Baixar aplicativo
100% แดนสุวรรณบรรลัย / Chapter 8: บทที่ 8 ย่านวังบุริมชิมสุข(5)

Capítulo 8: บทที่ 8 ย่านวังบุริมชิมสุข(5)

"เจ้า ตาเฒ่า"

ภาพฉากต่อหน้าผู้มาเยือน คือห้องกว้างสีขาวที่กำลังถูกไฟเผาเป็นเถ้าถ่าน ประดับประดาด้วยตุ๊กตาเด็กสาวจำนวนมากรอบข้าง ตู้นาฬิกาขนาดใหญ่ที่ลูกตุ้มยังเหวี่ยงไปมา ส่งเสียงให้จังหวะขณะเวลาเดิน กับบัลลังก์ทองประดับผ้าแดงตั้งตระหง่านหลังโต๊ะใหญ่สำหรับใช้วางของ แต่นั่นไม่ใช่อะไรที่เขาจะสนใจแม้แต่น้อย

ณ มุมห้องซึ่งอยู่ไม่ไกลเท่าไรนัก มีตุ๊กตาเด็กสาวผิวขาวนวล กับผมสีทองถักเปียเดี่ยว ในชุดกะโปรงสีขาวอันเรียบราบ กับใบหน้าไร้อารมณ์ดังตุ๊กตา ในชุดกะโปรงสีขาวที่กำลังนั่งทับขา ต่อหน้าร่างไร้วิญญาณของชายชรากับอาวุธในมือ ผู้นอนจมกองเลือดที่ไหลรินของตัวเอง กับชายอีกคนที่กำลังนั่งพิจารณา ซึ่งถือดาบใหญ่ด้ามทองที่มีคราบเลือดแปดเปื้อน 

ชายผู้เหลือรอดภายในห้องนี้ มีใบหน้าที่บ่งบอกว่าอายุไม่ได้น้อยอะไรเท่าไร กับผมสีดำสั้นพอมีสีหงอกปนพอสมควร เขาสวมเกราะลวดลายวิจิตรสีโลหะ ประดับด้วยลวดลายของเสือทั่วร่างกาย ทว่าส่วนที่เด่นชัดสุด คือผ้าคลุมเอวสีแดงอย่างเลือดที่แปดเปื้อใบดาบในมือ พอให้นักฆ่าไร้หน้ารู้ได้ว่านี่คือใคร

เจเนซีผู้ช่วงชิง เจ้าผู้ปกครองย่านวังบุริมชิมสุข

"ไม่มีพ่อแม่คนไหนควรได้เห็นลูกตาย แต่น่าเสียดาย ที่ลูกสาวเจ้าดึงดัน จนนำพาจุดจบของตัวเองกับเจ้ามาถึงจุดนี้"

หลังเจเนซีพร่ำพรรณนากับตุ๊กตาและซากชายชรา ก็สังเกตว่ามีบางอย่างกำลังยืนรออยู่ด้านหลัง กระนั้นก็ยังไม่หันกลับไป เพียงใช้ดาบยันร่างให้ลุกขึ้นมาเท่านั้น

"เอาเถอะ ไม่สำคัญหรอกว่าเจ้าคืออะไรหรือเป็นใคร เพียงแค่ที่ข้าปล่อยให้เจ้าเข้ามาในย่านนี้ ก็ทำให้เสียทหารไปมากมาย กับคฤหาสน์นี้มอดไหม้เป็นฟืนไฟ จนสายเกินจะยับยั้งความพินาศบรรลัย"

เจ้าแห่งคฤหาสน์หันมา เผชิญหน้าแขกผู้มาเยือนในเกราะสีหม่น ที่กระชับดาบใบทองในมือมั่น พร้อมฟาดฟันศัตรูอันหมายมั่นไว้ทันทีที่ได้โอกาส กระนั้นก็ยังไม่ทำอะไร ดังรออีกฝ่ายพร้อมประลองฝีมือ

"ในฐานะเจ้าแห่งย่านวังบุริมชิมสุข ข้า ต้องจัดการเจ้า"

ในที่สุด เจ้าผู้ช่วงชิงวาดดาบหาอัศวินไร้หน้าผู้สวมผ้าคลุม ด้วยสีหน้าท่าทีพร้อมปะทะด้วยทุกสิ่งที่มี

"เข้ามา เผชิญหน้าข้า แล้วยอมรับโทษทัณฑ์อันเป็นความตายเสีย"

ด้วยคำท้าที่ได้มา นักดาบจึงจับอาวุธใหญ่มั่น ไม่ขยับร่างกายไปไหน ยืนนิ่งเตรียมเผชิญเจ้าผู้ช่วงชิง ท่ามกลางเปลวไฟที่แผดเผาในห้องกว้างของคฤหาสน์ กับเสียงสะเก็ดเพลิงและกลิ่นไหม้จากถ่านไม้ กระนั้นในความคิดของสองนักสู้ กลับมีเพียงความเงียบงันและภาพของศัตรูเท่านั้น

อัศวินไร้หน้าขว้างดาบทองใส่เป้าหมายไม่ลังเล เจเนซีจึงเอียงร่างหลบอย่างไม่ยากเย็น พร้อมชูมือซ้ายที่กำไว้ขึ้นมา แล้วเปล่งวาจาออกมาให้ได้ยินเสียงชัดเจน

"ชาลิกา ข้าขอมอบสัตยาว่าจะปกป้อง"

แสงประกายทองเปล่งจากฝ่ามือเจ้า สร้างความสว่างให้ทุกสิ่งในห้องชัดเจนชั่วครู่ ขณะนักดาบผู้มาเยือนชักดาบออกจากปลอกเตรียมพร้อม แล้วเดินผ่านเปลวไฟลุกโชนจากพื้นอย่างไม่รู้สึกอะไร เข้าไปหาศัตรูที่ดูไม่หวาดหวั่นแต่อย่างใด

ผู้ช่วงชิงลงดาบฟันศัตรูอย่างไม่ลังเล นักดาบจึงซัดโล่ปัดออกด้วยความว่องไวที่มี ทว่าการโจมตีต่อไปกลับตามมาเร็วเกินสังเกต ทำให้เขาต้องยกดาบในมือขึ้นรับการโจมตีอันรุนแรงไว้ จนถูกแรงฟันดันกลับไปขณะฝีเท้าไถลตามพื้นไฟ

แม้จะไม่รู้ว่าพลังสีทองที่เปล่งออกมาคืออะไร นักฆ่าไร้หน้าก็รู้ว่านั่นคือแหล่งที่มาของกำลังอันรุนแรงก่อนหน้า ทว่าเขามีเวลาพิจารณาได้ไม่นาน ก่อนเจเนซีวาดดาบเป็นวงกว้าง จึงลดร่างลงให้ไม่สัมผัสการโจมตี ก่อนเห็นว่ามีช่องว่างหลังอีกฝ่ายเหวี่ยงอาวุธด้วยกำลังอันรุนแรง ก็กระชับดาบยาวมั่นเตรียมฟัน

นักฆ่าไร้หน้าโจมตีศัตรูไปมาไม่เว้นจังหวะ กระนั้นเจเนซีกลับตั้งรับไว้ได้เกือบทั้งหมด เว้นหนึ่งรอยแผลที่แขนเล็กน้อย แต่ก็ไม่มากพอให้ชะงักได้ ก่อนเห็นว่าคู่ต่อสู้หยุดชะงักจากการโจมตีต่อเนื่อง ก่อนหลับตาให้อาวุธในมือเปล่งแสงขาว แล้วฟันสวนกลับมาอย่างรุนแรง

อัศวินสีหม่นยกโล่ติดแขนขึ้นรับการโจมตี กระนั้นใบดาบกลับตัดร่างเขาเอาเลือดเนื้อบางส่วนไป พร้อมกับที่ร่างกระเด็นไกลยิ่งกว่าก่อนหน้า ทว่าไม่มากพอให้หยุดชะงักหรือกลัวอะไร แค่รู้ว่าพลังสีขาวมีผลใดกับการโจมตี ก่อนเตรียมหลบการวาดฟันจากชายในชุดนักรบสีเขียวที่กำลังเข้ามา

นักดาบเบี่ยงหนีการโจมตีจากดาบใหญ่ในมือผู้ช่วงชิง ที่ทำลายผนังและพื้นรอบข้างเป็นรอยฟัน จนใบดาบมีเปลวไฟแผดเผาเรื่อย เมื่อเห็นว่าไม่มีทีท่าที่ตนจะได้จังหวะดี จึงซัดดาบสวนกลับตั้งรับบ้าง

ดาบของสองนักสู้ถูกตรึงไม่ให้ขยับด้วยแรงของกันและกัน กระนั้นนักฆ่าไร้หน้าก็รับรู้ถึงความร้อนที่แผดเผา จากใบดาบใหญ่ในมือศัตรูที่ยังไม่แม้สัมผัสตน จนอาศัยฝีเท้าถีบศัตรูให้เสียจังหวะ แล้วลงดาบฟันเต็มแรงให้มั่นใจ ว่าอีกฝ่ายจะบาดเจ็บมากพอให้ชะงักก่อนทำอะไร

ผู้ช่วงชิงลุกขึ้นมา วาดอาวุธโจมตีไม่มีเว้นจังหวะ จนนักดาบเกราะหมองมองหาช่องว่าง ขณะยกโล่ขึ้นกันทุกการโจมตีที่แผดเผา แต่ในที่สุดเขาก็จับจังหวะรูปแบบการโจมตีได้ กระนั้นก็ไม่รู้ว่าต้องรับมือการโจมตีสุดท้ายอย่างไร

ทว่าในตอนนั้นเอง อัศวินก็นึกได้ถึงวิธีที่นักวาดตาบอดเคยใช้ เพื่อหยุดการโจมตีของศัตรูให้ชะงัก เมื่อเห็นว่าศัตรูเงื้อดาบไปข้างหลัง จึงทะยานร่างถอยในทันใด ก่อนตั้งสมาธิเมื่อศัตรูพุ่งดาบเข้าใส่

แคล๊ง! ดาบใหญ่ติดไฟของเจเนซีถูกปัดกระแทกลงพื้น แล้วเหยียบไว้ด้วยฝีเท้าอัศวินไร้หน้าจนไม่อาจโจมตี ก่อนนักดาบสีเทาตั้งท่ากระชับดาบยาวในสองมือ แล้วพุ่งเข้าใส่อย่างไม่ลังเล

ฉับ! อาวุธของจอมดาบฟาดซัดเกราะ กร่อนกัดเข้าไปถึงอกเจ้าแห่งวังบุริมชิมสุข จนล้มลงไม่ลุกขึ้นมา ขณะเลือดพุ่งทะลักออกมาอย่างน้ำพุ กระนั้นก็ยังไม่แสดงอาการยอมแพ้แต่อย่างใด นักดาบไร้หน้าจึงเตรียมทะยานหนีทันทีที่เห็นท่าไม่ดี

"เจ้าคนเขลา!"

สัญชาตญาณพาอัศวินสวมผ้าคลุมทะยานหนี ก่อนเจเนซีชักปืนสั้นออกมาลั่นกระสุนใส่ กระนั้นนักดาบก็รู้ว่าปืนนั่นบรรจุกระสุนได้ไม่เกินหนึ่ง จึงพุ่งไปพร้อมดาบในมือไม่รีรอ

!!!

เสียงลั่นสนั่นดังขึ้น พร้อมความรู้สึกเจ็บปวดไม่ทันตั้งตัว เมื่อกระสุนห่าใหญ่ถูกประเคนใส่อัศวินไร้หน้า ทะลวงเกราะทะลุร่างสร้างรอยแผลจำนวนมาก และถีบร่างกระเด็นล้มลง ไม่นานเขาก็ตั้งสติได้ แล้วกลิ้งหลบกระสุนชุดใหม่ที่ยิงใส่ จนได้ที่กำบังหลังโต๊ะใหญ่ในห้องเปลวไฟ กระนั้นลูกปืนที่พุ่งมาก็ไม่หมดไป สร้างความแคลงใจว่าสิ่งที่กำลังเกิดคืออะไร

เมื่อรู้ดีว่าจะไม่มีอะไรดีแม้รู้ว่าปืนของศัตรูคืออะไร อัศวินก็มองหาสิ่งที่จะใช้สวนกลับ ได้เป็นร่างไร้วิญญาณของชายชรา กับอาวุธมีดในมือขวา และปืนสั้นที่ตกไม่ไกลกัน เขารู้ทันทีว่าปืนกระบอกนี้ยังมีกระสุน เพราะเสื้อผ้าของชายชราที่ไม่มีกลิ่นดินปืนให้สัมผัส จึงเก็บดาบยาวเข้าปลอกไว้ แล้วทะยานไปหยิบสองอาวุธของร่างไร้วิญญาณมาถือในมือ

ขณะนักฆ่าไร้หน้าเตรียมเผชิญ ก็เห็นว่าปืนที่ผู้ช่วงชิงลั่นไกไม่มีกระสุนใดออกมา ก่อนเจ้าตัวเก็บปืนแล้วหยิบขวดยาสีฟ้าขึ้นมา นักฆ่าไม่รอช้า ลั่นกระสุนปืนใส่ศัตรูให้เสียหลักชะงัก ขว้างมีดในมือขวาให้เสียจังหวะ ก่อนซัดโล่ติดแขนขวาฟาดหน้าจนทำขวดยาหล่น กระทั่งเข้าใกล้ในระยะอันตราย จึงชักดาบยาวฟันลำตัวเจเนซี เกิดแผลใหญ่เลือดไหลเป็นสายไม่หยุดทันที

เจเนซียกดาบใหญ่ตั้งรับการโจมตีถัดไปได้ไม่ยากเย็น กระนั้นก็ถูกศัตรูขยับด้ามอาวุธกระแทกหน้าทีเผลอ แล้วซัดดาบใส่อีกครั้งจนกระเด็น เกิดเป็นช่องว่างระหว่างกัน ให้คู่นักสู้ได้คิดว่าจะทำอะไร

สองนักประลองต่างอยู่ในสภาพที่เลวร้ายเกินไป จนต่างฝ่ายต่างไม่ควรยืนหยัดได้ อัศวินไร้หน้าเต็มไปด้วยรอยกระสุนบนร่างที่ควรจะฆ่ามนุษย์ได้ กระนั้นกลับไม่แสดงอาการให้เห็น ว่าเหนื่อยล้าหรือหมดแรงแต่อย่างใด ต่างจากเจเนซีที่หายใจหอบชัดเจน ขณะเลือดไหลเป็นสายจากแผล ไม่ต่างเหงื่อจากความร้อนเปลวไฟในห้อง

เมื่อมีเวลามากพอ เจ้าผู้ช่วงชิงก็สังเกตได้ ถึงตราสีทองที่ประทับเกราะสีหม่นของศัตรู สัญลักษณ์ที่ตนไม่ควรได้ประจักษ์ในตอนนี้ ตราประทับของสิ่งที่ควรจะสูญสิ้นไปนานแล้ว

"อัศวินแห่งชาลิกา ยังหลงเหลืออีกเหรอ? ไม่สิ คงเป็นคนสุดท้ายแล้ว"

เจเนซียกดาบใหญ่ขึ้นมา ให้พลังสีขาวปกคลุมใบดาบ นักฆ่าสีหม่นจึงรู้ว่าการต่อไปจะรุนแรงทวีคูณเป็นแน่

"แต่เอาเถอะ ฉันจะส่งให้ไปสบายเอง"

ผู้ถูกเรียกว่าอัศวินแห่งชาลิกายกอาวุธขึ้นมา หลับตาให้อักขระอาคมปรากฏเป็นรูปร่าง ใบดาบจึงเปล่งแสงประกายทองเรืองรองออกมา ให้ศัตรูรู้ว่าคืออะไร

"ศาสตราชาลิกา? คงเอามาจากอารักษ์ราชาที่ฆ่า แต่ว่า แค่นั้นช่วยอะไรไม่ได้หรอก!"

เจ้าผู้ช่วงชิงกระชับอาวุธในสองมือ แล้วพุ่งใส่คู่ต่อสู้ไม่รีรอ ขณะจอมดาบสวมผ้าคลุมที่กำลังรอจังหวะ ตัดสินใจวาดดาบอาคมเคลือบพลังของตนเข้าไปในทันใด

!!!!!!

พลังสีทองพุ่งออกจากใบดาบของนักฆ่าไร้หน้า ปะทะร่างเจเนซีเข้าอย่างจัง ฉีกกระชากเกราะจนเกือบไม่เหลือสภาพเดิม กับทิ้งแผลใหญ่ที่ยาวตลอดลำตัว กระนั้นก็ยังไม่สิ้นท่าในทันใด เพียงชะงักไม่ตอบสนองต่อการสู้ในทันที นักฆ่าไร้หน้าจึงใช้โอกาสนี้พุ่งทะยานเข้าไปอีกครั้ง

ฉีก! ดาบของอัศวินแห่งชาลิกาแทงทะลุกลางอกเจ้าแห่งย่านวังบุริมชิมสุขอย่างจัง กระทั่งปลายดาบปรากฏจากด้านหลังของผู้ช่วงชิง เป็นแผ่นโลหะชุ่มเลือดเหยื่อผู้สิ้นท่า ที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงต่อหน้านักฆ่าไร้หน้า

"อัศวิน แห่ง ชาลิกา"

เมื่อเห็นว่าศัตรูยังพอมีแรงเหลือ จอมดาบก็กระชากอาวุธออกมา ปล่อยร่างชุ่มเลือดของเจเนซีกระเด็นออกไป จนในที่สุดก็ประทับบนบัลลังก์ทอง ของเจ้าแห่งย่านวิงบุริมชิมสุข ที่บัดนี้ถูกเคลือบด้วยเลือดจนเป็นสีแดง ไม่ต่างอะไรจากผู้นั่งบัลลังก์ ที่ยังพยายามดิ้นรนเพื่อคำพูดตนเท่าไร

"นี่ จะไม่ใช่ศึกสุดท้ายของเจ้า หากเจ้าเลือกเส้นทางนี้ เจ้าจะต้อง สู้ ถึงวันสุดท้าย ที่เจ้าจะได้ ตายอย่าง แท้ จริง"

ในที่สุดเจ้าผู้ช่วงชิงก็สิ้นลม หลงเหลือเพียงร่างสวมเกราะบิ่นกับเสื้อขาดวิ่นไร้วิญญาณ บนบัลลังก์อาบเลือดของตัวเขาเอง ท่ามกลางเปลวเพลิงที่แผดเผาคฤหาสน์เขา ให้เป็นสุสานและแทนการเผาศพ จนกลิ่นไหม้ลอยตลบอบอวลในห้องใหญ่ ด้วยเชื้อไฟที่ไม่มีทีท่าจะมอดลงโดยง่าย

ก่อนสิ่งรอบข้างใดจะเรียกความสนใจอัศวินแห่งชาลิกาไปหา บางอย่างก็ปรากฏกลางอากาศเหนือร่างเจเนซี เป็นกลุ่มก้อนพลังงานสีเขียวเปล่งแสงอ่อน เขารับรู้ได้ว่าสิ่งนี้มีบางอย่างที่พยายามบอก จึงยื่นมือไปสัมผัสให้สิ้นสงสัยในทันใด

!!!!!!

ภาพทั้งหมดต่อสายตาอัศวินแห่งชาลิกาเหลือเพียงสีขาว ทว่าไม่ใช่กับอารมณ์ความรู้สึกที่ถูกขับขาน ผ่านบางสิ่งอันไม่ใช่เสียงหรืออักษร แต่เป็นความรู้สึกซึ่งได้สัมผัสโดยตรง เสมือนตนเป็นคนเผชิญมันด้วยตัวเอง

ความยิ่งใหญ่ เกรียงไกร มีอำนาจเหนือสิ่งใด จนแทบไม่อาจมีใครเทียบเคียง กระนั้นกลับยังต้องก้มหัวรับใช้บางสิ่งที่มองไม่เห็น ทว่าด้วยความปรารถนาจึงไขว่คว้า เพื่อให้ได้มาซึ่งความยิ่งใหญ่ สิ่งที่บรรพชนของเขามีไว้ จนกลายเป็นอะไรที่บิดให้ความคิดผิดแปลกยิ่งกว่า

ความปรารถนากลายเป็นความต้องการช่วงชิง ความต้องการยิ่งใหญ่กลายเป็นความต้องการทำลาย ความรักใคร่กลายเป็นความใคร่ควบคุม ทุกห้วงอารมณ์ความรู้สึกอย่างมนุษย์อันดีไม่มีอีกต่อไป เหลือไว้เพียงเศษซากที่จำไม่ได้แม้เงาของตนคืออะไร ไม่อาจแม้ให้บรรพชนภูมิใจ ได้เพียงดื่มด่ำกับความวิปริตจากความคิดอันประหลาดของตนเอง

แต่สิ่งที่ทำลงไปก็ไม่สาแก่ใจ ด้วยไม่อาจเติมเต็มช่องว่างของความรักในหัวใจ จึงพยายามแสวงหาสิ่งทดแทน กระนั้นคนที่ตนช่วงชิงมาก็ไม่อาจให้ในสิ่งที่ปรารถนา จึงใช้ความบ้าคลั่งในใจ เปลี่ยนให้สิ่งได้มาเป็นไปตามใจปรารถนา ให้มีท่าทางงดงามอย่างต้องการ ให้สวมชุดอันถักถออย่างดีมีสีสัน เป็นขวัญตาและขวัญใจให้ได้รู้สึกในแต่ละวัน

กระนั้นเป้าหมายของเขากลับไม่อาจหยุดได้เพียงหนึ่ง ด้วยช่องว่างในจิตใจที่กว้างไกลตามเวลา เพราะทำได้เพียงเติมเต็มด้วยสิ่งอื่นที่คิดว่าจะทดแทนได้ จากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสิบ จากสิบเป็นยี่สิบ จนเหล่านางกลายเป็นตุ๊กตาให้เชยชมทุกมุมห้อง ก็ไม่อาจเติมเต็มจิตใจได้ ไม่ว่าจะทำอย่างไร จนมันนำพาหายนะมาสู่ตนเอง

ในที่สุดภาพภายในห้องใหญ่ของคฤหาสน์ไหม้ไฟก็กลับมา พร้อมกับที่กลุ่มพลังงานในฝ่ามือขวาจางหายไป กระนั้นอัศวินแห่งชาลิกาก็รู้ว่ามันไม่ได้หายไปไหน เพียงกลายเป็นส่วนหนึ่งในตัวเขา ส่วนหนึ่งของความรู้สึกอันฝังไว้ไม่อาจลบเลือน จากเศษเสี้ยวความทรงจำอันบิดเบี้ยว ของเจ้าแห่งคฤหาสน์สีสะอาด ที่บัดนี้เหลือไว้เพียงถ่านเถ้าเท่านั้น

นักดาบเก็บกวาดทุกสิ่งที่คิดว่าจะได้ใช้ ขวดน้ำยาสีฟ้าอย่างน้ำยาสมาธิ มีดกับปืนสั้นและชุดกระสุนของชายชรา ดาบใหญ่ด้ามทองของผู้ช่วงชิง กระนั้นสิ่งที่สะกิดใจเขาที่สุด คือปืนสีเงินลายทองของเจเนซี ที่ยิงกระสุนออกมาได้มากกว่าหนึ่ง จึงหยิบขึ้นมาพิจารณา ให้รู้ว่าอะไรทำให้ใช้งานแบบนั้นได้

แล้วอักขระประหลาดที่ปรากฏในความคิดก็คลายสงสัยในทันใด ว่านี่คืออาวุธอาคมอย่างตนชิงมาจากอารักษ์ราชา

นักดาบเก็บทุกสิ่งที่ช่วงชิงลงไป ยกเว้นดาบใหญ่ติดเปลวไฟในมือขวา ก่อนหันหาร่างนอนจมกองเลือดของชายชรา กับตุ๊กตาเด็กสาวในชุดขาวที่นั่งอยู่ไม่ไกลกัน ณ มุมห้อง มองสภาพของร่างไร้วิญญาณตรงหน้านึกถึงทุกสิ่งที่ได้รับมาจากเขาเมื่อไม่นานนี้ ก่อนที่จะวาดดาบในมือออกไป

เปลวไฟบนใบดาบอันตรธาน แล้วแผดเผาพื้นต่อหน้าร่างคู่พ่อลูกผู้ไร้วิญญาณ แทนการเผาศพให้ทั้งสองได้ไปสู่ปรภพ แทนการฝังกลบให้ไม่เหลือเศษซากใด ให้กลิ่นควันไฟในอากาศแรงทวี เพื่อที่จะไม่มีสิ่งใดในคฤหาสน์นี้เหลือไว้ ให้ใครเห็นความสยองขวัญอันไม่น่าพิสมัยอีกต่อไป

หลังเสร็จสิ้นการเผาไม่นานเท่าไร นักดาบก็รู้สึกถึงสิ่งแปลกประหลาดที่อยู่ไม่ไกล บางสิ่งที่ชูชันขึ้นมาเหนือพื้น เป็นสิ่งที่คุ้นตาดังเห็นมาไม่นาน เสาศิลาเหนือแท่นที่ตั้งตระหง่าน อย่างผ่านตามาแต่เมื่อเช้า คือเสาเชื่อมทางที่รอให้ใครมาเปิดใช้งาน

อัศวินแห่งชาลิกาหยิบศิลาสลักอักขระเรืองแสงฟ้าออกมา ยื่นต่อเสาเชื่อมทางจนมันเปล่งแสงออกมา สะท้อนในดวงตาสีน้ำทะเลที่ซ่อนไว้ใต้เงาผ้าคลุมเล็กน้อย ก่อนเจือจางลงจนเพียงเห็นว่าใช้ได้แล้ว

ไม่นานหลังเสาเชื่อมทางกลับมาทำงาน เปลวไฟก็ทำลายผนังฝั่งหนึ่งของข้องพังถล่มลงไป เป็นฟากเดียวกับที่เจเนซีวาดอาวุธโจมตีไม่เหลือชิ้นดี เผยฟ้าสีหม่นยามราตรีอันมีแสงดาวประปราย กลายเป็นทิวทัศน์น่าชื่นชมพอใจ แม้จะไม่มากเท่าไรในเมืองใต้เปลวไฟแห่งนี้ก็ตามที

เมื่อไม่มีอะไรหลงเหลือให้ในสถานนี้ อัศวินผู้ชุ่มเลือดก็ก้าวฝีเท้าออกจากห้องใหญ่ เหยียบย่ำกองไม้จากผนังที่พังทลายกองเป็นขั้นลงไป สู่ลานหน้าอาคารอันมีซากของทหารผู้ถูกเปลวไฟหลอมละลาย กลายเป็นซากรอบข้างตัวตนเพียงหนึ่งเดียว ที่กำลังยืนรอต้อนรับการกลับมาของเขา

แล้วนักวาดสาวร่างใหญ่ก็เผยรอยยิ้มออกมา เมื่อเสียงฝีเท้าของนักดาบที่เธอรอคอยดังขึ้นตรงหน้ากระทั่งหยุดลง

"ยินดีต้อนรับกลับมานะ อัศวินของข้า มีอะไรให้ข้าช่วยท่านไหม?"

สิ้นคำถามนักวาด นักดาบชุ่มเลือดก็หยิบขวดยาสีฟ้ายื่นให้ สาวเจ้าจึงรับไว้อย่างไม่รีรอ ก่อนเปิดฝาขวดออกให้กลิ่นลอยออกมา เพื่อรับรู้ว่าขวดในมือบรรจุยาอะไร

"น้ำยาสมาธิ นี่คงเป็นขวดที่ใช้ได้ผล ข้าไม่รู้ถึงกลิ่นพิษในยาขวดนี้เลย ขอบคุณนะที่ท่านนำมาให้ข้า"

ทว่าระหว่างสนทนา สาวผมดำยาวก็ชะงักเมื่อรับรู้กลิ่นบางอย่างจากร่างนักฆ่าไร้หน้า ก่อนถอนใจยาวพอให้คู่สนทนาได้ยิน แม้จะยังคงสีหน้ายิ้มแย้มเอาไว้ก็ตามที

"ท่านนี่ ช่างโหดร้ายกับข้าเหลือเกิน"

จูโนยื่นมือหาผ้าคลุมหัวอัศวินไร้หน้า แล้วขยับให้มันหลุดออกไป เผยใบหน้าไร้อารมณ์ของเด็กหนุ่ม ซึ่งชุ่มเลือดจนแทบไม่เห็นผิวสีงาช้าง ไม่ต่างผมสีขาวที่แทบกลายเป็นสีแดงฉาน จนเหลือให้เห็นเพียงสีฟ้าของดวงตา ท่ามกลางร่องรอยอาการบาดเจ็บจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้

"ที่ทำให้ตัวเองมีสภาพแบบนี้"

"แผลแค่นี้ไม่ทำให้ข้าเจ็บปวดหรอก"

อิโระตอบด้วยน้ำเสียงเรียบราบอย่างทุกที แม้จะมีเลือดไหลจากรอยกระสุนทั่วร่างตลอดเวลาก็ตามที

"ช่วยไม่ได้ ข้าคงต้องทำใจที่จะได้เห็นสภาพนี้ของท่านในทุกวันสินะ?"

นักวาดหยิบขวดน้ำยารักษาสีแดงฉานอย่างเลือดออกมา ยื่นให้ชายตรงหน้ารับไว้อย่างไม่เร่งรีบ นักดาบจึงรีบรับมันในทันใด ด้วยไม่อยากขัดใจหรือให้หญิงสาวตรงหน้ารู้สึกไม่ดี แต่ก็ไม่รู้ว่าตนควรอำอย่างไรต่อไป ตราบที่เธอยังไม่บอกอะไรตน

"ดื่มเถิด ให้แผลของท่านได้สมาน อย่างน้อยที่สุดหากท่านไม่เจ็บปวดอะไร ก็ให้ข้าได้รู้สึกสบายใจเถอะ"

"ได้สิ ท่านจูโน"

อัศวินหนุ่มดื่มน้ำยาสีแดงเข้าไป จึงรับรู้ถึงรสหวานของน้ำผลไม้ กับความร้อนแรงอย่างเปลวไฟที่ไม่มากเท่าไร ตามมาด้วยอาการระคายตามร่างกายที่หายไป พร้อมกับที่แผลใด ๆ ฟื้นสภาพไม่เหลือร่องรอย จนพละกำลังที่หายไปในการต่อสู้ล้วนกลับมา พาตาตื่นด้วยชื่นชมในสิ่งที่ได้รับ

"รู้สึกดีใช่ไหมล่ะ? ท่านอิโระ"

"ใช่ กำลังที่ข้าเสียไป หวนกลับมาทั้งหมดเลย"

"ท่านชอบใจข้าก็พอใจแล้ว ว่าแต่ อะไรทำให้ท่านมีสภาพแบบก่อนหน้านี้ล่ะ?"

อิโระหยิบปืนอาคมที่ชิงมาจากเจเนซี ปืนที่ทิ้งรอยกระสุนทั่วเกราะลำตัวของตน ให้นักวาดร่างใหญ่รับไว้พิจารณา

"ปืนอาคม มีอาคมสลักไว้อย่างดาบทองของอารักษ์ราชา"

"อย่างนั้นเหรอ?"

จูโนหยิบปืนสีเงินลายทองมาถือไว้ ขยับดวงตาสีเปลวไฟอันไม่สะท้อนภาพใด ให้เหมือนจ้องมองอาวุธที่ขยับไปมาในมือขวา กระนั้นอัศวินหนุ่มก็ไม่ทำอะไร เพียงมองด้วยความสงสัยว่าสาวเจ้ากำลังคิดสิ่งใด จนในที่สุดเธอก็หันหลังกลับไป 

เปรี้ยง! นักวาดตาบอดลั่นไกปืนในมือ ยิงกระสุนใส่ทหารพยัคฆ์รัตนที่พุ่งมาพร้อมอาวุธ จนล้มลงสิ้นสภาพในนัดเดียวไม่ทันตั้งตัว ชวนให้นักดาบเกิดประหลาดใจในภาพที่เห็นไปตามกัน

"ท่านใช้ปืนนี้ได้คล่องดี ให้ท่านเก็บไว้คงจะดีกว่า"

"ถ้าท่านอิโระว่าอย่างนั้น ข้าจะเก็บเอาไว้ก็แล้วกัน"

คู่นักดาบและนักวาดยืนนิ่งต่อหน้าคฤหาสน์สีถ่าน ท่ามกลางย่านวังบุริมชิมสุข ที่บัดนี้กลายเป็นซากเมืองทะเลเพลิง ถูกแผดเผาเป็นเถ้าจนแทบไม่เหลือสิ่งใดให้จดจำ ความงามที่พอให้ชื่นชมได้ในสถานนี้ เหลือเพียงสีสันอันร้อนแรงของเปลวไฟ กับแสงดาวแพรวพราวยามราตรี ของทะเลสีน้ำเงินอันมืดมิดเหนือผืนฟ้า พาทั้งสองคิดว่าควรทำอย่างไรต่อไปในย่านนี้

"มีอะไรที่ท่านตามหาในย่านนี้อีกไหม? ท่านจูโน"

"ข้าได้ชื่นชมทุกสิ่งจนพอใจแล้ว บัดนี้ ช่วยนำพาข้าออกไปจากย่านนี้ที อัศวินของข้า"

"ได้เลย"

สองนักเดินทางพากันออกมา จากรั้วคฤหาสน์ไหม้ไฟที่แทบไม่เหลือสภาพเดิมใดให้จดจำ สู่ทางเดิมที่ทั้งสองเดินผ่านมา จนเจอกองซากทหารพยัคฆ์รัตนที่กองกันข้างทาง ทว่าบางอย่างกลับแตกต่างออกไป

จอชจอมทักที่เคยยืนอยู่ตรงนี้ไม่มีอีกต่อไป เหลือเพียงผลึกสีเขียวเข้มที่ตกหล่นกลางกองเลือด ให้อัศวินหนุ่มหยิบขึ้นมาพิจารณา ว่าอะไรถูกทิ้งไว้แทนที่คนที่เคยอยู่จุดนี้ แล้วยื่นให้นักวาดสาวผู้อยู่ข้างกัน

"ผลึกมรกต ข้าว่าท่านน่าจะได้ใช้ประโยชน์จากมันมากกว่าข้า"

"ผลึกเหรอ?"

สาวใหญ่รับมรกตไว้ แล้วพิจารณาเหลี่ยมคมตามมุมอันเป็นรูปลักษณ์งดงาม ผ่านนิ้วทั้งห้าที่สัมผัสผิวผลึกอย่างละเอียด กระทั่งชะงักเพราะนึกบางอย่างในใจได้ จึงหันมาสนทนากับหนุ่มตรงหน้าด้วยท่าทีสนใจ

"ข้ามีอีกสถานปลายทางที่อยากไปต่อจากนี้ ท่านว่าอย่างไรล่ะ?"

"ที่ไหนเหรอ? ท่านจูโน"

"อารามสวนผลึก ที่นั่นมีสวนประหลาดที่มีผลึกงอกจากพื้น ในอารามอันงดงามที่มีเจ้าของเป็นหนึ่งในสังฆาอีกา นักบวชผู้มีวิชาคาถาแกร่งกล้าแห่งแดนสุวรรณ ที่นั่นคงมีสีสันงามงดหยดย้อยไม่ด้อยไปกว่าสถานนี้"

"ถ้าท่านว่าเช่นนั้น ก็ไปกันเถอะ ท่านช่วยนำทางให้ข้าที"

"ฮิฮิ ได้เลย ท่านอิโระ ข้าจะชี้ทางให้ท่านเดินไปด้วยกันเอง"

สองนักเดินทางเดินบนถนนที่จะนำพาพวกเขาออกจากย่านนี้ สู่ถนนปูนที่ไม่มีใครรู้ว่าอะไรรออยู่ระหว่างทาง ถึงอย่างนั้นทั้งคู่ก็ไม่ลังเลที่จะก้าวไป ด้วยไม่หลงเหลือคุณค่าของสิ่งใดในเมืองทะเลไฟ ที่แผดเผาทุกสิ่งจนไม่เหลืออะไรอีกต่อไป

"ท่านอิโระ ถึงตอนนี้ มีสิ่งใดที่ท่านชอบใจในการเดินทางบ้างไหม?"

จูโนเอ่ยถามตามคิดระหว่างเดินทาง พาให้อิโระใช้เวลาไม่นานในการนึกถึงสิ่งที่ตนพ้นผ่าน ว่าอะไรพอให้ตนได้มีความสุขบ้าง กลับมีเพียงสิ่งเดียวที่อยู่ข้างกาย แล้วให้เขารู้สึกถึงความอุ่นใจคลายกังวล จนพอเผยรอยยิ้มออกมาได้บ้าง

"ก็พอมีอยู่ ถึงจะไม่มาก แต่ก็ทำให้ข้าชอบใจ"

ทว่าในตอนนั้นเอง กลิ่นเถ้าถ่านและควันไฟในอากาศ ก็สะกิดให้นึกถึงภาพของตุ๊กตาเด็กสาวกับชายชราในเปลวไฟ กับความทรงจำของเจ้าผู้ช่วงชิงอันไม่น่าอภิรมย์เท่าไร จนความสุขบนใบหน้าหายไปทันใด คงเหลือไว้เพียงความสะอิดสะเอียนรังเกียจ ในความวิปริตที่ตนได้ประจักษ์เท่านั้น

"ถึงส่วนใหญ่จะเป็นอะไรที่ข้าไม่ได้ชื่นชมเท่าไรก็เถอะ"

"ฮิฮิ ถึงอย่างนั้น ข้าก็ยังอยากให้ท่านได้พบอะไรดี ๆ ในการเดินทางนี้นะ ท่านอิโระ"

สาวเจ้าหัวเราะเบาบางให้ท่าทีอันน่าสนใจของอัศวินหนุ่ม แล้วคู่นักเดินทางก็พากันเดินบนถนนสีเลือดอันไร้ชีวิตใด ทิ้งไว้เพียงความวินาศที่ทั้งสองนำมาสู่ผองชน ให้ทุกคนได้รู้ว่าจะไม่มีสิ่งใดหลงเหลือในย่านนี้อีกต่อไป


next chapter
Load failed, please RETRY

Novo capítulo em breve Escreva uma avaliação

Status de energia semanal

Rank -- Ranking de Poder
Stone -- Pedra de Poder

Capítulos de desbloqueio em lote

Índice

Opções de exibição

Fundo

Fonte

Tamanho

Comentários do capítulo

Escreva uma avaliação Status de leitura: C8
Falha ao postar. Tente novamente
  • Qualidade de Escrita
  • Estabilidade das atualizações
  • Desenvolvimento de Histórias
  • Design de Personagens
  • Antecedentes do mundo

O escore total 0.0

Resenha postada com sucesso! Leia mais resenhas
Vote com Power Stone
Rank NO.-- Ranking de Potência
Stone -- Pedra de Poder
Denunciar conteúdo impróprio
Dica de erro

Denunciar abuso

Comentários do parágrafo

Login