาทางวาเรศก่อนจะพูดด้วยเสียงแปร่ง ๆ ว่า
"ผมขอแสดงความเสียใจด้วย ทางอ่างเก็บน้ำจะชดใช้คุณแน่นอน"
วาเรศสติหลุด "คุณพูดบ้าอะไรของคุณ ลูกผมยังไม่ตาย อย่าพูดอะไรไม่เป็นมงคลอย่างนี้อีก"
เจ้าหน้าที่ได้แต่มองหน้ากัน พวกเขามั่นใจเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าไม่มีเด็กหนุ่มที่ชื่อกูณฑ์อยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว แต่ก็ไม่อยากตอกย้ำพ่อผู้กำลังสูญเสีย