"ลูกจะเอาหนังสือไปวัดด้วยเหรอ" วาสนาถาม เธออุตส่าห์จะพาลูกไปผ่อนคลายสมอง แต่ลูกก็ยังยืนยันจะเอาหนังสือเล่มนี้ไปอีก
"ก็เผื่อไว้อ่านตอนรถติดไงครับ" กูณฑ์ตอบ
"เราไปทางเลี่ยงเมือง รถไม่ติดหรอก ลูก" วาเรศว่า "เอาหนังสือไว้ที่บ้านเถอะ แบกไปก็ไม่ได้อ่านหรอก"
"นายต้องพาฉันไปให้ได้นะ" เคียวกระซิบที่หูของกูณฑ์อย่างร้อนรน ความจริงเขาไม่จำเป็นต้องกระซิบหรอก ไม่มีใครได้ยินเขานอกจากกูณฑ์อยู่แล้ว
กูณฑ์เม้มปาก ต่อให้ผีไม่บอก เขาก็ต้องพาเคียวไปด้วยอยู่แล้ว จุดประสงค์ที่เขาอยากไปสำนักหมอผีหรือวัดตั้งแต่แรกก็เพื่อช่วยปลดปล่อยดวงวิญญาณของเคียวให้ไปสู่สุคติ
"ให้ผมเอามันไปด้วยเถอะครับ ผมจะถือเอง ไม่ทำให้พ่อกับแม่เดือดร้อนแน่" กูณฑ์ว่าพลางส่งสายตาอ้อนวอน
พ่อกับแม่มองหน้ากันแล้วถอนหายใจ แต่ทั้งคู่ก็ไม่อยากให้บรรยากาศอบอุ่นนี้หายไปเพราะเรื่องไร้สาระจึงตัดสินใจไม่พูดอะไร
บรรยากาศในวัดยังสงบร่มรื่นเหมือนครั้งก่อนที่กูณฑ์มา กูณฑ์กับพ่อแม่เข้าไปกราบหลวงปู่ที่วัด กุฏิท่านเป็นกุฏิเล็ก ๆ มีของใช้ตามสมควรแก่อัตภาพ
"นมัสการครับ/ค่ะ" พ่อแม่ลูกพูดพร้อมกัน
"เจริญพร โยม" หลวงปู่ตอบ ยิ้มน้อย ๆ กูณฑ์ชอบรอยยิ้มของหลวงปู่เสมอ มันดูจริงใจ ไม่มีพิษมีภัย ต่างจากรอยยิ้มการค้าที่เป็นยาเคลือบน้ำตาลในปัจจุบัน
"ผมไม่ได้มาเยี่ยมหลวงพ่อเสียนานเลย หลวงพ่อสบายดีนะครับ" วาเรศถาม
"ก็สบายตามอัตภาพแหละโยม" หลวงปู่ตอบ "แล้วพวกโยมล่ะ"
วาเรศกับภรรยามองหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างไม่อยากพูดเรื่องที่อยู่ในใจตัวเองออกมาด้วยกังวลว่าจะกระทบต่อจิตใจของกูณฑ์ที่หมู่นี้ดูไม่ปกติ แม้กระทั่งตอนนี้เขาก็ยังบ่นพึมพำอะไรคนเดียวอยู่
ฝ่ายกูณฑ์ผู้ไม่ได้สนใจเลยว่าทำให้พ่อแม่เป็นห่วงแค่ไหนกำลังกระซิบพูดกับเคียว
"นี่ปู่ฉัน เขาคงช่วยนายได้นะ" กูณฑ์สงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมเคียวถึงเข้าวัดได้ ไม่ใช่ว่าวัดจะมีเจ้าที่คอยเฝ้าไม่ให้สัมภเวสีเข้ามาหรอกเหรอ แต่บางทีเจ้าที่ของวัดคงรู้ว่าเคียวไม่เป็นอันตราย ความคิดนี้ทำให้กูณฑ์แช่มชื่นขึ้นไม่น้อย
"ว่าไงล่ะ โยม" พระชราถามย้ำ แต่ไม่ได้มีทีท่าว่าจะโกรธ
"ดิฉันเป็นห่วงลูกน่ะค่ะ" วาสนาตัดสินใจพูด "ช่วงนี้เขาทำตัวแปลก ๆ "
หลวงปู่มองกูณฑ์แวบหนึ่ง ก่อนจะยิ้ม
"อาตมาก็ไม่เห็นว่าเขาผิดปกติตรงไหนนี่"
"ก็ท่านไม่ได้เห็นอย่างที่ฉันเห็นนี่คะ" วาสนาพูดอย่างหงุดหงิดเพราะความเป็นห่วงลูก แต่พอรู้ตัวว่าทำตัวไม่เหมาะสมจึงยกมือไหว้ "ขอโทษจริง ๆ ค่ะ ท่าน ดิฉันลืมตัวไปหน่อย"
"ไม่เป็นไรหรอก โยม แล้วกูณฑ์เขาเป็นอะไรหรือ"
วาสนาเล่าเรื่องทั้งหมดให้หลวงปู่ฟังซึ่งท่านก็ไม่ได้ขัดอะไร เพียงแต่คอยพยักหน้ารับเท่านั้น
"เท่าที่โยมว่ากูณฑ์เขาหันมาตั้งใจเรียนขึ้น มันก็น่าจะดีแล้วนี่นา"
"ดิฉันก็ดีใจอยู่หรอกค่ะที่เขาตั้งใจเรียน แต่เรื่องที่เขาชอบพูดคนเดียวนี่สิคะที่ดิฉันเป็นห่วง"
"บางทีกูณฑ์อาจจะติวหนังสือแบบใหม่อยู่ก็ได้ ใช่ไหม กูณฑ์" หลวงปู่หันมาคุยกับกูณฑ์
กูณฑ์สังเกตเห็นว่าหลวงปู่ใช้คำว่าติวแทนที่จะเป็นท่องหนังสือ บางทีอาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ แต่กูณฑ์มีความรู้สึกว่าท่านทราบอะไรบางอย่าง
"ใช่ครับ" กูณฑ์ว่า เขาปลอบใจตัวเองว่าไม่ได้โกหกหลวงปู่ เขาติวหนังสือกับเคียวอยู่จริง ๆ
"งั้นก็ไม่เป็นไรหรอก" หลวงปู่สรุป แต่เมื่อเห็นลูกชายและลูกสะใภ้ยังมีทีท่าไม่สบายใจจึงพูดเสริมว่า "ถ้าโยมกังวล ก็ลองพากูณฑ์ไปหาหมอดูสิ"
"หมอผีเหรอครับ" วาเรศถาม ใจคิดไปถึงบทสนทนาของเขากับกูณฑ์เมื่อวันก่อน หรือลูกเขาจะโดนวิญญาณอาฆาตตามติดจริง ๆ ขนาดหลวงพ่อยังออกปาก
พระชราส่ายหน้า "อาตมาหมายถึงจิตแพทย์ ถ้ากูณฑ์มีพฤติกรรมที่แปลกไป อาจจะเป็นเพราะเครียดก็ได้ กำลังจะสอบเข้ามัธยมปลายไม่ใช่หรือ"
"แต่หนูไม่เคยกดดันอะไรลูกนะคะ" วาสนารีบพูดด้วยเกรงว่าหลวงปู่จะเข้าใจผิด
"อาตมาไม่ได้ว่าโยมกดดันอะไรลูก แต่ใจมนุษย์นี่ยากแท้หยั่งถึงนะ โยม" หลวงปู่ว่า "แต่ถ้าโยมยังไม่อยากไปก็ลองพาไปเที่ยวผ่อนคลายกันก็ได้"
"แล้วไปเที่ยวไหนดีล่ะครับ หลวงพ่อ" วาเรศถาม
"โยมก็ต้องเลือกสถานที่ที่โยมชอบสิ จะมาให้อาตมาเลือกให้ได้ยังไง แต่ถ้าจะให้อาตมาแนะนำอาตมาว่าลองไปเที่ยวแบบธรรมชาติ พวกเข้าป่าอะไรพวกนี้ น่าจะดีนะ บางทีโยมอาจจะได้คำตอบที่กำลังตามหาอยู่ก็ได้" หลวงปู่หันมาสบตากูณฑ์ แต่กูณฑ์กลับรู้สึกว่าท่ารไม่ได้มองเขา แต่มองเคียวที่อยู่ข้างหลังเขาต่างหาก
หลังจากครอบครัวภูเขี้ยวออกมา พวกเขาก็รู้สึกโล่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
"ความจริงหลวงพ่อก็พูดถูกนะคะ เราไม่ได้ไปเที่ยวไกล ๆ กันมานานแล้ว" วาสนาพูดขณะที่วาเรศกำลังขับรถกลับบ้าน
"ก็จริง" วาเรศว่า "ตั้งแต่ผมได้เลื่อนตำแหน่ง ผมก็ไม่ค่อยมีเวลาให้ครอบครัวเท่าไหร่ ว่าแต่จะไปไหนกันดีล่ะ"
"ก็ต้องถามเจ้ากูณฑ์แหละ ว่าไง อยากไปเที่ยวไหน"
เคียวกระซิบใส่หูกูณฑ์ "บอกไปว่าอยากไปภูซับเหล็ก"
กูณฑ์พูดไปตามที่ผีบอก แม้ว่าตัวเขาเองจะไม่รู้จักสถานที่นั้นเลยก็ตาม ว่าแต่เขายังไม่รู้จัก เจ้าผีนี่ไปเอาชื่อนี้มาจากไหน
"ที่ไหนนะ" วาเรศถามย้ำ
"ภูซับเหล็กครับ" กูณฑ์ยืนยัน
"แม่ไม่เห็นจะเคยได้ยิน" วาสนาว่า "ไปเที่ยวพวกม่อนแจ่มไม่ดีกว่าเหรอลูก"
กูณฑ์มองเคียวเป็นเชิงถามซึ่งผีก็เอาแต่ส่ายหน้าลูกเดียว
"ผมอยากไปภูซับเหล็กจริง ๆ ครับแม่" กูณฑ์ยืนยัน
"งั้นเดี๋ยวพ่อขอหาข้อมูลก่อนละกัน เดือนหน้าพ่อลาพักร้อน จะได้ไปเที่ยวด้วยกัน"
เมื่อพวกเขากลับมาถึงบ้าน กูณฑ์ก็คาดคั้นเคียวทันที
"ทำไมต้องไปภูซับเหล็กด้วย มันมีอะไร แล้วมันอยู่ไหน"
"ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน" เคียวตอบเอาง่าย ๆ
"แล้วทำไม.."
"ก็หลวงปู่สุกท่านบอกให้ฉันไปภูทับเหล็กแล้วจะได้คำตอบ"
"อย่ามาโกหก หลวงปู่ท่านไม่ได้พูดอะไรกับนายสักคำ" แล้วกูณฑ์ก็คิดขึ้นได้ "นายรู้ได้ยังไงว่าท่านชื่อสุก" เท่าที่จำได้เขาไม่เคยบอกชื่อหลวงปู่กับเคียวเลย และก็ไม่มีใครเอ่ยชื่อหลวงปู่ด้วย
"ก็ท่านบอกฉันน่ะสิ" เคียวว่า
กูณฑ์ใช้นิ้วชี้แหย่เข้าไปในรูหูตัวเองก่อนเอาออกมาดู
"ขี้หูก็ยังไม่เยอะนี่หว่า" เขาบ่นพึมพำกับตัวเอง ถ้าหลวงปู่กับเคียวคุยกันจริง ทำไมเขาไม่ได้ยินอะไรสักคำเลยล่ะ
"สกปรกจริง" เคียวว่าพลางย่นจมูก "นายไม่ได้ยินอะไรก็ไม่แปลกหรอก ท่านสื่อสารกับฉันผ่านทางจิต"
"ยังไง" กูณฑ์ถามอย่างสนใจ
อยู่ ๆ กูณฑ์ก็ได้ยินเสียงในหัวของเขา
'ก็ไม่ต้องพูดกัน สนทนาผ่านทางจิตไง"
"นายทำแบบนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่" กูณฑ์ถาม
ผียักไหล่ "ก็ไม่รู้เหมือนกัน"
"งั้นต่อไปนี้ ฉันก็ไม่ต้องดูเป็นคนบ้าแล้วสิ" กูณฑ์ว่า เขารู้ว่าผู้คนเริ่มมองเขาแปลก ๆ เพราะเขาคุยกับเคียว ก็ใครจะไม่มองกันเล่าก็เล่นพูดคนเดียว แต่สนทนาโต้ตอบเหมือนกับมีคนคุยด้วยเสียอย่างนั้น ก็คิดจะแก้ปัญหาด้วยการใส่หูฟังอยู่หรอก แต่ใส่ทีไรก็ปวดหูทุกที
"ก็อาจจะอย่างนั้น" เคียวว่า "นายลองส่งข้อความมาหาฉันทางจิตสิ"
"ทำยังไง"
"รวบรวมสมาธิ คิดถึงคนที่นายจะคุยด้วย แล้วก็พูด" เคียวอธิบาย
กูณฑ์รวบรวมสมาธิ พยายามส่งโทรจิตไปหาเคียว
'นายได้ยินฉันไหม'
แต่เคียวก็ไม่ได้มีทีท่าอะไร
กูณฑ์รวบรวมสมาธิ เขาหลับตา เม้มปาก พยายามส่งพลังไปในถ้อยคำให้มากขึ้น
'นายได้ยินฉันไหม'
"นายส่งมาหรือยัง" เคียวถาม ท่าทางหมดความอดทน
"ฉันพยายามอยู่" กูณฑ์ว่า หน้าเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง ทำไมถึงทำไม่ได้สักทีนะ
"นายต้องทำจิตให้นิ่ง เป็นสมาธิ" เคียวว่า
"เงียบสักทีเถอะน่า" กูณฑ์ว่าอย่างหงุดหงิด "ยิ่งมาพูดอยู่ข้างหู ยิ่งไม่มีสมาธิเข้าไปใหญ่"
ผ่านไปประมาณสิบนาที กูณฑ์ก็ต้องยอมแพ้ เขาไม่สามารถส่งข้อความใด ๆ ไปถึงเคียวได้เลย
"ทำไมเป็นยังงี้เนี่ย" กูณฑ์พูดอย่างหงุดหงิด "นายส่งมาให้ฉันได้ ทำไมฉันส่งกลับไปไม่ได้ล่ะ"
"การรับกับการส่งมันไม่เหมือนกันสักหน่อย" เคียวปลอบ
"รับได้อย่างเดียวจะมีประโยชน์อะไร ไม่มีใครได้ยินที่นายพูดอยู่แล้ว"
"ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม"
"ฉันอยากส่งโทรจิตคุยกับนาย ไม่ได้อยากได้พร้า"
"พักก่อนเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยฝึกใหม่"
กูณฑ์ไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่รู้ว่าฝืนไปก็ไม่มีประโยชน์ ตาเขาจะปิดอยู่แล้ว เขาเดินสะโหลสะเหลเข้าไปอาบน้ำ แปรงฟัน ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียง ไม่นานเขาก็หลับไปเพราะความอ่อนเพลีย