วันเดินทางมาถึงแล้ว วันนี้กูณฑ์ใส่ชุดเดินป่าทะมัดทะแมง เขารู้สึกโก้อยู่ไม่หยอก ขณะที่เคียวก็ยังอยู่ในชุดเดิมของตัวเอง
"เราจะไปนอนแคมป์กันนะ" กูณฑ์ทัก "ใส่ชุดแบบนี้ไม่หนาวเหรอ" เขามองสำรวจชุดกิโมโนบางเบาของเคียว
เคียวหัวเราะ "นายลืมไปหรือเปล่าว่าฉันไม่ใช่คนนะ"
กูณฑ์เสหน้าไปทางอื่นอย่างเก้อ ๆ นึกเจ็บใจที่พลาดท่าทำให้เจ้าผีหัวเราะเอา
ในที่สุดพวกเขาก็มานั่งกันในรถ วาเรศเปิดจีพีเอสก่อนจะขับรถตรงไปยังจุดหมาย
"จะนอนเสียหน่อยก็ได้" คนขับบอก "อีกตั้งหลายชั่วโมงกว่าจะถึง"
กูณฑ์เห็นด้วยอย่างยิ่ง เมื่อคืนความตื่นเต้นทำเอาเขานอนไม่หลับ ไม่ใช่ความตื่นเต้นของเขาหรอก แต่ของผีร่วมห้องที่เอาแต่บ่นอะไรพึมพำ ๆ อยู่นั่นแหละ พอกูณฑ์ดุทีก็เงียบไปที
กูณฑ์เอาหัวพิงขอบหน้าต่างรถ เตรียมจะหลับ แต่เคียวสะกิดเขา
"อย่าเพิ่งหลับสิ อยู่คุยเป็นเพื่อนกันก่อน"
กูณฑ์แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน หน็อย เมื่อคืนก็กวนจนเขาไม่ได้หลับได้นอน จะนอนในรถก็ยังมากวนอีก
เคียวยังไม่ยอมแพ้ เขากระซิบดัง ๆ ข้างหูกูณฑ์ "ตื่น ตื่น ตื่น"
กูณฑ์ทนไม่ไหวอีกต่อไป
"เว้ย คนจะหลับจะนอน อะไรกันนักหนา"
พ่อกับแม่ผู้กำลังปรึกษากันว่าจะไปกินข้าวที่ไหนดีชะงัก พ่อพูดเก้อ ๆ ขึ้นมาว่า
"พ่อเสียงดังไปเหรอลูก"
กูณฑ์ปฏิเสธว่าไม่ใช่ เขาแค่ฝันร้ายไปเท่านั้น ก่อนจะจ้องเคียวอย่างเอาเรื่อง แต่ผีก็ทำหน้านิ่ง ไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไร
วาสนาเอาหลังมือแตะหน้าผากลูก "เอ! ตัวก็ไม่ร้อนนี่ แต่เอายาไปกินดักไว้ดีกว่า ขืนไม่สบายจะหมดสนุกเอา" เธอกระวีกระวาดหยิบยาพาราให้
"แม่เอายาพารามาด้วยเหรอ เหลือเชื่อเลย" กูณฑ์อุทานพลางมองกระเป๋าถือใบเล็กที่แม่พกมาด้วย ใส่อะไรมาบ้างเนี่ย
"อย่าว่าแต่พาราเลย" แม่พูดหน้าตาย "ยาดม ยาหม่อง แม้กระทั่งยาแก้แพ้ก็เอามาหมดแหละ"
"เราไม่มีใครแพ้อะไรสักหน่อย จะเอายาแก้แพ้มาทำไม" กูณฑ์ท้วง
วาสนาส่ายหน้า "นี่แหละน้า พ่อลูกเหมือนกันไม่มีผิด ถ้ามากันแค่สองคน มีหวังแย่ อยู่ในเมือง เราไม่แพ้อะไรก็จริงอยู่ แต่เข้าป่ามีแมลงอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะยั้วเยี้ย ขืนไปเจอตัวที่เราแพ้มันเข้ากว่าจะมาส่งโรงพยาบาลมีหวังไม่ทัน"
วาเรศหัวเราะหึ ๆ มาจากที่นั่งคนขับ "แม่ของลูกเตรียมอะไรมาเยอะแยะพอที่จะตั้งวังกลางป่าได้เลย"
วาสนาค้อนสามี "พูดมากจริง ขับรถไปเฉย ๆ น่ะดีแล้ว"
"คร้าบบ" วาเรศรับคำแบบกวนประสาท แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก
"กินพาราได้แล้ว" วาสนาพูดกับลูก
กูณฑ์กินพาราตามที่แม่สั่ง นึกเจ็บใจที่ตัวเองต้องมากินยาทั้ง ๆ ที่ไม่เป็นอะไรเลย
"เพราะนายคนเดียว" กูณฑ์พูดเสียงลอดไรฟันกับผี
"เกี่ยวอะไรกับฉัน" เคียวทำเป็นไม่รู้เรื่อง "นายโวยวายเองนี่"
"ก็ถ้านายไม่…" กูณฑ์พูดเสียงดังขึ้น แต่เคียวจุปากให้เงียบ ก่อนจะชี้ไปทางวาสนาที่กำลังหลับอยู่
"นายคงไม่อยากถูกยัดยาอีกรอบหรอกนะ" เคียวพูด
กูณฑ์ลดเสียงต่ำลง น่าหงุดหงิดจริง ๆ ที่ต้องมาทะเลาะกันแบบเบา ๆ เขาอยากจะตะโกนระบายอารมณ์ความรู้สึก แต่ก็รู้ว่าไม่มีประโยชน์ ขืนพ่อกับแม่ได้ยินเขาตะโกนอีกรอบแทนที่จะได้ไปเที่ยวกลัวจะแวะเข้าโรงพยาบาลโรคประสาทเสียก่อน
"แล้วนายมาปลุกฉันตอนกำลังนอนทำไมล่ะ"
"คนเรามีเวลานอนอีกมากในหลุมฝังศพ" ผีพูดสำนวนที่คนแก่ชอบพูดกัน
"ก็ฉันไม่อยากนอนในหลุม ฉันอยากนอนตอนนี้" กูณฑ์เถียงกลับ เขาอยากโต้ตอบด้วยประโยคนี้มานานแล้ว แต่ปกติคนที่พูดกับเขาก็เป็นญาติผู้ใหญ่ เขาจึงไม่อยากเถียงให้ดูไร้มารยาท เดี๋ยวจะหาว่าไม่เคารพผู้หลักผู้ใหญ่ แต่เคียวเป็นเด็กวัยเดียวกับเขา เพราะฉะนั้นไม่เป็นไร ถึงความจริงถ้าเคียวมีชีวิตอยู่ก็เป็นรุ่นปู่เขาได้ แต่กูณฑ์จะไม่นับเรื่องนั้นก็แล้วกัน
"นายจะอยู่คุยกับฉันหน่อยไม่ได้เหรอ" เคียวอ้อน "พอไปถึงที่นั่น เราอาจจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วนะ"
"นายหมายความว่าไง" กูณฑ์พูดอย่างร้อนรน "นายจะไปไหน"
เคียวมองหน้าเขาเศร้า ๆ "หลวงปู่บอกให้ไปที่นั่น บอกว่าจะได้คำตอบ นายไม่คิดว่าที่นั่นจะเป็นทางไปเกิดใหม่ของฉันบ้างเหรอ"
กูณฑ์ชะงัก เขาคิดเรื่องนี้มาบ้างเหมือนกัน ยังภาวนาอยู่เลยว่าถ้าผีนี่ไปไกล ๆ ก็คงดี แต่พอเจอความจริงตอกหน้าเข้ามาแบบนี้ก็รู้สึกใจหายไม่น้อยเหมือนกัน ก็อย่างว่า พวกเขาตัวติดกันทั้งกลางวันกลางคืน หัวใจกูณฑ์ก็ไม่ได้ทำมาจากหินถึงจะไม่รู้สึกอะไรเลย
"แล้วนายจะไปเกิดเป็นอะไร" กูณฑ์ถาม
เคียวหัวเราะ "ก็คงแล้วแต่เวรกรรมแหละ"
"แล้วเราจะได้เจอกันอีกไหม" กูณฑ์ถาม
"ก็แล้วแต่เวรกรรมอีก"
กูณฑ์ถอนหายใจ เหม่อมองไปนอกหน้าต่าง ก่อนหน้านี้เขาอยากให้ผีน่ารำคาญตนนี้ไปให้พ้นหน้าพ้นตา แต่ตอนนี้เขาอยากอยู่กับเคียวต่อไปเรื่อย ๆ
"เป็นอะไรไป" วาสนาผู้ซึ่งเพิ่งตื่นขึ้นมาถามลูก "หงอยเชียว"
"ผมหิวครับ" กูณฑ์พูดปดขณะที่ไขว้นิ้วไว้ด้วยจะได้ไม่บาป ไม่รู้ความเชื่อนี้มาจากไหน แต่ทำแล้วก็สบายใจดี
"อีกไม่นานก็ถึงจุดพักกินข้าวแล้ว" วาเรศว่า "ร้านนี้ดังซะด้วย"
"ทำไมถึงดังครับ พ่อ" กูณฑ์ถาม หวังให้พ่อเล่นมุกเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศ
กูณฑ์ไม่ผิดหวังเพราะพ่อตบมุกกลับมาทันที "ดังเพราะมีระเบิดหน้าร้าน"
กูณฑ์หัวเราะ ขณะที่แม่ส่ายหน้า บ่นพึมพำ "พ่อลูกคู่นี้"
"โทรไปสั่งอาหารไว้ก่อนดีไหม พ่อ" กูณฑ์ว่า "ถึงร้านจะได้กินได้เลย"
"ความคิดดี" วาเรศเห็นด้วย "ลูกโทรสิ" แล้วเขาก็บอกเบอร์ให้
เด็กหนุ่มหยิบมือถือขึ้นมาโทร เคียวมองอย่างสนใจ
"ดีจังนะ สมัยฉันไม่มีอะไรแบบนี้หรอก"
กูณฑ์จุปากให้เงียบเพื่อไม่ให้เสียงดังเข้าไปรบกวน ลืมไปเสียสนิทว่าไม่มีใครได้ยินเคียวนอกจากเขาอยู่แล้ว
"สวัสดีค่ะ ร้านจานโอชะค่ะ"
"สวัสดีครับ" กูณฑ์ว่า "ตอนนี้ร้านเปิดไหมครับ"
"เปิดค่ะ คุณลูกค้ามากที่ท่านคะ จะจองโต๊ะไว้เลยไหม"
"สามครับ จองไว้เลยครับ"
"อยากได้โต๊ะในห้องแอร์หรือข้างนอกคะ"
"แป๊บนะครับ" กูณฑ์เอามือถือออกจากหู ก่อนจะถามพ่อแม่ด้วยคำถามเดียวกับที่พนักงานถาม
"ข้างนอกก็ได้มั้ง" วาเรศว่า ตวัดสายตามองออกไปที่หน้าต่างแวบหนึ่ง "อากาศไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่"
"ห้องแอร์ไม่ดีกว่าเหรอ" วาสนาท้วง "เราอยู่ในรถก็เลยว่าไม่ร้อน ไปถึงนั่นแดดอาจจะเปรี้ยงเลยก็ได้นะ เดี๋ยวก็เป็นมะเร็งกันพอดี"
"ผู้หญิงนี่นะ" วาเรศบ่นอย่างระอา "กลัวแดดนักจะมาเที่ยวสมบุกสมบันทำไมก็ไม่รู้"
"พูดให้มันดี ๆ หน่อยนะ" วาสนาแหว "มะเร็งน่ะมันไม่เลือกเพศหรอกนะ"
"ผิวบางนักทำไมไม่นอนอยู่บ้าน"
ก่อนที่วาสนาจะทันพูดอะไร ลูกชายของเธอก็ห้ามไว้เสียก่อน
"พอเถอะครับ ผมคุยโทรศัพท์อยู่นะ"
ทั้งคู่คิดขึ้นได้จึงไม่พูดอะไรอีก ได้แต่ทำปากมุบมิบเท่านั้น ให้ตายสิ ทะเลาะกันตั้งแต่หัววันเชียว ท่าทางจะฤกษ์ไม่ดีแล้วมั้ง
"ขอโทษที่ให้รอนานนะครับ อยากทราบข้อมูลว่าข้างนอกแดดร้อนไหมครับ" กูณฑ์ถามพลางกดเปิดลำโพงให้พ่อกับแม่ได้ยินคำตอบด้วย
"ไม่ร้อนเลยค่ะ" พนักงานตอบกลับมาอย่างฉะฉาน "อยู่ใต้ร่มไม้ ลมพัดเย็นสบาย บรรยากาศดี แสงสวยเหมาะแก่การถ่ายรูป"
"ถ่ายรูปสวยด้วยเหรอ งั้นเอาข้างนอกดีกว่า" วาสนาเปลี่ยนใจ
วาเรศส่ายหน้า แต่ก็ไม่พูดอะไรให้เสียบรรยากาศอีก
"ข้างนอกครับ" กูณฑ์บอกข้อมูลต่อให้พนักงาน เพราะไม่แน่ใจว่าพนักงานจะได้ยินที่แม่พูดหรือไม่
"ข้างนอก สามท่านนะคะ" พนักงานทวน
"ถามเขาสิว่าสั่งอาหารไว้ได้เลยหรือเปล่า" วาสนาบอกลูกชาย
"เอ่อ สั่งอาหารไว้ได้เลยไหมครับ"
"สักครู่นะคะ"
กูณฑ์ได้ยินเสียงอะไรกุกกักจากปลายสาย เหมือนกับอีกฝ่ายกำลังค้นหาอะไรอยู่ เขารออย่างอดทน ไม่ได้พูดอะไรเป็นการเร่ง แม้ว่าจะกังวลกับยอดค่าโทรที่พุ่งสูงขึ้นไปทุกนาทีที่รอ
"สั่งได้เลยค่ะ"
"มีเมนูแนะนำอะไรบ้างครับ"
พนักงานบอกเมนูแนะนำอย่างฉะฉาน กูณฑ์กับพ่อแม่ปรึกษากันอยู่สักพัก ก่อนจะได้เมนูที่ทุกคนพอใจ
"ขอทวนรายการนะคะ เป็นคะน้าผัดน้ำมันหอย ต้มยำปลาคัง รสจัดและปลาหมึกผัดไข่เค็มนะคะ"
"ใช่ครับ อ๋อ แล้วขอข้าวโถหนึ่งด้วยครับ" กูณฑ์ว่า
"เพิ่มข้าวโถหนึ่งนะคะ แล้วเครื่องดื่มจะรับเป็นอะไรดีคะ"
"ผมเอาน้ำเปล่าครับ" กูณฑ์หันไปถามพ่อกับแม่ "พ่อแม่จะเอาน้ำอะไรครับ"
"พ่อเอาโคล่า"
"แม่เอาน้ำเปล่าแล้วกัน"
"เอาเป็นน้ำแข็งเปล่าสามแก้ว น้ำเปล่าหนึ่งขวด น้ำโคล่าหนึ่งขวดครับ"
"ค่ะ"
"ขอบคุณครับ" กูณฑ์กดวางสาย
"เดี๋ยวก็จะถึงแล้ว" วาเรศว่า ยังไม่ทันขาดคำพวกเขาก็เลี้ยวเข้าร้าน
กูณฑ์รีบลงจากรถ รีบวิ่งเข้าไปในร้าน เขาหิวจะตายอยู่แล้ว
วาเรศกับวาสนาส่ายหน้า ก่อนจะก้าวเท้าตามลูกไป ทิ้งให้ผีที่ไม่มีใครมองเห็นบ่นพึมพำอยู่คนเดียว
"หนังสือก็ไม่ยอมเอาเข้าไปด้วย พลังฉันแทบจะหมดแล้วนะ"
แน่นอนว่ามาเที่ยวแบบนี้ กูณฑ์ต้องเอาหนังสือยัดใส่กระเป๋าเดินทาง ไม่ได้พกติดตัวไว้ ตอนหนังสืออยู่ท้ายรถ เคียวอยู่ในรถก็พอสูบพลังงานได้อยู่หรอก แต่ตอนนี้พลังงานเขาแทบหมดอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจไม่เข้าไปในร้าน แต่ยืนพิงท้ายรถเพื่อสูบพลังงานจากหนังสือแทน ร้านอาหารให้พลังงานมนุษย์ แต่ภูตหนังสืออย่างเขา ได้พลังงานจากหนังสือ