บทที่ 824 : อักษรพู่กัน ‘บทกวีชิ่นหยวนชุน ; หิมะ’ (กลาง)
เริ่มกิจกรรม
ด้วยเหตุผลเพราะหัวหน้าสถานีมาด้วยตนเอง จึงมีระดับผู้บริหารในห้องกิจกรรมมากมาย พนักงานที่เป็นผู้ดำเนินรายการจึงดูค่อนข้างสงบปากสงบคำอย่างเห็นได้ชัด ยิ้มพลางประกาศกติกา : “ท่านผู้บริหารทุกท่าน เพื่อนร่วมงานทุกคน อรุณสวัสดิ์ครับ หิมะตกเป็นลาง บอกว่าปีหน้าจะอุดมสมบูรณ์ CCTV ก็จัดงานงานประกวดอักษรพู่กันสำหรับพนักงานประจำปีเช่นเคย ซึ่งครั้งนี้ก็เต็มไปด้วยของรางวัลมากมาย รางวัลสำหรับที่หนึ่งได้แก่คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก ที่สองโทรศัพท์มือถือ ที่สามเงินสดมูลค่าห้าร้อยหยวน ขอเชิญเหล่าผู้เข้าร่วมแข่งขันมาวาดฝีไม้ลายมือกันที่โต๊ะด้านหน้าได้เลยครับ”
แต่กลับไม่มีใครขยับ
ทุกคนมองหน้ากัน คุณมองฉันฉันมองคุณ สุดท้ายก็พากันมองไปทางหัวหน้าสถานี
“หัวหน้าสถานีครับ เชิญคุณก่อนเลย”
“ใช่ค่ะหัวหน้าสถานี เชิญค่ะๆ”
“ถ้ารู้แต่แรกว่าหัวหน้าสถานีก็แข่ง ผมคงไม่แข่งด้วยหรอก ลายมือของผมไม่มีทางเทียบชั้นหัวหน้าได้แน่นอน ไม่ขอแสดงดีกว่า”
หัวหน้าสถานีฟังดังนั้น ก็ยิ้มพลางกล่าวเกรงใจ “พวกเธอก่อนเลย”
ผู้อำนวยการ CCTV2 หัวเราะหึหึ : “ถ้าคุณไม่เขียนก่อนล่ะก็ ผมว่าคนอื่นคงไม่กล้าเขียนหรอกครับ”
หัวหน้าสถานีเห็นว่าไม่มีคนลงมือจริงๆ จึงได้แต่หัวเราะ “ตกลง งั้นฉันขอแสดงฝีมือต่ำต้อยก่อน ถือว่าโยนอิฐล่อหยก[1]ก็แล้วกัน ต้องรอดูพวกเธอทีหลังแล้วล่ะนะ” พูดพลาง หัวหน้าสถานีก็มาหยุดอยู่ที่จุดกึ่งกลางหน้าโต๊ะตัวที่ใกล้ที่สุด หยิบพู่กันมาปัดทำความสะอาดอย่างเอาใจใส่เป็นอันดับแรก จากนั้นจึงยกพู่กันขึ้น จุ่มน้ำหมึกที่วางอยู่ด้านข้างจนชุ่ม
หมึกชั้นดี จิตวิญญาณแน่วแน่ ลากลงบนกระดาษเซวียน
ราวกับมังกรผงาดบินหงส์ร่ายรำ!
ตวัดเขียนจบในม้วนเดียว!
คนมากมายเอ่ยชื่นชม
“เยี่ยม!”
“ร้ายกาจ!”
“ลายมือสวย!”
“พื้นฐานล้ำลึกสมกับเป็นหัวหน้าสถานี!”
คนในสถานีส่วนใหญ่ต่างรู้ว่าลายมือของหัวหน้าสถานีเขียนได้ไม่เลว ตรงออฟฟิศโซนหนึ่งที่ชั้นบน ยังมีภาพอักษรของหัวหน้าสถานีแขวนไว้ เป็นที่รู้กันว่าหัวหน้าสถานีชื่นชอบอักษรตัวหวัด ดังนั้นทุกคนจึงไม่แปลกใจอะไร พากันยกยอประจบประแจงเช่นเคย
จางเย่ได้เห็นดังนั้นก็รู้สึกประหลาดใจ เขารู้ว่า อักษรหวัดเขียนยากที่สุด ปกติหากไม่ใช่คนที่รอบรู้ลึกซึ้งในด้านอักษรพู่กัน ก็มักจะเขียนตัวหวัดออกมาไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงชะโงกไปดูบ้าง จากนั้นก็ต้องอึ้งไป ไม่พูดอะไร และกลับเข้าที่อย่างเงียบเชียบ
ฮาฉีฉีสังเกตเห็นเขา “มีอะไรรึเปล่าคะผู้กำกับจาง?”
“ไม่มีอะไร” จางเย่ตอบอย่างสงบ
อักษรหวัดนี่ไม่ค่อยรอดน่ะสิ บอกไม่ได้ว่าน่าเกลียด แต่ไม่มีอะไรให้ชื่นชมเลยแน่นอน ทว่าคิดๆไปก็ใช่ คนแค่ชอบอักษรพู่กันเป็นงานอดิเรก เขียนออกมาอย่างนี้ได้ก็ไม่เลวมากแล้ว แต่ไม่ผ่านมาตรฐานของคนเชี่ยวชาญการเขียนอักษรพู่กันเลยสักนิด
เขียนอักษรจบแล้ว
เป็นคำง่ายๆ——น้ำนิ่งไหลลึก
ทุกคนปรบมือ!
หัวหน้าสถานีวางพู่กันลง ยิ้มพลางโบกมือ “งั้นๆแหละ งั้นๆ”
เจียงหยวนยิ้มแป้น : “ถ้าอย่างคุณยังเรียกว่างั้นๆ อักษรของคนอื่นคงดูไม่ได้แล้วล่ะครับ”
สวีอี้เผิงรวบรวมความกล้ากล่าว : “หัวหน้าสถานีครับ ผมเป็นตัวแทนทีมรายการ ‘ออกมาเต้น’ อยากจะขอภาพลายมือของคุณนี้ไป ไม่ทราบจะได้รับเกียรติเช่นนี้หรือไม่?”
ผู้จัดการคนหนึ่งของCCTV3 ก็แย่งพูด : “หัวหน้าสถานี มอบให้พวกเราเถอะ!”
“หัวหน้าสถานี!”
หลายคนอยากได้ภาพลายมือนี้
หัวหน้าสถานีหัวเราะออกมา หลังจากมองทุกคน แล้วจึงชี้ไปที่สวีอี้เผิง “เสี่ยวสวีพูดก่อน งั้นมอบให้เขาก็แล้วกัน”
คนเหล่านั้นทำท่าเสียดายไม่หาย
สวีอี้เผิงกับเฉินเหยี่ยและคนอื่นๆเก็บอาการไว้ไม่อยู่ “ขอบคุณหัวหน้าสถานี” แล้วหันไปสั่งลูกน้อง “เดี๋ยวตอนกลับ เอาไปแขวนไว้ที่ออฟฟิศพวกเราด้วยล่ะ!”
การมอบอักษรของหัวหน้าสถานีนี้ ทำให้เหยียนเทียนเฟยกับคนของช่องสิบสี่มีท่าทีที่แตกต่างกัน
พูดก่อนเลยให้ก่อน? ก็มีเหตุผลอยู่หรอก แต่อาจจะมีความนัยอย่างอื่นอีกหรือเปล่า? ทว่าไม่ว่าจะอย่างไร คนในที่นี้ทุกคนล้วนมองออก ว่าหัวหน้าสถานีกับทางสถานีเอ็นดู สวีอี้เผิง เฉินเหยี่ย และพวกทีมรายการ ‘ออกมาเต้น’ มาก มากเสียจนคนตาบอดก็ยังรู้เลย
ช่วยไม่ได้นะ เจียงหยวนหันไปมองที่เหยียนเทียนเฟย
มีคนอีกไม่น้อยลอบสังเกตสีหน้าของจางเย่
ทว่าท่าทางของจางเย่กลับเรียบเฉย ดูเหมือนไม่ได้รับผลกระทบใดๆทั้งสิ้น
ข้างนอกยังมีคนทยอยมาอยู่ ตอนนี้เอง เฉินหั่วผู้อำนวยการช่องสิบเอ็ดกับรองผู้อำนวยการก็มาถึง เมื่อเห็นจางเย่ที่อยู่ใกล้ประตู ทั้งคู่ก็พลันสีหน้าไม่ค่อยดี พูดให้ชัดก็คือ พวกเขาเป็นคนแรกๆสุดของ CCTV ที่ได้ข้องแวะกับจางเย่ เมื่อตอนจัดงานประกวดเซี่ยงเซิงระดับใหญ่ในครานั้น จางเย่ก็เป็นผู้เข้าร่วมประกวดของพวกเขานั่นเอง ผลก็คือการเกิดอุบัติเหตุกับทางช่องในงานประกวดใหญ่นั้นสารพัดอย่าง ทำให้จางเย่กับเหยาเจี้ยนไฉแจ้งเกิดเป็นตัวก่อเรื่องทั้งคู่ ต้องรู้ว่า หัวหน้าสถานีCCTVเป็นถึงสมาชิกแถวหน้าของ SARFT ด้วย นี่เป็นสถานะที่สถานีโทรทัศน์อื่นไม่อาจมีได้ และเป็นตำแหน่งภายในที่มีเส้นพิเศษ แต่กลับกลายเป็นว่า การประกวดเซี่ยงเซิงดันโดนคำสั่งหยุดถ่ายทอดจากSARFT เสียได้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพินาศวอดวายขนาดไหน ดังนั้นกับจางเย่แล้ว เฉินหั่วย่อมไม่มีทางประทับใจอะไรอยู่แล้ว
ภายในCCTV คนที่ไม่ชอบจางเย่นั้นมากมายนัก!
“ใครจะต่อ?”
“พร้อมกันไหม?”
“งั้นก็แยกกันเขียนเลยนะ?”
“หึหึ อย่าเกรงใจกันเลย เขียนเถอะ!”
โต๊ะประลองมีทั้งหมดสามตัว ทุกคนค่อยๆเข้าไปรุมล้อม ถ่อมตัวพลาง วางพู่กันลง คนข้างๆเอ่ยชมสองสามประโยค จากนั้นก็เปลี่ยนคน
เหยียนเทียนเฟยเข้าไป แล้วเขียนเพียงอักษรเดียวว่า——หาญ! (勇) ด้วยตัวกึ่งหวัด เป็นอักษรขนาดใหญ่ พอดีกับกระดาษเซวียนทั้งแผ่น อักษรของเขาก็เป็นเช่นตัวเขา ขอบเขตชัดเจน มุมแต่ละเส้นแต่ละขีดล้วนห้วนห้าว แต่กลับมีเอกลักษณ์เป็นพิเศษ
เจียงหยวนเองก็เข้าไปอย่างเริงร่า อักษรของเขาดูเหมือนจะเป็นกึ่งหวัดแต่ก็คล้ายจะเป็นตัวบรรจงเล็กน้อย วิธีขีดบางตัวก็ดูจะใช้สไตล์อักษรหวัดเข้าไปด้วย ค่อนข้างไม่ไปทางเดียวกัน ระดับย่ำแย่ สวีอี้เผิง เฉินเหยี่ยและหลายคนที่อยู่ข้างๆก็ยังชื่นชม สรรเสริญเยินยออยู่นานสองนาน แต่สำหรับจางเย่พอเห็นแล้วกลับขำหนัก อักษรของเจียงหยวนคนนอกจะมองไม่ออกก็ช่างเถิด แต่เขาจะมองไม่ออกได้อย่างไรว่าดีหรือห่วย?
ภายใต้แรงเชียร์จากแฟนหนุ่มถงฟู่ หวงตันตันแห่งช่องสิบสี่ของพวกเขาก็เข้าไปบ้าง อักษรของหวงตันตันออกมาดีเกินคาด เธอเขียนกลอนเจ็ดของกวีเอกโบราณคนหนึ่งของโลกนี้ อักษรงดงาม ปราณีตบรรจง ทำให้จางเย่มองตาเป็นประกาย
จางเย่มองไปทางถงฟู่ “แฟนนายเขียนสวยขนาดนี้เลยเหรอ?
ถงฟู่สำลักแล้วรีบบอก : “แฟนอะไรกันล่ะครับ เพื่อนกันทั้งนั้น เพื่อนครับเพื่อน”
ที่จริงใครๆต่างก็รู้พวกพวกเขาทั้งสองมีความสัมพันธ์ฉันคู่รัก ทว่าเรื่องรักๆใคร่ๆในออฟฟิศนั้นค่อนข้างเข้มงวด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ยอมรับง่ายๆ
ต่อมา ผู้เข้าแข่งขันส่วนใหญ่เขียนเสร็จหมดแล้ว
“ผู้กำกับสวี”
“คุณก็มาลองไหม?”
“ให้พวกเราได้เรียนรู้ที!”
ได้ยินเพียงคนในทีมรายการ ‘ออกมาเต้น’ ส่งเสียงคะยั้นคะยอ เรตติ้งใกล้จะคลอดอยู่รอมร่อ พวกเขามั่นใจเต็มที่ เมื่ออยู่ภายใต้อารมณ์คึกคักจึงพูดมากขึ้นมา อีกทั้งตอนนี้ ใน CCTV ทั้งระบบ เรตติ้งพวกเขาก็สูงที่สุด ลงทุนใหญ่สุด ผู้บริหารคาดหวังมากสุด พวกเขาย่อมทะนงเป็นธรรมดา พวกรายการอื่นๆที่เรตติ้งไม่ค่อยดี ปกติคงเสียงดังอย่างนี้ไม่ได้
สวีอี้เผิงหัวเราะ “งั้นผมขอแสดงฝีมือหน่อยแล้วกัน!”
ก้าวมาข้างหน้า
จรดพู่กัน
ลากเส้นอักษร
ขยับพู่กัน ปรากฏสิ่งที่เขียนว่า ‘บทกวีชิ่นหยวนชุน ; เหมย’
ชิ่นหยวนชุน(ใบไม้ผลิในสวนชิ่น)นั้นไม่ใช่วันใบไม้ผลิในสวนชิ่นแต่อย่างใด หากเป็นบทกวีอันเลื่องชื่อ เฉกเช่นชื่อลำนำ เป็นรูปแบบบทกวีในสมัยโบราณ เพียงคนอื่นเติมคำลงไปเป็นอันใช้ได้ เหมือนกับ ‘ลำนำทำนองวารี’ ที่จางเย่เคยเขียนเอาไว้ที่งานประกวดในวันไหว้พระจันทร์ ที่โลกนี้ก็มีบทกวี ‘ชิ่นหยวนชุน’ เช่นกัน และเรียกในชื่อเดียวกัน พื้นฐานประวัติศาสตร์ส่วนนี้ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไป
บทกวีนี้สวีอี้เผิงไม่ได้เป็นคนแต่งเองแน่นอน ตัวเขาไม่มีพรสวรรค์เช่นนั้น ‘ชิ่นหยวนชุน ; เหมย’ บทนี้ เป็นบทกวีที่นักกวีโบราณชื่อเสียงไม่นับว่ายิ่งใหญ่นักประพันธ์เอาไว้ ไม่ได้มีชื่อเสียงเลย ดังนั้นคนที่เคยเห็นจึงไม่มาก ต่างจากโลกของจางเย่ งานประพันธ์ที่สืบทอดมาอย่าง ‘ชิ่นหยวนชุน’ ในโลกนี้มีไม่มาก ในบรรดา ‘ชิ่นหยวนชุน’ นับร้อยบทกลายมาเป็นที่นิยมต่ำ ด้วยผลงานน้อยนิด ดังนั้นหากไม่ใช่ผู้ที่ศึกษาทางด้านนี้ ก็อาจจะไม่มีทางรู้ว่ามี บทกวี ‘ชิ่นหยวนชุน’ เช่นนี้คงอยู่ด้วยซ้ำ ‘ชิ่นหยวนชุน ; เหมย’ อาจจะยังพอมีชื่อเสียงในตัวเองอยู่บ้าง เพราะในประวัติศาสตร์เคยมีเรื่องราวอ้างอิงถึงมันอยู่ประโยคหนึ่ง
สวีอี้เผิงกวัดแกว่งพู่กันแต่งแต้มหมึก
คนที่อยู่ข้างๆชื่นชมไม่หยุดปาก!
“อักษรสวย!”
“ผู้กำกับสวีเขียนอักษรสวยจริง!”
“ เป็น ‘ชิ่นหยวนชุน ; เหมย’ ที่เยี่ยม!”
กลอนยาวมาก สวีอี้เผิงเพ่งสมาธิเขียนอยู่เนิ่นนาน อาจจะเพราะมีผู้บริหารอยู่เต็มไปหมด อาจจะเพราะหัวหน้าสถานีเพิ่งมอบอักษรให้พวกเขาเป็นพิเศษ เขาจึงอยากแสดงฝีมือ ลงทุนเขียนจนเหงื่อผุดพรายเต็มหน้าผาก——แน่ล่ะ ก็ห้องนี้มันร้อนนี่หว่า
“อักษรสวย กลอนก็เยี่ยม!”
“กลอนบทนี้ฉันรู้จัก ไม่ค่อยดัง แต่ฉันกลับชอบเป็นพิเศษ ถ้าไม่ใช่ว่าไม่ปรากฏชื่อคนแต่งนะ กลอนบทนี้ต้องดังกว่านี้แน่!”
“ฉันก็ชอบนะ!”
“ฉันเพิ่งเคยเห็นกลอนนี้ครั้งแรกนี่แหละ ดีจริง!”
“จะไม่ดีได้ไงล่ะ ทุกครั้งที่มีแข่งคัดอักษรพู่กันของพนักงาน ขอแค่ผู้กำกับสวีเข้าร่วมเถอะ ยังไงก็ได้ที่สามแน่ๆ!”
เขียนจบ
สวีอี้เผิงกล่าวกับทุกคน : “น่าขำแล้ว”
ทุกคนก็ปรบมือขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
แม้แต่หวงตันตันก็ปรบมืออย่างฉงน ถึงจะนับว่าอักษรของตัวเธอเองนั้นไม่เลว แต่เมื่อเทียบกับสวีอี้เผิงแล้วยังห่างไกล โดยเฉพาะบทกวีที่เลือกมานี้ก็ดี ทว่าเมื่อนึกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรู หวงตันตันก็รีบเก็บมือทันที ไม่ชื่นชมแล้ว
จางเย่เองก็งุนงง ไม่คิดว่าสวีอี้เผิงจะมีลายมือสวยขนาดนี้ อาจจะเป็นเพราะเขาไม่เคยเจอคนเขียนแบบนี้มาก่อนกระมัง แต่เขาเพิ่งเห็นว่าในบรรดาคนเหล่านั้น ลายมือของสวีอี้เผิงน่าจะดีที่สุดแล้ว
หัวหน้าสถานีเดินไปหา ก้มหน้าพินิจอยู่นาน แล้วพยักหน้าหนักๆ “ลายมือเยี่ยม!”
สวีอี้เผิงกล่าวถ่อมตัว : “เทียบคุณไม่ได้หรอกครับ”
หัวหน้าสถานีส่ายหน้าพลางหัวเราะ : “เก่งกว่าฉันเยอะแล้ว เคยเห็นนายเขียนอักษรก่อนหน้านี้สองสามปีก่อน พื้นฐานอักษรพู่กันนายนี่ ในวงการงานอดิเรกคัดอักษรพู่กัน น่าจะจัดว่าเยี่ยมยอดที่สุดแล้ว!”
เจียงหยวนเสริม “กับมืออาชีพก็ไม่ด้อยไปกว่ากันเลยล่ะ!”
พูดจาแฝงความนัย?
มืออาชีพ?
มีคนมองมาทางจางเย่
ฮาฉีฉีลังเลเล็กน้อย แอบถามจางเย่เบาๆว่า : “ผู้กำกับจางคะ ดูเหมือนอักษรของสวีอี้เผิงจะไม่เลวจริงๆนะ คุณ……” เธอไม่รู้เรื่องอักษรพู่กัน ดังนั้นจึงไม่ค่อยเข้าใจ
พวกจางจั่ว ถงฟู่เองก็ไม่รู้เจาะจงว่าอักษรอะไรคือดีอะไรคือแย่ เมื่อได้ฟังหัวหน้ายกย่องอักษรของสวีอี้เผิงอย่างสูง พวกเขาจึงลังเลใจขึ้นมาบ้างเช่นกัน
จางเย่ฟังแล้วก็ยิ้มๆ “ก็ไม่เลว”
เสี่ยวหวังอุทาน : “งั้นอักษรของคุณล่ะคะ? เทียบกับเขาแล้วเป็นไง?”
เทียบกับเขา?
เทียบกับสวีอี้เผิง?
จางเย่ไม่เอ่ยคำใด เพราะความจริงแล้วไม่รู้ควรจะตอบเช่นไร เพราะเขาคิดว่าถ้าตอบคำถามนี้ คงทำให้ความรู้สึกของเขาด้อยค่าลงไป!
************
[1] 抛砖引玉 โยนอิฐล่อหยก / โยนกระเบื้องล่อหยก เป็นหนึ่งใน 36 กลศึกสามก๊ก หมายถึง เสนอสิ่งตื้นเขินเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีกว่า