สิบห้านาทีผ่านไป…
"คุณเซนเอาออส่วนด้วยไหมคะ เรามีหอยทอดแล้ว มีผัดไทยกุ้งสดห่อไข่แล้ว มีทะเลทอดกรอบแล้ว"
นี่เราจะมาทำการ์ดอวยพรกัน หรือจะมากินเลี้ยงกันครับป้า?
วันนี้ผมจะได้ทำการ์ดอวยพรให้ลูกชายผมกับพ่อผมไหมเนี่ย เหมือนคุณป้าตาโตเค้าจะมีไอเดียในการสั่งอาหารไม่จบสิ้น เอ หรือว่าพอสูงอายุแล้ว กระเพาะอาหารจะเริ่มหย่อนยาน เลยหิวมากกว่าคนปกติ
อือม์… น่าเห็นใจ
"คุณลลินสั่งตามสบายครับ ผมกินได้ทุกอย่าง" ผมพยักหน้าตามใจเธอไปงั้นๆ
ใจผมไม่ได้อยากมาด้วยเลยสักนิด แต่ขาเจ้ากรรมของผมมันกลับเดินตามเธอมาแต่โดยดี
เอ หรือว่าผมกำลังหิวเหมือนกัน
ป่าวหรอก อันที่จริงผมก็อยากหาโอกาสตอบแทนน้ำใจของเธอเรื่องที่จตุจักรด้วย แต่การจะเชิญไปเลี้ยงข้าวที่ร้านอาหารดีๆช่วงนี้เห็นทีจะยังไม่เหมาะ พฤติกรรมการร่ำลือของพนักงานในออฟฟิศนี้น่ากลัวเกินไป เลี้ยงข้าวกันในห้องออกแบบนี่แหละ น่าจะเป็นความบริสุทธิ์ใจที่เหมาะสมที่สุดแล้ว
"โอเค เรียบร้อยค่ะ ร้านนี้เจ้าดังเลย อยู่ไม่ไกลจากแถวนี้ด้วย รับรองมาเร็วและอร่อยเด็ดแน่นอนค่ะ"
คนตาโตเงยหน้าขึ้นมองผมหลังจากปฏิบัติภารกิจสำคัญเสร็จเรียบร้อย ท่าทางเธอมีความสุขที่ได้สั่งอาหารเยอะแยะ
ถือว่ามีเจ้ามือเลี้ยงล่ะสิท่า กินให้หมดด้วยละกันนะฮะ
เอ๊ะ หรือว่าผมให้เงินเดือนพนักงานน้อยไป ท่าทางคุณลลินเหมือนดีใจที่มีโอกาสได้กินฟรี
"ระหว่างรออาหาร ชั้นมีความภูมิใจอยากจะนำเสนอห้องออกแบบของเราให้คุณเซนได้ชมก่อน คิดว่าคุณเซนคงได้เดินผ่านๆห้องนี้ไปบ้างแล้ว ใช่ไหมคะ"
หลังจากออกมาจากห้างเอ็มควอเทียร์ เราก็ขึ้นรถไฟฟ้ากลับมาที่บริษัท แล้วคุณลลินเขาก็พาผมตรงขึ้นมายังห้องออกแบบแห่งนี้ ออฟฟิศของเราแยกส่วนที่เป็นห้องออกแบบมาอยู่ที่ห้องเล็กอีกด้านของชั้นสอง เนื่องจากห้องนี้ต้องการพื้นที่สำหรับเครื่องไม้เครื่องมือทำโมเดลจำลองรวมไปถึงอุปกรณ์ตัดเย็บสารพัด
ผมกวาดตามองไปรอบๆห้องอย่างสนใจ เคยเดินเข้ามาห้องนี้ในวันแรกที่เข้าทำงาน แล้วหลังจากนั้นก็ไม่ได้สนใจอีกเพราะมัวแต่ยุ่งอยู่กับเรื่องอื่น แต่วันนี้เจ้าของห้องเขาอยู่ด้วยและก็ยินดีพาทัวร์ห้อง ไหนมาดูกันซิว่าศักยภาพของทีมออกแบบทีมนี้มีอะไรบ้าง
"จักรเย็บผ้าตัวนี้ทันสมัยมากนะคะ เป็นระบบต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ เราสั่งมาจากญี่ปุ่น ทำลายปักได้หลากหลายรูปแบบ เอาไว้ออกแบบลายปักของพวกหมอนอิงที่เข้าคู่กับโซฟาของเราน่ะค่ะ"
หมอนอิงแบบปักรึ?
โอเค ดูย้อนยุคดี อันที่จริงผมก็เคยเห็นแบบหมอนอิงทุกแบบในแค็ตตาล็อกของบริษัทเราแล้วล่ะ ตอนที่เห็นยังคิดอยู่เลยว่า จะยกเลิกโปรดักต์นี้ดีไหม ทำไมจะต้องมาเสียเวลาปักอะไรเชยๆพวกนี้ด้วย
"ตอนนี้คนที่ใช้จักรตัวนี้คล่องที่สุดก็คงจะเป็นคุณเยาวลักษณ์น่ะค่ะ"
"อ่อ คนที่ชื่อเล่นว่าเยลลี่ใช่ไหมครับ" ไม่แค่เฉพาะชื่อจริง แต่ผมคิดว่าผมจำชื่อเล่นของพนักงานทั้งบริษัทได้ด้วย
"หูย คุณเซนจำชื่อจริงของน้องเยลได้ด้วย แบบนี้น้องเยลต้องปลื้มมากแน่ๆเลย" หน้าตาของคุณลลินเธอดูปลื้มใจแทนลูกน้องจริงๆ
แล้วก็ดูมีความสุข ยามที่ได้พูดถึงทีมงานของตัวเอง
"น้องเยลเย็บจักรเก่งมากค่ะ บ้านเค้าขายพวกอุปกรณ์ตัดเย็บอยู่ในสำเพ็ง พวกกระดุม ด้าย ไหม ซิป ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับการเย็บผ้า ว่างๆคุณเซนไปเดินเล่นในสำเพ็งด้วยกันไหมคะ จะชวนคุณเซนไปเดินดูร้านพวกนี้ด้วยกัน หลายครั้งที่เราได้ไอเดียออกแบบใหม่ๆจากการเดินดูของในร้านพวกนี้ล่ะค่ะ"
สำเพ็ง! โซฟาของบริษัทเราราคาไฮโซขนาดนั้น แต่ไอเดียได้มาจากสำเพ็งเนี่ยนะ?
"ชั้นเก็บไอเดียมาจากทุกที่แหละค่ะ มองไปรอบๆตัวของเรา ทุกอย่างก็เป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบได้ทั้งนั้น"
คุณลลินเธออ่านใจผมออกอีกแล้ว คงเห็นจากแววตาสงสัยของผมนั่นแหละ
"อื้ม ก็จริงครับ"
ผมตัดสินใจเก็บความคิดที่อยากจะโละทิ้งโปรดักต์หมอนอิงลายปักนี้เอาไว้ในใจก่อน เพราะเอ็นดูท่าทางของคนข้างหน้าที่กำลังลูบคลำจักรเย็บผ้าอย่างทะนุถนอมเบามือ
เค้าทำเหมือนว่าจักรเย็บผ้าตัวนี้มันมีชีวิตยังงั้นแหละ
อาการของคุณผู้หญิงตรงหน้าทำให้ผมนึกไปถึงคำพูดของคนญี่ปุ่นที่ว่า 'อิจิโกะ อิจิเอะ' ที่แปลว่า การพบเจอกันเพียงครั้งเดียว เพื่อนญี่ปุ่นหลายคนของผมยึดหลักนี้ในการดำเนินชีวิต พวกเขาคิดเหมือนกับว่า การที่เราได้เจอสิ่งของหนึ่งๆหรือใครคนหนึ่ง ใครจะไปรู้ นั่นอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตแล้วก็ได้ ดังนั้นเราควรจะปฏิบัติกับสิ่งๆนั้นหรือบุคคลนั้นๆให้ดีที่สุดในทุกครั้งที่ได้เจอ
หันกลับมามองที่คุณลลิน ตอนนี้เธอทำเหมือนกับว่าเธอจะได้เจอเจ้าจักรเย็บผ้านี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว หรือเธอจะล่วงรู้ความในใจของผม ว่าผมกำลังอยากจะยกเลิกเจ้าโปรดักต์ปักเย็บตัวนี้…
"แล้วโต๊ะเขียนแบบตัวใหญ่อย่างนี้ยังเก็บไว้ใช้กันอีกหรือครับ"
ผมหันไปทางโต๊ะตัวใหญ่ที่เอนทำมุมสี่สิบห้าองศาที่ตั้งอยู่ริมหน้าต่างนั่น
"เราใช้คอมพิวเตอร์ในการออกแบบกันเป็นส่วนใหญ่ก็จริงค่ะ แต่บางครั้งการวาดด้วยมือมันก็ทำให้หัวสมองเราแล่นได้ดีกว่าค่ะ ชั้นเอง บางครั้งที่ทำงานเครียดๆก็เบรกตัวเองจากงานแล้วมานั่งสเก็ตภาพเล่นๆที่โต๊ะตัวนี้บ้าง"
ตอนนี้คนตาโตเค้าเดินไปลูบคลำโต๊ะออกแบบนั่นด้วยความทะนุถนอมอีกแล้ว เอ้อ…
ว่าแต่คนอย่างคุณป้าเขาเคยเครียดกับการทำงานด้วยหรือ เห็นเขาเหมือนอารมณ์ดีตลอดเวลา คุยเล่นกับพนักงานทุกคนที่เดินผ่าน แล้วผมก็ไม่เคยเห็นเขาโวยวายกับใคร
…นอกจากกับผมคนเดียว
"สุกรีนี่มือเขียนแบบอันดับหนึ่งเลยนะคะ ความจริงแล้วเค้าจบสถาปัตย์ แต่ไม่รู้จักพลัดจับผลูยังไง แทนที่จะไปทำงานออกแบบบ้าน ก็กลายมาออกแบบเตียงนอน สุกรีเป็นคนที่ใช้โต๊ะตัวนี้มากที่สุด เค้าจะร่างแบบทุกสัดส่วนของเตียงอย่างละเอียดด้วยมือก่อนที่จะเอาไปลงโปรแกรมในคอม"
นั่นไง เผลอเป็นไม่ได้ ชื่นชมลูกน้องตัวเองอีกแล้ว แววตาระยิบระยับนั่นทำเอาผมรู้สึกแปลกๆยังไงไม่รู้
"นี่คุณเซนดูนี่ค่ะ สีไม้กล่องนี้เป็นกล่องแบบสองชั้น มี 120 เฉดสี ยี่ห้อ FABER-CASTELL รุ่นนี้ใช้วาดเป็นสีน้ำก็ได้นะคะ นี่ชั้นต้องฝากเพื่อนซื้อจากเยอรมันเลยล่ะคะ เมืองไทยไม่มีขาย คุณราเชนทร์แกใจดีอนุมัติให้ซื้อได้ เพราะชั้นบอกว่าสีไม้ที่คุณภาพดีระดับพรีเมี่ยมจะมีเนื้อสีที่ละเอียดกว่าสีไม้ทั่วไป มันช่วยให้ต่อมความคิดสร้างสรรค์ของเราแล่นฉิว นี่ตอนเอาบิลไปเบิกกับพี่เพ็ญแผนกจัดซื้อ แกบ่นแทบแย่"
ท่าทางตื่นเต้นเหมือนเด็กได้อวดของนั่นทำเอาผมแอบยิ้ม แล้วก็ตามเคย ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวของเธอมีความสำคัญไปหมด คุณเธอหยิบจับลูบไล้เจ้าบรรดาแท่งสีไม้นั่นด้วยแววตาอ่อนโยนราวกับเป็นลูกสาวลูกชายตัวน้อยๆ
"ราคากล่องละเท่าไหร่ครับเนี่ย"
ผมหยิบเจ้าแท่งไม้ขึ้นมาดูเล่นบ้าง มันพิเศษตรงไหนวะ ถึงกับต้องสั่งซื้อจากเยอรมันเชียวรึ
แต่จะว่าไป กล่องสีสองชั้นแบบนี้ก็ดูเท่ดี ผมนึกไปถึงเจ้าเรนลูกชาย เคยคุยๆกับพ่อเรื่องการเรียนของลูก เห็นพ่อผมเล่าว่าเรนมันมีแววทางศิลปะ วันนั้นตอนที่ผมเข้าไปในห้องของลูกก็เห็นมีภาพวาดกับอุปกรณ์สีต่างๆวางๆอยู่
"อือม์ ตอนที่ซื้อ กล่องละเกือบสองร้อยห้าสิบยูโร ตีเป็นเงินไทยก็เกือบหมื่นมั้งคะ"
ชิมัตตะ!"$%?=)8§&/(§$!!!
ถึงกับต้องอุทานว่า 'เชี่ยแล้ว' เป็นภาษาญี่ปุ่นกันเลยทีเดียว นี่บริษัทผมเสียเงินไปกับเรื่องไร้สาระขนาดนี้เชียวหรือ กะอีแค่สีไม้กระจอกๆพวกนี้เนี่ยนะ ราคาเกือบหมื่น!
"คุณเซนคะ ราคาอุปกรณ์ทำงานศิลปะน่ะ มันราคาแพงอย่างนี้เป็นปกติล่ะค่ะ"
อ้าว คุณป้าอ่านใจผมออกอีกแล้วนะฮะ
"ตอนเด็กๆผมจำได้ว่ากล่องละยี่สิบบาท"
"นั่นมันสีสำหรับเด็กๆเค้าใช้กันค่ะ มันแตกต่างกันมากนะคะ" เธอทำเสียงจิ๊จ๊ะราวกับว่าผมช่างไม่รู้เรื่องอะไรเสียเลย
'ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย…'
เฮ้ย เสียงเพลงชาติดังมาจากไหนวะเนี่ย
"อุ้ย น้องแกร็บมาส่งแล้วแน่ๆเลย ดีจัง กำลังหิวมาก" ท่าทางเธอตื่นเต้นดีใจ รีบเดินไปคว้าโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะใหญ่ใจกลางห้องขึ้นมาดู
อ่า มันคือเสียงเรียกสายที่ดังเข้ามือถือของเธอนั่นเอง
เอิ่ม ป้าครับ รักชาติขนาดนั้นเชียว…
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป…
ผมนั่งมองภาชนะหีบห่ออันว่างเปล่าของอาหารที่เราจัดการกันไปด้วยความพิศวง
ผู้หญิงวัยนี้เค้ากินดุเดือดอย่างนี้กันทุกคนเลยหรือ ที่ผ่านมาผมก็ไม่ได้มีเพื่อนผู้หญิงมากนัก มีบ้างที่ไปออกเดทกับสาวๆวัยเดียวกันหรือไม่รุ่นน้อง แต่ส่วนใหญ่เกือบทุกคนจะกลัวอ้วนและเน้นกินพวกสลัดกันมากกว่า แต่คุณคนนี้เค้าเน้นของทอดนะฮะ
ผมมองคนรูปร่างผอมแห้งตรงหน้าด้วยความสับสน กินเยอะขนาดนี้ทำไมยังผอม มีพยาธิ? ระบบเผาผลาญดีเกินไป? ไทรอยด์? หรือลงพุง?
"โอเคค่ะคุณเซน ได้เวลาเริ่มภารกิจที่เราตั้งใจกันไว้ตั้งแต่แรกเสียที"
ดีฮะดี ผมเกือบลืมไปเลยว่าเรากลับมาที่ออฟฟิศนี่ทำไมกัน
แล้วคุณลลินเธอก็คว้าอุปกรณ์โน่นนั่นนี่มาวางเต็มโต๊ะไปหมด ทำเอาผมงงงวยไม่รู้จะเริ่มตรงไหนก่อน
เฮ้อ! ผมกับงานศิลปะนี่ ไม่เข้าพวกกันอย่างแรง…
สองชั่วโมงผ่านไป…
"เอ๊! คุณลลินอย่าซนสิครับ ผมกำลังตั้งใจแปะอยู่"
ผมแอบตีมือผอมแห้งนั้นเบาๆ เขาจะมาวุ่นวายกับชิ้นงานของผมทำไมเนี่ย
"ก็คุณเซนทำผิดนี่คะ แผ่นสีดำนั่นตัดเตรียมไว้จะเอามาเป็นผมของคุณปู่ แล้วคุณเอาไปแปะเป็นกางเกงทำไมคะ นี่เราจะใช้กระดาษลายสก็อตนี่ทำเป็นกางเกงค่ะ"
"อ้าว ผมลืมไป แหม คุณลลินก็น่าจะเขียนบอกไว้ด้วยนะฮะ ว่ากระดาษสีอะไรเอามาตัดทำอะไร"
คนข้างๆของผมเขาใช้ดินสอร่างรูปของพ่อผมกับรูปของเจ้าลูกชายผมคร่าวๆบนการ์ดใบยักษ์ทั้งสองใบนั่น แล้วก็เป็นหน้าที่ของผมที่ต้องตัดกระดาษแปะลงไปเป็นส่วนๆ และผมก็ต้องเป็นคนตัดแปะเองหมดทุกส่วน
"คุณเซนจะได้บอกคุณพ่อและคุณลูกชายของคุณเซนได้เต็มปากเต็มคำไงคะ ว่าคุณเป็นคนทำเองจริงๆ" คุณตาโตเธอว่างั้น
น่าแปลกที่เธอไม่ยักจะถามไถ่ซักไซ้ถึงเรื่องลูกชายของผม ผมรู้ว่าคนในออฟฟิศเค้าคงพูดลับหลังกันถึงเรื่องครอบครัวของผมอย่างแน่นอน แต่วันนี้ผมสังเกตได้ว่า คุณลลินเค้าดูจะระมัดระวังในการพูดเรื่องนี้กับผม เค้าแค่ถามคร่าวๆว่าลูกชายผมอายุเท่าไหร่ รูปร่างหน้าตาเป็นยังไง …แค่นั้น
หรือเค้ากลัวว่าผมจะสะเทือนใจ?
"แล้วผมสีฟ้าของคุณลูกชายนี่ ทำไมคุณเซนตัดแหว่งไปแหว่งมายังงั้นล่ะคะ ว้า ใช้การไม่ได้เลย งั้นเปลี่ยนใหม่ดีกว่า ใช้สีไม้ระบายแทนละกันค่ะ"
ซวยแล้ว เหมือนผมจะทำอะไรไม่เคยถูกใจคุณป้าตาโตเค้าเลย
"นี่ตอนเด็กๆคุณเซนทำยังไงกับชั่วโมงศิลปะคะเนี่ย" สายตานั่นดูแคลนผมเอาซะมากๆ
"อ้อ คุณมะพร้าว เอ่อ พ่อบ้านผม เค้าเป็นคนทำไปส่งครูให้ผมครับ" ผมสารภาพไปตรงๆ คนข้างๆเค้าเห็นฝีมือผมขนาดนี้แล้ว คงไม่มีอะไรต้องปิดบังกัน
"อื้ม มิน่า งั้นวันนี้คุณเซนต้องตั้งใจมากกว่านี้แล้วค่ะ มาค่ะ เดี๋ยวชั้นสอนระบายสีไม้ให้เป็นสีน้ำ ดูตัวอย่างก่อนนะคะ"
อื้อ ท่าทางที่คุณลลินเค้าจับดินสอสีไม้แล้วระบายนั้น ดูๆไปก็เท่ดีว่ะ
เฮ้ย! นี่ผมเป็นอะไรไป คนเรามันเท่ตอนจับสีไม้ได้ด้วยเหรอวะ
แต่ผมก็เผลอเอียงคอนั่งมองดูเธอระบายสีอย่างเพลิดเพลิน…
สามชั่วโมงผ่านไป…
"เฮ้ย สีไม้มันกลายเป็นสีน้ำได้จริงๆด้วย" นับเป็นความตื่นเต้นเล็กๆน้อยๆในชีวิตผมเลยทีเดียว
"คุณลลินดูครับ เป็นไงฝีมือผม"
ผมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่โชว์รูปเจ้าเรนที่ผมระบายผมสีฟ้าของลูกชายเองกับมือให้คนข้างๆดู ไม่คิดว่าตัวเองจะมีฝีมือทางด้านศิลปะกับเค้าเหมือนกัน ทำไมสีไม้ของคุณลลินนี่มันระบายง่ายจังเลยวะ ผมจำได้ว่าตอนเด็กๆสีที่ผมใช้ระบายมันไม่ได้ติดกระดาษง่ายๆอย่างนี้นี่หว่า
"โอ้โห นี่มันฝีมือระดับที่ปิกัสโซ่เห็นแล้วต้องตะลึง โมเนต์เห็นแล้วต้องน้ำตาไหล อาจารย์เฉลิมชัยต้องร้องว้าว และอาจารย์ถวัลย์ดัชนีต้องขนลุก" นัยน์ตากลมโตนั้นระยิบระยับขึ้นมายามเมื่อเห็นผลงานของผม
แม้จะรู้ว่าเป็นคำป้อยอที่โอเว่อร์แปลกๆ แต่ผมก็หันไปยิ้มตาหยีให้กับคนตาโตนั้น
"เป็นไงล่ะ คุณควรจะภูมิใจในตัวประธานบริษัทของเราให้มากๆนะครับ"
"จริงๆคุณเซนยิ้มตาหยีแบบนี้ก็น่ารักดีนะคะ น่าจะยิ้มบ่อยๆ คุณเยาวลักษณ์เธอคงหัวใจละลาย"
เอ้อ…
ผมหุบยิ้มโดยทันที ชมกันซึ่งๆหน้าแบบนี้
เขิน…
"เห็นมั้ยคะบอกแล้ว สีของแพงมันย่อมคุณภาพดีกว่าค่ะ" นัยน์ตากลมโตนั้นระยิบระยับขึ้นมาอีกแล้ว
"อื้อ แต่เกือบหมื่นบาทนี่ มันแพงไปมั้ยครับ" ผมก็ยังคงไม่เห็นด้วยที่บริษัทเราจะมีของเล่นราคาแพงขนาดนี้ให้พนักงาน
"ใช่ค่ะ นี่ก็คิดอยู่เหมือนกัน ว่ามันแพงมาก" อ้าว ยอมรับซะง่ายๆงั้น
"อุ้ย ตายแล้ว! ลืมไปเลย" แล้วคุณเธอก็ทำเสียงตกอกตกใจ
"ฮะ? ลืมอะไรฮะ?"
"หนวดปลาหมึกชุบแป้งทอดค่ะ ตายละ นี่จะเหยิมไปหรือยังเนี่ย"
อะไรคือ 'เหยิม'?
"โอย ค่อยยังชั่ว ยังกรอบอยู่" สาวติสท์เปิดกล่องพลาสติกใสที่วางอยู่ข้างๆ ล้วงมือเข้าไปหยิบหนวดปลาหมึกทอดออกมาเข้าปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย
อร่อยคนเดียวไม่พอ เธอหันมาทางผม ยื่นเจ้าหนวดทอดนั่นมาให้ผมอีกชิ้น
"คุณเซนไม่ลองชิมหนวดทอดของเจ้านี้ดูหน่อยหรือคะ อร่อยมากนะคะ"
นอกจากอาหารเมนคอร์สหลากหลายชนิดที่เธอสั่งมา แล้วเราทั้งสองคนพากันกินหมดเกลี้ยงแล้ว เธอก็ยังไม่ลืมที่จะสั่งของกินเล่นตบท้ายมาอีก
"ไม่ล่ะครับ ผมมือเปื้อนกาว ขี้เกียจลุกไปล้าง"
"อ้าว เปื้อนได้ไงคะเนี่ย กาวก็แค่บีบออกจากหลอด"
"ก็มันทาได้ไม่สุดกระดาษ ผมก็ต้องเอามือป้ายๆสิครับ เพื่อความเรียบเนียน"
"โอเค งั้นชั้นป้อนให้ก็ได้ค่ะ อ้าปากกว้างๆค่ะ"
ป้อนหนวดปลาหมึก?
เอ้อ…
ผมมองดวงตากลมโตนั้นอย่างจับผิด ถ้าประโยคนี้มาจากน้องพลอย ผมเดาได้ว่าเธอมีจุดประสงค์อะไร แต่ถ้ามาจากคุณป้า…
ผมจ้องใบหน้าซื่อๆนั้นนิ่งๆ ดูไม่น่ามีพิรุธอะไรว่ะ
"ทำไมคะ หรือว่ารังเกียจมือชั้น อุ้ย ลืมไป โทษทีค่ะ เดี๋ยวหาส้อมก่อน" แล้วเธอก็วุ่นวายหาส้อมที่เผื่อว่าจะมากับถุงใส่กล่องปลาหมึกนั้น
"ไม่ต้องใช้ส้อมหรอกครับ ป้อนมาเลยครับ" ผมตัดสินใจเอ่ยไป
เพราะดูท่าทางจากที่เธอเคี้ยวกร้วมๆ เจ้าหนวดนี่ท่าจะอร่อยมาก และผมก็ไม่ได้กินหนวดปลาหมึกทอดมาหลายสิบปีแล้ว
"อื้อ อร่อยมากครับ"
หลังจากงับเจ้าหนวดทอดมาจากมือของเธอ ผมก็ต้องยอมรับในรสชาติอันกลมกล่อมนี้จริงๆ
"เห็นมั้ยคะ บอกแล้ว ถ้าจะเอาอีกบอกนะคะ ป้อนได้เรื่อยๆ เราต้องรีบกินให้หมดค่ะ เสียดาย มันใกล้จะเหยิมแล้ว"
โอเคฮะ มันใกล้จะเหยิมแล้ว ต้องรีบช่วยกันกิน
"งั้นป้อนมาได้เรื่อยๆเลยครับ"
นานแค่ไหนแล้ว ที่ผมไม่มีคนป้อนอะไรให้กิน…
เริ่มชักจะไม่แน่ใจ ว่าที่ผมยอมให้คนตาโตเธอป้อนเจ้าหนวดทอดให้ผมกินรัวๆ เป็นเพราะหนวดปลาหมึกชุบแป้งทอดเจ้านี้เค้าอร่อยจริงๆ
หรือเป็นเพราะจู่ๆ…
ผมก็เกิดอาการอยากอ้อนใครซักคน
…