สองนักเดินทางออกจากลานหญ้ารอบซากวัง กลับสู่ถนนปูน ณ อีกฟาก ที่มีอาคารกับเสาตะเกียงตั้งไว้สองข้างทาง เมื่อหันมองบ้านร้านแต่ละหลังระหว่างเดิน จึงพบว่าส่วนใหญ่เป็นซากไร้คนอาศัย มีเพียงส่วนน้อยที่สภาพดีพอให้รู้ว่ามีคนอยู่ แต่กระนั้นก็ไม่พอให้พิสมัยเมื่อได้เห็น แม้ถนนจะพาให้เดินได้ไม่ยากเย็น ก็รู้สึกถึงความลำเค็ญจากบรรยากาศบริเวณใกล้
"ความเลวร้ายแบบไหนที่ทำให้ย่านรุ่งเรืองตกต่ำได้ขนาดนี้?"
อัศวินหนุ่มถามด้วยความสงสัย ในสิ่งที่นักวาดเคยพูดไว้ก่อนเข้ามาในย่านนี้
"บางที อาจมีคำตอบรออยู่ที่คนในเมืองนี้ก็ได้"
"ถ้ายังมีให้เราเจอนะท่านจูโน"
พวกเขาเดินเข้าไปในเมืองเสมือนร้างพักใหญ่ ถึงมุมทางแยกจึงเจอร้านไม้หลังหนึ่ง ซึ่งเปิดประตูบานกว้างทิ้งไว้ มีชายชราคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ด้านใน พร้อมโต๊ะกับเก้าอี้จำนวนหนึ่งตั้งเตรียม เสมือนร้านอาหารให้ใช้บริการ และเป็นจูโนที่สัมผัสถึงกลิ่นหอมที่ลอยโชยออกมาได้ จนหันหาที่มาของมันก่อนใคร
"จะว่าไป แต่เช้ามาข้ายังไม่ได้ลิ้มรสอะไรเลย ตอนนี้ท่านอิโระหิวหรือยังล่ะ?"
"ไม่มากเท่าไร แต่ได้กินอะไรสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน"
สองผู้มาเยือนเลือกนั่งเก้าอี้ข้างโต๊ะที่คิดว่าดูดีสุดในสายตา และห่างจากผนังติดหน้าต่างของร้านพอประมาณ กลิ่นอาหารภายในร้านชวนให้พวกเขารู้สึกโหยหายิ่งขึ้นไป ก่อนชายชราผมหงอกรวบไว้หนวดเคราในชุดผ้าธรรมดาจะเดินเข้ามา พร้อมปากกากับแผ่นกระดาษในมือ
"มีอะไรที่พวกท่านต้องการไหม?"
"ก๋วยเตี๋ยวเส้นไข่หนึ่งชาม"
สาวใหญ่สั่งอาหารด้วยท่าทียิ้มแย้มแก่ชายชรา
"ชามเล็กหรือใหญ่?"
"ชามใหญ่ ท่านอิโระล่ะอยากกินอะไร?"
ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อย เพราะไม่รู้ด้วยว่าตนมาเยือนร้านอาหารแบบไหน ด้วยไม่มีแม้ป้ายเขียนไว้หน้าทางเข้า แต่ด้วยทักษะที่ยังมีจึงตัดสินใจสั่งไป
"เหมือนท่านจูโน"
"ก๋วยเตี๋ยวเส้นไข่ใหญ่สอง รอของสักครู่ เดี๋ยวกลับมา"
เมื่อเขียนรายการอาหารเสร็จ ชายชราก็เดินจากไป ทิ้งให้อิโระที่เกิดความสงสัยในใจถามเพื่อนร่วมทาง
"ท่านรู้ได้ยังไงว่าเป็นร้านก๋วยเตี๋ยว?"
"ข้าได้กลิ่นก๋วยเตี๋ยวตั้งแต่มาถึงหน้าร้านที่ทางแยกน่ะ คงเพราะข้ามองไม่เห็น ประสาทส่วนอื่นเลยพัฒนาขึ้นกระมัง"
"หรือไม่ข้าก็ชินกับกลิ่นอื่นเกินไป จนไม่ค่อยได้ใส่ใจกับกลิ่นอาหารเท่าไร"
"อย่างนั้นเหรอ? ถ้าแบบนั้น ท่านได้กลิ่นอะไรอันตรายในย่านนี้ไหม?"
อิโระนึกถึงบริเวณที่ตนผ่านพ้น ก็นึกได้ว่าไร้กลิ่นใดแสลงใจ แต่ไม่ใช่ในร้านนี้ที่มีกลิ่นหนึ่งชัดเจนจนขยับแขนระวัง
"มีกลิ่นเลือดมนุษย์ในร้านนี้ กลิ่นเจือจางเพราะผ่านมาพักใหญ่ แต่ใช่แน่"
ทว่าก่อนนักดาบจะทำอะไร ชายชราก็เข้ามาพร้อมชามอาหารที่เขากับนักวาดสั่งไว้
"ก๋วยเตี๋ยวเส้นไข่ชามใหญ่สองที่ได้แล้ว"
"ขอบคุณ"
อิโระขานรับก่อนคำนับพร้อมจูโน พร้อมพินิจกลิ่นที่ชายชรามี ทว่ากลับพบว่าไร้ซึ่งกลิ่นเลือดใดให้ได้รู้ จึงผละความสนใจหาอาหาร ที่เป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวสีเหลืองในน้ำซุปสีเข้ม พร้อมเนื้อหั่นกับลูกชิ้นและผักจำนวนหนึ่งชวนน่าทาน ไม่นานก็หยิบตะเกียบในกล่องบนโต๊ะขึ้นมาสองคู่ แล้วยื่นหนึ่งในนั้นให้หญิงตาบอดผู้นั่งฝั่งตรงข้าม
"ตะเกียบน่ะ รับไว้สิ"
"ขอบคุณท่านอิโระ"
จูโนขยับมือขวาควานหาตะเกียบพักใหญ่ แต่ก็จับได้เพียงแขนของชายหนุ่มตรงหน้า จนเผลอแสดงสีหน้ากังวลออกมา อิโระที่เห็นดังนั้นจึงจับแขนสาวใหญ่ตรงหน้าให้มั่น แล้วยัดตะเกียบใส่ฝ่ามือเธอให้จับรับไว้ก่อนปล่อยมือ
"ถ้าท่านทำอะไรไม่ถนัดบอกข้าตรง ๆ ก็ได้"
"ข้าไม่อยากรบกวนท่านอิโระเกินไปน่ะ แค่นำทางข้าก็มากเกินพอแล้ว"
"ก็ท่านตาบอด มันช่วยไม่ได้นี่ ท่านคีบก๋วยเตี๋ยวกินได้ไหมเนี่ย?"
อัศวินเริ่มแสดงความไม่ไว้ใจออกมา เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าพยายามปิดบังอะไรไว้
"โอ้ ได้สิ ข้าอาศัยฟังเสียงสะท้อนจากน้ำได้ ไม่ต้องกังวลเลย"
"ถ้าอย่างนั้นก็ กินกันเถอะ"
ทั้งสองแยกตะเกียบที่ติดกันออก แต่อิโระยังไม่กินมื้อเช้าในทันที รอดูทีท่าหญิงตรงหน้าว่าเป็นอย่างไร จึงเห็นว่าเธอกินก๋วยเตี๋ยวกับเครื่องเคียงในชามได้ไม่มีปัญหาใด จนสาวเจ้าหันหน้าหาด้วยสีหน้าแปลกใจ
"มีอะไรหรือเปล่าท่านอิโระ?"
"ไม่หรอก กินต่อเลย"
อิโระกินก๋วยเตี๋ยวในชามตามจูโน พลางขบคิดสงสัยถึงกลิ่นเลือดในอาคารร้านนี้ ก่อนเหลือบมองเจ้าของร้าน ณ โต๊ะไม่ไกล ที่คิดว่าน่าสงสัยเหนืออะไร จึงเห็นว่าเขากำลังหันมองมายังตน
"พวกท่านคงเป็นคนจากนอกเมืองนี้สินะ?"
"ใช่แล้ว ท่านรู้ได้ยังไงเหรอ?"
จูโนเอ่ยตอบก่อนที่อิโระจะทันเริ่ม เมื่อเห็นดังนั้นเขาจึงนั่งฟังการสนทนาของเธอกับชายชราต่อ
"ไม่มีคนปกติที่ไหนในย่านนี้จะมาที่ร้านนี่หรอก"
สัญชาตญาณของอัศวินพาให้เขากระชับดาบเตรียมปะทะอันตราย กระนั้นก็ถูกนักวาดตรึงแขนไว้ไม่ให้ทำอะไร
"ช้าก่อน เขาอาจไม่ได้หมายถึงอันตราย"
นักดาบหนุ่มพิจารณาทีท่าร้องขอของหญิงสาวตรงหน้า ก่อนหันหาชายชราผู้ยังไม่แสดงอันตรายใด แม้ความระแวงและระวังจะยังอยู่ในใจ เขาก็ลดมือขวาซึ่งถืออาวุธลงไป
"ได้ ท่านจูโน"
"ท่านเจ้าของร้าน ทำไมถึงไม่มีใครเข้ามาในร้านนี้เหรอ?"
"ก็ เป็นเรื่องราวที่ยาวนาน ไม่รู้ว่าคนนอกอย่างพวกเธอจะสนใจไหม ว่ายังไงล่ะ?"
"เล่าเถิด ข้าอยากฟัง"
ชายชรายกเก้าอี้ตัวเองมานั่งข้างโต๊ะของสองนักเดินทาง ขณะพวกเขากินก๋วยเตี๋ยวเรื่อยอย่างเอร็ดอร่อย กระนั้นนักดาบหนุ่มก็คอยสังเกตท่าทีเจ้าของร้านอาหารเรื่อย จนอีกฝ่ายเริ่มพูดกับนักวาด
"ก่อนอื่นข้าต้องถาม พวกท่านรู้อะไรในย่านวังบุริมชิมสุขบ้าง?"
"ข้ารู้เพียงว่าเคยเป็นหนึ่งในย่านที่เอิกเกริกสุดของแดนสุวรรณเท่านั้นน่ะ"
"แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว ท่านอยากรู้ไหมล่ะว่าย่านนี้ในวันวานเป็นยังไง?"
"อยากสิ ท่านเล่าได้เลย"
"หลายปีก่อน ย่านวังบุริมชิมสุขเป็นเขตที่มีผู้คนมากหน้าหลายตาผ่านเข้ามา เพราะเป็นทางเชื่อมกลางไปยังเมืองอื่นที่อยู่ใกล้ ทำให้คนในถิ่นนี้ประกอบกิจการอะไรส่วนใหญ่ไปได้ดี มีลูกค้าหลากหน้าหลายตามากันไม่เว้นวัน"
"แล้ว เกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นล่ะ?"
"ชื่อเสียงเรียงนามความพอใจในย่านนี้ ดึงดูดคนจากหลายถิ่นดินแดนเข้าหา ในบรรดาพวกนั้นก็มีตั้งแต่ทหารรับจ้าง นักดาบตามซื้อ มือปืนตามสั่ง พวกที่เก่งเรื่องฆ่าฟันใช้กำลังยิ่งกว่าใคร อะไรทำนองนั้น"
"พวกเขาทำให้ย่านนี่เป็นแบบนี้เหรอ?"
จูโนถามกลับด้วยท่าทีตั้งตา ขณะอิโระที่เงียบตลอดมาก็ตั้งใจฟังไม่ต่างกัน หลังทั้งสองกินก๋วยเตี๋ยวหมดแล้ว
"ไม่ ไม่ใช่ พวกนั้นเข้ามาก็ทำให้เมืองนี้ครื้นเครงยิ่งกว่าเดิม ถึงจะนำพาเรื่องรบราฆ่าฟันกันเองมาให้เรื่อย เพราะพวกนี้มีหลายสมาคมหลากสังกัด เลยมีปัญหากันเป็นธรรมดา นำพาปัญหามาให้ย่านนี้เรื่อย แต่ก็ไม่มากเกินเราจะปฏิเสธ"
"แล้วอะไรล่ะ ที่จะทำให้ย่านนี้พินาศย่อยยับได้ถึงเพียงนี้?"
ชายชราส่งเสียงหัวเราะชอบใจออกมา ก่อนกระซิบคำตอบที่หนักแน่นพอให้สองลูกค้าได้ยิน
"กองทหาร"
คำตอบนั้นทำอัศวินหรี่ตาลงทันที เพราะมีบางอย่างชวนให้สะกิดใจ จึงพูดสิ่งที่คิดออกไป
"เกิดอะไรขึ้นกันแน่?"
"หลังจากทหารรับจ้างหลากสมาคมเริ่มมีบทบาทในย่านนี้กับมีปัญหากันให้เห็นเรื่อย วันหนึ่ง กองทหารสวมชุดคลุมเขียวประทับตราเสือขาว ก็พากันกรีฑาทัพเข้ามา วาดอาวุธฆ่าฟันทุกคนที่ขวางหน้า โดยเฉพาะทหารรับจ้าง"
"กองทหารพยัคฆ์รัตน"
อิโระเรียกชื่ิอผู้รุกรานเหล่านั้นอย่างมั่นใจ เพราะรู้ว่าไม่มีทางเป็นอื่นใดได้
"คนที่นำทหารพวกนั้นบุกเข้ามาในเมืองนี้ ถูกทหารพวกนั้นเรียกกันว่าเจเนซีผู้ยิ่งใหญ่ เขาอ้างสิทธิ์ในฐานะกองทหารที่ปกครองแดนสุวรรณ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของย่านนี้ ไม่ให้มีใครสร้างความเดือดร้อนวุ่นวายได้อีก แต่นั่นก็แค่คำพูด"
"แน่ละว่าไม่มีอะไรดีที่จะมาจากพวกนั้นได้"
"เจเนซีจัดการทุกคนในย่านนี้ที่ต่อต้านการรุกราน ทำให้ทหารรับจ้างที่ยังเหลือรอดยอมสยบรับใช้ ทำลายสมาคมทหารรับจ้างในเมืองให้อยู่ใต้อำนาจกองทหาร แล้วตั้งตัวเองเป็นเจ้าขุนปกครองย่านนี้"
"แล้วย่านนี่ก็มีสภาพแบบนี้สินะ?"
"ผิดแล้ว การรุกรานของเจเนซีแค่ทำให้คนนอกไม่อยากเข้ามา สิ่งที่ทำหลังจากนั้น คือให้อำนาจทหารใต้สังกัดทำอะไรก็ได้กับเมืองนี้ พวกนั้นทั้งปล้น ทั้งฆ่า ทั้งช่วงชิง ทำทุกสิ่งอย่างตามต้องการ ใต้ตราและนามของกองทหารพยัคฆ์รัตน ที่ปกป้องคุ้มครองย่านวังบุริมชิมสุข ทำให้ที่นี่กลายเป็นเมืองซาก ไร้ใครอาศัยนอกจากคนไร้ที่ไปอย่างฉัน"
เมื่อเล่าได้พักหนึ่ง เจ้าของร้านก็ลั่นหัวเราะเสียงดังออกมาให้ทั้งสองได้ยิน
"เจเนซีผู้ยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่กับผีน่ะสิ ชีวิตนี้ทำได้แค่ช่วงชิงทุกสิ่งในเมือง ถึงถูกเรียกว่าเจ้าจอมช่วงชิงนั่นแหละ"
ชายชราลุกขึ้นหลังเล่าเรื่องราวจบ กระนั้นสาวใหญ่ผู้ยังสงสัยก็เอ่ยถาม
"อะไรทำให้ท่านยังอยู่ในเมืองนี้ล่ะ?"
"เหมือนคนอื่นที่ยังอยู่ในย่านนี้นี่แหละ ไม่มีที่ไป ออกไปแล้วก็ไม่รู้จะทำยังไงต่อ อยู่ต่อก็ไม่รู้จะเจออะไรอีก ไหน ๆ ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ ก็ใช้ชีวิตที่เหลือในเมืองคุ้นเคยดีกว่า"
ชายชราเดินหาแท่นไม้บูชาติดผนังร้าน ก่อนวางข้าวปั้นห่อสาหร่ายชุดหนึ่งบนจาน จุดธูปติดไฟแล้วปักลงไปในกระถาง อิโระจึงมองตามด้วยความสงสัย จึงเห็นกรอบรูปวาดของใครบางคนที่ตั้งไว้บนแท่น
"เด็กผู้หญิง?"
"ใช่ ลูกสาวฉันเอง น่ารักใช่ไหมล่ะ?"
"น่ารักงดงามตามวัยไม่มีที่ติเลย"
จูโนพูดขึ้นขณะเดินเข้าไปใกล้รูปวาด เป็นรูปของเด็กสาวผิวขาวนวลผู้ไว้ผมสีทองถักเปียเดี่ยว ในชุดกะโปรงสีขาวอันเรียบราบ ใบหน้าเธอน่ารักดังตุ๊กตาก็มิปาน โดยอารมณ์ที่กำลังแสดงออกมาคือความสุขใจที่มองอย่างไรก็รู้สึกดี
"เกิดอะไรขึ้นกับเธอเหรอ?"
"ทหารพยัคฆ์รัตนทำทุกสิ่งอย่างตามต้องการ นั่นรวมถึงเจเนซีที่นำพาพวกนั้นมา ตามคำเล่าขาน เขานิยมชมชอบเด็กผู้หญิงด้วยเหตุผลบางอย่าง ส่วนใหญ่ก็เข้าใจกันว่าเป็นความชื่นชมส่วนตัว อาจเพราะนิสัยหรืออะไรก็ตาม เขาจะส่งทหารมาพาเด็กผู้หญิงที่ถูกใจ ไปคฤหาสน์ส่วนตัวในเมือง ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไร แต่ไม่เคยมีใครได้กลับออกมาอีกเลย"
"ลูกสาวท่าน ก็เป็นหนึ่งในนั้นสินะ?"
"ประมาณนั้น แต่มันก็เท่านั้นแหละ"
ทว่าระหว่างทั้งสามกำลังจดจ่อหน้าแท่นบูชา เสียงฝีเท้าคนจำนวนหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านนอกร้าน
ชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาในร้านอาหาร เป็นทหารสวมเกราะกับเสื้อคลุมทหารพยัคฆ์รัตนห้าคนพร้อมดาบยาว พวกเขาเดินเข้ามาด้วยท่าทีเอาเรื่อง เสมือนมีเป้าหมายในใจรอไว้แล้ว ก่อนคนที่เหมือนเป็นผู้นำกับอีกสามคนเข้าไปหาชายชรา ขณะอีกคนที่เหลือหยุดลงหน้าสองผู้มาเยือน และหนึ่งในนั้นเริ่มการสนทนา
"ขอโทษนะพวกท่าน ช่วยออกไปจากร้านก่อนได้ไหม?"
"เอ๋? มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า?"
นักวาดถามกลับตามสงสัย ทำให้ทหารพยัคฆ์รัตนพูดต่อไป
"เจ้าของร้านนี้ค้างค่าภาษีร้านค้ามาได้สามเดือนแล้ว และเบื้องบนส่งคนมาให้จัดการ เรามีหน้าที่คุ้มครองการเจรจากับไม่ให้ใครได้รับผลกระทบ"
"ผลกระทบเหรอ? อะไรกันน่ะ?"
ทหารคนดังกล่าวย่องฝีเท้าเข้าใกล้สาวใหญ่ ก่อนหันมองชาชราพร้อมพูดกระซิบให้อีกฝ่ายได้ยิน
"ว่ากันตรง ๆ ก็ความรุนแรง ตามหลักแล้วต้องพูดคุยเจรจา ปัญหาคือคนที่เบื้องบนส่งมาไม่ใช้วิธีแบบนั้นเท่าไร ส่วนหนึ่งเพราะไม่ค่อยมีใครอยากจ่ายภาษีร้านค้าที่เก็บทุกเดือน บางทีจบลงที่คนตายก็มี ข้าเลยไม่อยากให้พวกท่านอยู่ตรงนี้"
"อย่าได้กังวลเลย ข้ามีสหายปกป้อง ข้าจะขอเชยชมสักหน่อยก็แล้วกัน"
จูโนยิ้มรับเบาบาง พลางหันหาอิโระที่ยังไม่แสดงอารมณ์ใดออกมาให้เห็น
"ถ้าท่านว่าอย่างนั้น ก็ตามใจละกัน"
เมื่อสิ้นธุระกับทหารผู้รักษาความปลอดภัย สองผู้มาเยือนก็เบือนหน้าหาชายชรากับทหารที่นำอีกสามคนมา
"ขอโทษนะตาเฒ่า เจ้าค้างจ่ายค่าภาษีร้านค้ามาสามเดือนแล้ว เมื่อไรจะมีเงินจ่ายสักที?"
"ข้าบอกแล้วไง ว่าข้าไม่มีเงินจ่ายให้พวกเจ้าหรอก"
"เจ้ารู้ระเบียบที่ท่านเจ้าเจเนซีเขียนไว้ดี ยังไงเสียเจ้าก็ต้องจ่าย"
"กับที่พวกเจ้าเอาลูกสาวข้าไปยังไม่พอใจหรือไง? เลิกตอแยแล้วออกไปได้แล้ว"
"ถ้าอย่างนั้น แบบนี้ล่ะเจ้าจะว่ายังไง?"
ทหารผู้นำชักปืนสั้นที่เก็บไว้ออกมา เล็งข้างหัวชายชราเจ้าของร้านทันทีที่พูดจบ ทำให้สี่ทหารที่มาด้วยกันกระชับดาบพร้อมรบ ไม่ต่างจากอัศวินที่เตรียมตัวแม้ยังคงท่าทีเยือกเย็น ขณะนักวาดยืนนิ่งพิจารณาสถานการณ์อย่างเรียบราบ
"ท่าน ข้าว่าแบบนี้ไม่ดีเท่าไหร่นะ อย่างน้อยคุยกันก่อนเถอะ"
ทหารที่อยู่นอกวงล้อมเอ่ยทักขึ้น เมื่อเห็นท่าทีสถานการณ์ไม่สู้ดีเท่าไร และไม่มีใครพร้อมยอมถอย
"กับไอ้เฒ่าหัวแข็งนี่คุยไม่ได้เรื่องอะไรแล้ว นี่แกอยากให้ฉันส่งแกตามลูกสาวตัวเองไปขนาดนั้นเลยหรือไง?"
ในตอนนั้นชายชราก็หันหน้าหาผู้รุกราน แล้วยิ้มร่าตอบรับท่าทีอันตรายของอีกฝ่าย
"แกคิดว่าของแค่นั้นจะทำฉันกลัวเหรอ? ฉันไม่มีอะไรให้กลัวตั้งแต่วันที่ไอ้เวรบรรลัยส่งแกมาฆ่าลูกสาวฉันแล้ว"
"ท่าน ด้วยความเคารพ ลดปืนลงเถอะ"
มือปืนถอนใจด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ลดอาวุธลงตามทหารอีกคนขอ
"ช่วยไม่ได้นะ"
ทว่าสิ้นคำพูดไม่นาน เขากลับหันปืนหาทหารคนที่สนทนาด้วยก่อนหน้าแทน
"งั้นฉันส่งแกลงปรภพก่อนเลยละกัน"
มือปืนลงนิ้วลั่นไกปืน ทว่าอัศวินสีหม่นพุ่งเข้ามาทัน พลันใช้โล่ติดแขนซัดใส่มือข้างถือปืนเสียหลัก จนกระสุนถูกยิงออกไปยังทิศอื่น ใช้ดาบที่ชักไว้ก่อนหน้าแทงทะลุกลางลำตัวศัตรูอย่างจัง แล้วลงฝ่าเท้าถีบร่างสิ้นสภาพให้กระเด็นพ้นดาบจนล้มลง ทหารที่เหลือจึงชักดาบข้างตัวออกมา
"จัดการมัน!"
ทหารคนหน้าสุดพุ่งดาบแทงใส่อย่างไม่ลังเล อิโระจึงเบี่ยงหลบพร้อมฟันดาบเข้าหลังอีกฝ่ายสิ้นสภาพ ก่อนรับรู้ว่าอีกคนขว้างหม้อกระเบื้องขนาดเท่ามือใส่ จึงยกโล่ขึ้นกันเพราะไม่รู้ว่าคืออะไร
หม้อแตกทันทีที่กระแทกโล่ติดแขน เกิดเป็นเปลวไฟกระจายทั่วต่อหน้านักดาบหนุ่ม หนึ่งในนั้นแผดเผาใบหน้าฝั่งซ้ายเล็กน้อยจนรู้สึกถึงความเจ็บปวด แต่ก็ไม่ทำให้เขาเสียสมาธิขณะอีกฝ่ายชะงัก พุ่งดาบแทงใส่คนขว้างหม้อสิ้นใจในทันใด
คนสุดท้ายตรงหน้าที่ยังเหลือพยายามตั้งท่าอย่างเก้กังด้วยความกลัว แต่ก็พยายามวาดดาบโจมตี ก่อนอัศวินลงดาบฟันเกราะคออย่างจังกระทั่งเลือดไหล ล้มกองลงไปไม่ต่างจากคนอื่นในสายตา กระนั้นก็ยังเหลืออยู่คนหนึ่ง เป็นทหารซึ่งยืนนิ่งด้านหลังเขาด้วยความตกใจในเหตุการณ์ จนไม่กล้าที่จะทำอะไรต่อไป
"ไปเถิด ท่านทหาร ท่านมิได้นำพาภัยใดให้แก่เรา ท่านไม่เป็นอะไรหรอก"
สิ้นคำแนะนำของนักวาด ทหารผู้เหลือรอดจึงก้าวฝีเท้าหาทางออกร้าน โดยไม่ละสายตาจากอัศวิน ในที่สุดเขาก็พ้นออกไปแล้ววิ่งหนีไม่คิดชีวิต เหลือไว้เพียงเหล่าซากไร้วิญญาณให้ได้เชยชม นักดาบจึงเก็บคมอาวุธเข้าปลอกข้างเอว เมื่อไม่มีสิ่งใดให้ฆ่าฟันอีกต่อไป ขณะชายชราพิจารณาสิ่งที่เหลือทิ้งไว้ในร้าน
"แล้ว จะเอายังไงกับร่างพวกนี้ล่ะ?"
อิโระนั่งลงค้นของที่ทหารพยัคฆ์รัตนเก็บไว้ จึงพบหม้อกระเบื้องเหลืองจำนวนหนึ่ง ซึ่งถูกขว้างใส่เขาก่อนหน้า จำนวนพวกมันรวมกันมากพอจะเผาร่างทั้งสี่คนได้ จึงตัดสินใจทำบางอย่างต่อไป
"เดี๋ยวข้าหาทางจัดการเอง"
"ส่วนคราบเลือด คงเป็นหน้าที่ข้าอีกแล้วสินะ"
ชายชราถอนใจ กระนั้นก็ไปหยิบไม้ถูพื้นที่เก็บไว้ออกมาเช็ดทำความสะอาด ขณะอัศวินลากร่างทหารออกไปเรื่อย จนในที่สุดก็ไม่มีร่างใดเหลือในร้าน ขณะคราบเลือดถูกขจัดหายไปหมดไม่ต่างกัน
"ทีนี้ ก็เหลือแต่จัดการกองซากแล้ว"
อิโระเดินออกมาจากร้านอาหาร สู่ถนนด้านนอกที่มีแสงสว่างจากฟากฟ้าส่องลงมาอีกครา กลางทางกว้างคือซากทหารกองทับรวมกันเป็นหนึ่ง จูโนกับเจ้าของร้านจึงตามกันออกมา รอดูว่านักดาบจะจัดการอย่างไร
อัศวินขว้างหม้อไฟจำนวนหนึ่งใส่กองซากทหารพร้อมกัน ทันใดนั้นเปลวไฟก็ลุกโชนในทันที ตามด้วยควันไฟกับเสียงโหยหวนอันดังก้อง จากมือปืนที่ถูกแทงสิ้นสภาพก่อนหน้า
เสียงร้องของเขาชวนให้รู้สึกสยองขนพองเหนืออะไร โดยเฉพาะร่างกายที่ถูกเปลวไฟแผดเผาจนเริ่มไม่เหลือสภาพเดิม กับคำร้องขอให้ช่วยที่แทบไม่เป็นภาษา พาชายชราหน้าถอดสี อัศวินตาตื่นด้วยความตกใจ ขณะนักวาดพิจารณาอย่างใส่ใจ
"ช่างเป็นวิธีที่เยือกเย็นเสียกระไร ใช้เปลวไฟที่พวกเขานำมาแผดเผาให้เป็นเถ้าถ่านเช่นนี้"
"ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทหารนั่นยังมีชีวิตรอด"
นักดาบเกราะหม่นรีบปฏิเสธในความเลวร้ายที่ตนไม่ได้จงใจในทันใด
"เอาเถอะ ยังไงก็ถือว่าได้กำจัดขยะไปในตัว ข้าว่าพวกท่านกลับเข้ามาในร้านก่อนดีกว่า อยู่ต่อไม่น่าอภิรมย์เท่าไร"
ชายชราเดินกลับเข้าร้านอาหาร ให้พ้นจากเสียงไม่น่าพิสมัยกับความร้อนและกลิ่นไหม้ของเปลวไฟก่อนใคร กระนั้นอิโระกลับยังไม่ตามไป เพราะเห็นว่าจูโนยังยืนนิ่งไม่ทำสิ่งใด
"ท่านจูโน ไม่เข้าไปด้วยกันเหรอ?"
"ท่านเข้าไปก่อนเลย ข้าอยากสังเกตบางอย่างสักพักน่ะ"
"ได้เลย"
เมื่อเหลือเพียงจูโนที่ยืนอยู่ เธอก็ก้าวเข้าหาผู้ส่งเสียงร้องกลางกองซากไฟเผา เขาพยายามยื่นมือออกมาเสมือนขอความช่วยเหลือ เมื่อเห็นดังนั้นเธอจึงยิ้มเบาบางพลางถอนใจ กับยื่นมือตนไปจับรับไว้อย่างไม่รีบเร่งเท่าไร
ทันทีที่นักวาดจับมือทหารไว้ เปลวไฟอันร้อนแรงยิ่งกว่าก็ลุกโชนจากฝ่ามือเธอ แผดเผาทหารผู้รอดชีวิตจนส่งเสียงร้องดังทวีคูณออกมา ขณะเกราะมือและแขนเริ่มละลายด้วยความร้อนเปลวไฟ จนในที่สุดก็เผยให้เห็นเนื้อหนังที่กำลังไหม้เป็นเถ้าถ่าน ก่อนเหลือเพียงกระดูกมือสีน้ำตาลขาวในมือสาวเจ้า ที่เธอยังจับกระชับแน่นจนหลุดออกมา ให้ตนได้ชื่นชมชัดเจน
"ขอบคุณที่มาเป็นสีสันแก่ข้า ท่านทหารผู้ภักดี จากนี้ไป ขอให้ท่านพบคุณค่าของตัวเองในปรภพเถิด"
เมื่อได้สิ่งที่ต้องการ นักวาดก็เก็บมันไว้ใต้เสื้อ ก่อนหันหลังให้นายทหารผู้เคราะห์ร้ายร้องโหยหวนอยู่อย่างนั้น กระทั่งกลับเข้ามาในอาคารร้านอาหารดังเดิม แล้วปิดประตูให้เสียงไม่น่าพิสมัยดังเข้ามา ก่อนหันหาอัศวินผู้กำลังนั่งรอตนอยู่ก่อน
"มีอะไรที่ข้าไม่ทันได้รับรู้ไหม? ท่านอิโระ"
"ไม่ ข้ากำลังรอท่านอยู่เลย"
ในตอนนั้นเอง จูโนก็รู้สึกถึงความผิดปกติจากอิโระ จึงก้าวเข้าหาพร้อมวางฝ่ามือแตะใบหน้า จนรู้ว่ามีแผลไฟไหม้เล็กน้อยใกล้แก้มซ้ายของชายหนุ่ม พาให้แสดงอาการใจหายออกมา
"ท่านบาดเจ็บนี่"
"แค่แผลไฟไหม้เล็กน้อย ข้าไม่เป็นอะไร เลวร้ายกว่านี้ข้าก็เจอมาแล้ว"
"ไม่ได้สิ ถ้าเกิดมันเป็นอะไรเลวร้ายกว่านี้ล่ะ?"
"ท่านตื่นตระหนกเกินไปแล้ว ใจเย็นลงก่อน"
อิโระวางมือบนไหล่สาวใหญ่ตรงหน้า ผู้สูงกว่าตนระดับหนึ่งจนต้องเงยหน้าสนทนา แล้วจ้องตาให้อีกฝ่ายตั้งสมาธิกับตนเองได้ แม้จะรู้ว่าเธอตรงหน้ามองไม่เห็นก็ตามที
"ข้าไม่ใช่คนทั่วไปที่จะทนแผลแบบนี้ไม่ได้ ท่านวางใจเถอะ"
"แต่ว่า ข้าไม่อยากให้ท่านต้องทนเจ็บปวดแบบนี้นี่นา"
เมื่อเห็นท่าทีห่วงใยจนออกนอกหน้าของสาวเจ้า เด็กหนุ่มก็ถอนใจก่อนพยักหน้าให้อีกฝ่ายมั่นใจ
"ก็ได้ ถ้าท่านมีวิธีรักษาข้านะ"
เมื่อได้รับรู้ท่าทางกับคำตอบของอัศวิน นักวาดก็เผยยิ้มเบาบาง พลางหัวเราะเล็กน้อยด้วยความดีใจ
"แบบนี้สิ อัศวินของข้า"
ทว่าระหว่างทั้งคู่กำลังสนทนา ชายชราก็ส่งเสียงกระแอมออกมาจนสองลูกค้าหันหา จึงเห็นว่ากำลังยิ้มร่าออกมา
"ในฐานะที่พวกท่านช่วยข้าฆ่าทหารพวกนั้น สนใจชาขาวสักหน่อยไหม?"
"ขอบคุณ"
อิโระตอบรับพร้อมผงกหัวทันทีโดยไม่ทันคิด
"รอสักครู่ เดี๋ยวข้าเตรียมน้ำชาให้"
ทำให้เจ้าของร้านเดินออกไปทันใด ทำให้จูโนที่เกิดความสนใจหันไปหาเด็กหนุ่มหลังนั่งเก้าอี้เดิมของตน
"คราวนี้ท่านตอบรับไม่ลังเลเลยนะ ท่านอิโระ"
"ข้าจำได้ว่าชาขาวเป็นชาชั้นดีจากแดนสุริยัน ดินแดนที่ห่างไกลจากแดนสุวรรณ รับไว้คงไม่เสียหายเท่าไร"
"นั่นสินะ คงไม่เลวร้ายอะไร"
ไม่นานชายชราก็กลับมาพร้อมสามแก้วชากับกาน้ำ เขาเทน้ำชาสีอ่อนที่อุ่นจนมีไอลงแก้วให้สองลูกค้า แล้วเทใส่แก้วอีกใบไว้สำหรับตัวเอง ก่อนนั่งลงให้พร้อมดื่มกับอีกสองคน
"ชาขาวอย่างดีพร้อมดื่มมาแล้ว เอาละพวกท่าน ดื่ม"
ทั้งสามดื่มน้ำชาพร้อมกัน ให้ได้รสของเครื่องดื่มอันเบาบาง กับกลิ่นหอมของสมุนไพรอันกลบกลิ่นเลือดในร้านลงไป เมื่อพวกเขาพอใจในบรรยากาศจึงวางแก้วชาลง
"ช่างอร่อยเสียกระไร"
จูโนชื่นชมด้วยสีหน้าอมยิ้ม ก่อนหันมองนักดาบหนุ่มผู้นั่งฝั่งตรงข้ามที่กำลังยิ้มให้ไม่ต่างกัน
"ข้าบอกท่านแล้ว ชาชั้นดี"
"ท่านเจ้าของร้าน ในย่านนี้มีร้านยาบ้างไหม? ข้าต้องการใช้ยารักษาแผลไฟไหม้ของสหายข้าน่ะ"
"ร้านยา ออกจากร้านแล้วเลี้ยวขวาตามทาง ผ่านอาคารใหญ่สามหลังแล้วเลี้ยวซ้าย จะเจอร้านของหมอยาประจำย่านนี้ ข้าไม่ค่อยได้ไปหาเท่าไหร่ ไม่รู้ตอนนี้ย้ายไปที่อื่นแล้วหรือยัง"
"ขอบคุณท่านมากเลย ถ้าไม่ได้ร้านอาหารท่าน ข้ากับสหายคงเดินหิวไปอีกพักใหญ่"
"ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย ร้านข้าเองก็ไม่ค่อยมีใครมาเท่าไหร่ ถือเป็นโอกาสอันดี"
ระหว่างสนทนา ชายชราก็ชะงักเสมือนนึกอะไรได้ก่อนลุกออกไป แล้วกลับมาพร้อมถุงขนาดไม่ใหญ่เกินฝ่ามือเท่าไร กับตำราหนังสือขนาดเล็กที่สีซีดพอควร ก่อนวางลงโต๊ะของสองลูกค้าด้วยท่าทีดีใจ
"ไหน ๆ พวกท่านก็ช่วยอะไรหลายอย่างให้ข้า ก็อยากให้รับของพวกนี้ไว้ด้วยน่ะ"
อิโระหยิบกระเป๋ามาเปิดดูก่อน จึงรู้ว่าข้างในมีอะไร
"ถุงใบชา"
จูโนหยิบตำราขึ้นมาเปิดพักหนึ่ง แล้วจึงหันหาชายชรา
"ตำราสูตรก๋วยเตี๋ยว ท่านให้พวกเราทำไมเล่า?"
"จะว่ายังไงดี มันเป็นสมบัติล้ำค่าไม่กี่ชิ้นที่ข้ามีน่ะ ชาขาวอย่างดีที่ท่านก็รู้รสชาติ ตำราทำอาหารที่พวกท่านได้ลิ้มรส ข้าไม่มีอะไรดีกว่านี้จะตอบแทนที่ท่านช่วยข้าในวันนี้แล้ว"
"ก็ ได้"
อัศวินตอบรับอย่างไม่มั่นใจพร้อมเก็บถุงชาลงไป ขณะนักวาดเก็บตำราเข้าใต้เสื้อ ทันใดนั้นชายชราก็หันมองแท่นบูชาก่อนหยิบบางอย่างออกมา เป็นปืนปากแตรขนาดพอดีมือในสภาพไม่เลวร้ายเท่าไร พาให้จูโนแสดงอาการแปลกใจ
"ปืนเหรอ? ในแดนสุวรรณไม่น่ามีใครได้มาง่าย ท่านได้มันมาจากไหนเหรอ?"
"ข้าเคยเป็นทหารประจำย่านนี้มาก่อนน่ะ ก่อนเจเนซีจะนำกองทหารพยัคฆ์รัตนบุกเมืองนี้ เลยมีปืนเก็บไว้กับตัว เห็นแบบนี้สมัยก่อนข้ายิงโจรแม่นยิ่งกว่าจับวาง ถ้าเข้าป่าล่ากวางละก็ไว้ใจได้เลย ไม่เคยพลาด"
"แล้วทำไมท่านมาเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวล่ะ?"
"ข้าโดนลูกธนูปักเข่าน่ะ"
"โอ้ ข้าเสียใจด้วย"
"ไม่ใช่เรื่องแย่อะไรนักหรอก อย่างน้อยข้าก็ได้มีลูกสาว เคยมีน่ะ แต่ไม่ใช่เรื่องให้คิดมากอะไรหรอก แค่คิดว่าน่าจะได้เวลาเอาปืนนี่ไปลองยิงบ้าง สิบกว่าปีไม่เคยได้ใช้ ลองสักหน่อยคงไม่แย่"
"ท่านจะไปยิงอะไรรึ?"
"ก็สัตว์น่ะสิถามได้ จะใช้ปืนยิงใครมันไม่ดีงามหรอก ต้องใช้ล่าสัตว์เป็นกีฬาถึงจะดี"
"เช่นนั้น ก็ขอให้ท่านได้พบคุณค่าในการล่า ลาก่อน ท่านพ่อเฒ่า"
"โชคดีพวกเธอ"
จูโนลุกโค้งคำนับลาชายชรา อิโระจึงทำตามอย่างไม่ขัดใจ ก่อนพากันออกมาสู่ถนนใหญ่ จึงพบว่ากองซากถูกแผดเผากลายเป็นเศษผงเถ้าถ่าน กับกระดูกและเกราะโลหะที่หลอมละลาย ขณะเสื้อทั้งหลายกลายเป็นเพียงริ้วผ้าดำไม่มีชิ้นดี
"ข้าจำได้ว่าไฟของหม้อนั่นไม่ได้ร้อนพอให้ละลายโลหะได้นะ"
อัศวินทักขึ้นพลางยกโล่ติดแขนซ้ายที่รับหม้อไฟที่โยนใส่อย่างจังในสภาพดี ก่อนพิจารณาร่างไร้วิญญาณหน้าตน
"นั่นสินะ ข้าเองก็สงสัยไม่ต่างกันว่าเพราะอะไร"
นักวาดนั่งลงก่อนหยิบกองเถ้าบนพื้นขึ้นมา แล้วเทใส่ขวดแก้วที่ตนพกมาเก็บไว้ ก่อนรับรู้ได้ว่ามีอะไรตกอยู่ใกล้ เป็นเศษกระเบื้องเหลืองจากหม้อระเบิดเพลิงที่แตกแหลกสลาย กลายเป็นชิ้นเล็กน้อยให้เธอหยิบมาก่อนลุกขึ้น
"ท่านอิโระ ท่านยังมีหม้อเพลิงจากทหารเหลืออยู่ไหม? จะว่าอะไรไหมหากข้าอยากได้สักใบ?"
"ได้สิ จะเป็นอะไร? ทำไมเหรอ?"
อิโระถามตามสงสัย ขณะหยิบหม้อกระเบื้องให้สาวเจ้ารับไว้
"ข้าอยากรู้ส่วนประสมของมัน จะได้ทำเพิ่มให้ท่านใช้น่ะ"
"ด้วยความยินดี"
จูโนยิ้มเบาบางพลางยื่นมือขวาหาหนุ่มรูปงาม ให้มือขวาแตะแก้มซ้ายชายหน้าตน เข้าใกล้บริเวณเป็นแผลไฟไหม้ที่ได้ในการปะทะ ขณะตัวเขาเพียงยืนนิ่งมองสาวใหญ่ตรงหน้า เมื่อรู้สึกถึงไออุ่นชวนผ่อนคลายจากปลายฝ่ามือเธอ
"มาเถอะ อัศวินของข้า ข้าจะพาท่านไปรักษาแผลไฟนี้เอง"
ความสงสัยทำให้อัศวินยกนิ้วจับสัมผัสมือนักวาดบ้าง แล้วพูดตามคิดออกไปอย่างไม่ใส่ใจ
"ขอบคุณ ท่านจูโน"
"ท่านนี่เป็นคนประหลาดดีนะ ท่านอิโระ"
"ท่านก็เหมือนกันนั่นแหละ"
ทั้งสองต่างหัวเราะเบา ๆ ให้กันและกัน พลันเดินออกจากหน้าร้านอาหาร เดินตามถนนไร้คนเดินเรื่อยไป