"เชงมา จากนี้ลูกต้องเดินทางจากเมืองแปรไปยังกรุงหงสาวดี เพื่อรับใช้ดูแลองค์หลานหลวงมังสามเกียด..."
"พ่อได้ฝากฝังลูกไว้กับตำหนักพระมหาอุปราชาแลพระนางเมงพยูแล้ว ทั้งสองจะอนุบาลเจ้าเป็นอย่างดี ขอให้ลูกอ่อนน้อมถ่อมตน เชื่อฟังทั้งสองพระองค์เสมือนหนึ่งที่ปฏิบัติต่อพ่อที่นี่..."
"หน้าที่พระพี่เลี้ยงและพระสหายเป็นหน้าที่อันมีเกียรติยิ่ง ลูกรัก... พ่อขอให้ลูกจงรับใช้ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและสุดความสามารถเถิด..."
เชงมาระลึกถึงรับสั่งของพระเจ้าเมืองแปรผู้เป็นพระบิดาได้เป็นอย่างดี เมื่อครั้งเดินทางมาหงสาวดีเวลานั้นเขาอายุเพียงห้าขวบปี ก่อนหน้านั้นเชงมาเติบโตขึ้นอยู่ในการดูแลของมารดาผู้เป็นเพียงพระสนมเล็กที่มีพื้นเพสามัญ แต่ทั้งสองได้รับความรักอุปถัมภ์ค้ำชูอย่างอบอุ่นจากบิดาประมุขเมืองออกแลพระอัครมเหสีคู่บัลลังก์
เชงมาออกเดินทางมาด้วยความมุ่งมั่นในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย เขาใช้เวลาระยะแรกในการปรับตัวเข้ากับราชสำนักหงสาวดี แม้นมีพระบิดาเป็นถึงพระเจ้าเมืองออกแต่เชงมาก็เจียมตนอย่างยิ่งในบ้านหลังใหม่ ตำหนักวังหน้าเลี้ยงดูเมตตาเจ้าตัวสมดั่งคำมั่นที่เคยให้ไว้ ฝ่ายเด็กชายเองก็คอยรับใช้เลี้ยงดูหลานหลวงมาตั้งแต่พระองค์ประสูติกาล หลานหลวงมังสามเกียดเป็นพระราชโอรสองค์แรกของตำหนัก เชงมาจึงกลายเป็นพระสหายเคียงข้าง เป็นพี่เลี้ยงคนสนิทตั้งแต่แบเบาะ แน่นอนว่าการเลี้ยงทารกมิใช่เรื่องง่ายดายแต่พี่เลี้ยงหน้าใหม่ก็พยายามเรียนรู้ช่วยชาววังหน้าอย่างยิ่งยวด หลานหลวงแข็งแรงดี ไม่มีพระโรคเจ็บไข้มากเหมือนพระพี่นางองค์โต ทุกคนต่างโล่งใจขึ้นเป็นลำดับ เชงมาก็เช่นเดียวกัน
ทุกอย่างก็เห็นจะปรกติดี กระทั่งหน่อเนื้อกษัตริย์เริ่มเติบใหญ่ และแผลงฤทธิ์ขึ้นตามชันษา...
"ออกไป! อยู่มาตั้งนานแล้วยังทำงานไม่ได้ความ เป็นเช่นนี้ก็ออกไป!" หลานหลวงคำรามพลางชี้พระดัชนีไปนอกหน้าต่าง กระทืบพระบาทก้องไปทั่ว ทรงขับไล่บริวารหญิงผู้หนึ่งออกจากตำหนัก นางกำนัลร้องไห้วิ่งหนีเตลิดด้วยความเสียใจ นางเป็นคนที่สิบแล้วของเดือนนี้และเป็นมิตรสหายบริวารที่เหลืออยู่น้อยนิด ซึ่งนับวันก็น้อยลงไปทุกที
หลานหลวงเติบโตขึ้นมาอย่างเพียบพร้อมไปด้วยลาภยศสรรเสริญ สมบัติทรัพย์บริวารไม่มีหลานหลวงผู้ใดดีเลิศเสมอเหมือนเท่าพระองค์ แต่ทว่าเมื่อพระชนม์ชันษาเติบใหญ่กลับมีพระอารมณ์ร้อนดั่งไฟ เอาแต่พระทัยเป็นที่ตั้ง หากทรงขัดเคืองพระทัยสิ่งใดแม้แต่เล็กน้อยสิ่งนั้นพลันต้องมีอันเป็นไป
เมื่อพระบิดาพระองค์ออกนอกราชวังเพราะกิจการศึก หน้าที่รับมือดูแลจึงตกแก่พระชายาเมงพยูซึ่งขณะนั้นก็ทรงดูแลเจ้าหญิงน้อยทั้งสองที่มีพระชนม์ไล่เลี่ยกันอยู่ด้วย เจ้านางทำหน้าที่ราชมารดาอย่างแข็งขัน ร่วมกับบ่าวในตำหนักทุกคนคอยเอาใจใส่พยายามดูแลโอรสน้อย แต่ความก็ไม่เป็นผล อุปนิสัยเจ้าอารมณ์ขององค์หลานหลวงก็ดูไม่ละลดประการใด ไม่มีใครทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่าเกิดจากสิ่งใด จนบางคราพระชายาต้องปรึกษามหาเทวีเจ้าอยู่เป็นนิจ เจ้าย่าผู้เป็นใหญ่ยังเคยรับสั่งให้เลิกลองตามพระทัยหลานหลวงเสีย พอพระนางเมงพยูกระทำตามอารมณ์ร้ายก็แปรไปเป็นร้ายที่ลึกล้ำหนักข้อขึ้น ไม่ว่าจะลองกุศโลบายใด จนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงใดเกิดขึ้น
"พระองค์อย่าทรงกริ้วเลยพระเจ้าค่ะ โปรดเมตตาเถิด..." เชงมาพยายามห้ามปรามเจ้านายของเขา แต่เมื่อสบสายพระเนตรเกรี้ยวกราดพี่เลี้ยงก็ต้องก้มหน้าหลุบลงต่ำ พูดด้วยเสียงเบาลงและใจเย็นเป็นที่สุด "อย่างน้อยให้นางกลับมาช่วยเตรียมเปลี่ยนฉลองพระองค์เถิด อย่างไรวันพรุ่งเราต้องออกนอกวังเช้านี้ด้วยนะพระเจ้าค่ะ"
"พอเลย พอ ...เจ้าพ่อก็ไม่อยู่ เจ้าแม่กับเจ้าพี่รองก็ไปเยี่ยมเจ้าพี่หญิงใหญ่อีกแล้ว เรียนก็น่าเบื่อนัก ซ้ำเจ้าย่าก็คอยตำหนิ โอ๊ย! พอกันที!"
หลานหลวงหันองค์กลับไปประทับบนพระแท่น หยิบผ้าทรงมาคลุมวรกายไว้มิด
"ข้าจะไม่ไปไหนแล้วทั้งนั้น วันพรุ่งทำบุญก็ไม่ไป ข้าป่วยใจเหลือกำลัง เจ้าทูลเจ้าแม่ตามนี้เสีย เชงมา""
"ป่วย!?...ให้ทูลพระชายาเช่นนั้นหรือพระเจ้าค่ะ?...มิได้นะพระเจ้าค่ะ วันพรุ่งทั้งมหาเทวีเจ้า พระพี่นางทั้งสองก็เสด็จทำบุญพร้อมหน้าด้วยนะพระเจ้าค่ะ" เชงมาพยายามเอาใจอย่างสุดความสามารถ เมื่อเห็นบริวารอีกคนคลานเข่าเข้ามาพร้อมเครื่องหอมก็รีบกราบทูลด้วยความใจเย็น "หลานหลวง...อย่างไรโปรดลองกำยานหอม ให้พระทัยสงบก่อนเถิด..."
"น่ารำคาญจริง เอาไปทิ้งซะ! หอมเหินกระไร แค่ได้กลิ่นก็อยากสำลักนัก!" มังสามเกียดใช้พระบาทถีบผ้าทรงออก ม้วนเป็นก้อนแล้วปาใส่
"หลายวันมานี้ไม่เคยได้ดั่งที่ต้องการเลย ไม่มีใครเข้าใจข้าสักคน... เห็นหน้าพวกเจ้าแล้วหงุดหงิดจริง ๆ ขัดใจข้าจนนอนไม่หลับ เชงมา! เจ้าจงไล่อ้ายที่เอาเครื่องหอมออกไปเสีย ออกไปให้พ้นตำหนักเดี๋ยวนี้!"
บริวารทั้งหลายได้ยินรับสั่งก็พากันตัวสั่นงันงก บางคนลอบเหลือบมองเชงมาด้วยความอ้อนวอนขอให้เขาช่วยเหลือ เด็กชายวัยสิบปีในฐานะพี่เลี้ยงคนสนิทจึงพยายามรวบรวมความกล้าทั้งสิ้นทั้งปวงอีกหน เพื่อกราบบังคมทูลขึ้น
"พระองค์...โปรดพิจารณาใหม่ด้วยพระเจ้าค่ะ ได้โปรดเถิดพระองค์ เช่นนี้รั้งแต่จะทรงผลเสีย และ..."
"หรือว่าเจ้าเองก็อยากถูกไล่ออกไปเหมือนเจ้าพวกนั้นฤๅ เชงมา!" หลานหลวงพิโรธจ้องด้วยดวงเนตรเขม็ง "ไปแล้วไปลับ กลับเมืองแปรของเจ้าไปเลย ว่าอย่างไร?"
"กระหม่อม..." ดวงตาของพี่เลี้ยงเบิกกว้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น เชงมาถึงกับพูดอันใดไม่ออกทั้งสิ้น
ในอดีตเพื่อนร่วมอภิบาลองค์หลานหลวงอย่างหน่องจาเองก็ที่เพิ่งมาอนุญาตลาบวชให้แก่นักรบผู้เป็นปู่ เขายังถูกหลานหลวงไล่ตะเพิดออกไปเสียวุ่น เรื่องนี้เป็นเหตุที่รุนแรงที่สุดเท่าที่เคยเผชิญ อาจเพราะหน่องจาก็รับใช้ใกล้ชิดมานาน พอมาขอลาหลานหลวงพยายามรั้ง เมื่อไม่ได้จึงตรัสตัดขาดเสียย่อยยับ...เหตุนี้ทำเอาเชงมาหวาดหวั่นที่สุด กระทั่งหน่องจายังถูกขับไล่ไสส่ง แล้วตนเองเล่า?
ถ้าหากเขาถูกไล่ออก ตัวเขาจะไปที่ไหนได้อีก ต้องบากหน้ากลับไปหาบิดามารดาอย่างนั้นหรือ?
"ถ้าเจ้าอยากจะไปก็ไสหัวไปเลย"
หลานหลวงดึงม่านกั้นพระแท่นออกมา วันนั้นเชงมารู้สึกเจ็บไปถึงทรวง ราวกับโลกใบนี้ได้ร้าวราน น้ำตาปรากฏซึมคลอ เชงมาคลานเข่าออกมา คอตก เขาดึงสติประคองตัวด้วยการออกมาส่งพลพรรคบริวารร่วมตำหนักที่ถูกขับไล่ บ่าวนางกำนัลต่างก็เสียใจระคนเห็นใจคนที่อยู่ต่อ แต่ก่อนเชงมายังรู้สึกมีครอบครัว แต่เวลานี้เขาเหมือนอยู่ตัวคนเดียวเดียวดายในโลก
ข้าทำหน้าที่สุดความสามารถแล้ว ข้าจะไม่ไหวแล้ว เจ้าพ่อ เจ้าแม่ ...นี่มันสุดที่ข้าจะทานทนแล้ว เชงมารำพึงอยู่ในใจ
พี่เลี้ยงเด็กคุกเข่าลง ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา เขาข่มเสียงสะอื้นเพราะเกรงเจ้านายจะตวาดมาซ้ำอีก ราตรีนั้นเขาได้แต่ระลึกถึงพระบิดามารดา พวกท่านจะต้องเสียใจมากหากทราบว่าเขาเป็นเช่นนี้ ภารกิจที่มอบหมายไม่สำเร็จผล เพื่อนสหายบริวารคนแล้วคนเล่าก็ไม่เหลือ เชงมาเอาแต่ทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ ตลอดทั้งคืน จึงกระทั่งเขาเผลอผล็อตหลับไป
...
Have some idea about my story? Comment it and let me know.
Like it ? Add to library!
I tagged this book, come and support me with a thumbs up!