การสอนของท่านราชครูเป็นไปตามขนบธรรมเนียมประเพณีหงสา แต่ทว่ามันทำให้เจ้าชายรู้สึกหน่ายพระทัยอย่างที่สุด
เนื้อหาตำราที่เน้นการท่องจำถูกนำมาใช้ในสอน ช่างแสนโบราณคร่ำครึและเกือบทั้งหมดก็ล้วนเป็นเนื้อหาเรื่องราวที่เจ้าชายทรงร่ำเรียนมาแล้วทั้งสิ้น ด้วยความคุ้นเคยมาแต่เก่าก่อนเจ้าชายก็สามารถตอบทุกคำถามได้อย่างแม่นยำ แต่พระองค์ก็ไม่ได้มีความสำราญอะไรกับการตอบคำถามปฐมวัยเช่นนี้ไม่ พระองค์จึงลอบส่งสายตากับนาถะยา ก่อนเสไปทางราชครูผู้เฒ่า
เพียงแค่ดวงจิตวูบผ่านร่างคนสอนก็รู้สึกเย็นยะเยือกนาถะยากระทำเช่นนั้นไม่นานราชครูก็สะท้านไม่ไหว การสอนจึงเลิกเร็วก่อนกำหนด
แม้จะมากันน้อยนิดแต่ช่วงที่เป็นประโยชน์แก่เจ้าชายเมงจีสวาที่สุดก็คือช่วงเข้าไปผูกสัมพันธ์กับบรรดาศิษย์ร่วมวิชา ส่วนมากก็อายุเทียบเท่าหรือน้อยกว่าพระองค์เล็กน้อย
การสนทนานั้นเรียบง่ายแฝงด้วยความเป็นมิตร ชวนผ่อนคลายและลดความหวั่นเกรง แม้บรรดาราชนิกูลและลูกหลานขุนนางในราชวังหงสาอาจจะยังไม่เปิดพระทัยให้พระองค์มากเท่าใดนัก แต่กับเหล่าขุนนางหรือราชนิกูลเจ้าฟ้าทั้งหลายก็ยินดีเมื่อเจ้าชายทรงปฏิบัติดีด้วย การสานสัมพันธ์ยังต้องดำเนินต่อไปจากนี้หลายปี
แต่พันธมิตรในยามนี้ก็ยังไม่เพียงพอสำหรับฐานอำนาจของพระองค์ในอนาคต ...ดังนั้นพันธมิตรนอกวังก็เป็นเรื่องจำเป็นเช่นกัน
ในยามบ่ายหลังจากเจ้าชายฝึกขี่ม้าพร้อมพระพี่นางมังอะถ้วย เจ้าชายก็ตั้งใจขออนุญาตพระนางราชมารดาเพื่อออกนอกวัง แต่ทว่าเมื่อกลับมาถึงตำหนัก นางกำนัลของเสด็จย่าของ พระองค์ผู้เป็นอัครมเหสีก็อยู่พร้อมหน้าด้วย เจ้าหญิงน้อยซึ่งนำหน้าอยู่จึงลากเสด็จน้องแอบย่องเดินเข้าไป เพื่อฟังถ้อยสนทนา
"ถึงจะฉุนละหุก แต่หม่อมฉันก็เข้าใจเพคะ" พระชายาเมงพยูตรัส ข้างพระนางมีเจ้าหญิงองค์โตเมงอะจี้รับฟังอยู่ด้วย
"ดีแล้วที่พวาสีอยู่ด้านนอก จึงรีบแจ้งนกบอกไวเช่นนี้ ที่เหลือเราคงต้องจะจัดแจงโดยเร็ว" พระนางอตุลสิริมหาเทวีเอ่ยก่อนสังเกตเห็นหลานทั้งสองด้านนอก จึงผินพระพักตร์มาทางนั้น "พวกหลานก็ไม่ใช่ตัวเล็กตัวน้อยแล้ว แอบกระไรตรงนั้น ร่ำเรียนวิชากันเสร็จแล้วฤๅ"
เมื่อถูกจับได้เจ้าชายเจ้าหญิงทั้งสองก็เดินเข้ามาปรากฏตัวในตำหนัก สนทนากันเพียงชั่วครู่เจ้าชายก็มาขอพระอนุญาตจากพระมารดา เมื่อพระนางได้ทรงทราบว่าพระโอรสจะเสด็จออกนอกวังสายพระเนตรก็หันไปสบกับพระอัครมเหสี พระนางผู้เป็นใหญ่แย้มพระสรวลก่อนตรัสกับหลานชายว่า
"เจ้าเป็นหลานชายคนโต จะไปไหนนอกวังก็ต้องมีราชองครักษ์ติดตามไปด้วย แต่จังหวะเหมาะทีเดียว ย่ามีเรื่องหนึ่งที่อยากจะไหว้วานให้เจ้าช่วย"
"กิจอันใดหรือพระเจ้าค่ะเสด็จย่า"
"มีคณะมหาวานิชสหายเก่าแก่จากแดนไกล พวกเขาเจริญโภคทรัพย์เทียบเคียงมหาราชา ซึ่งย่าให้การอุปถัมภ์กำลังจะมาที่นี่ พวกเขาเป็นพันธมิตรช่วยเหลือราชวงศ์เรามาช้านาน ไม่ใช่คนอื่นคนไกลจึงอยากจะรับรองด้วยดี อีกไม่นานก็คงใกล้เข้ามาถึงเมืองหงสา" พระอัครมเหสีชี้แจ้ง แววตาพระนางมองหลายชายอย่างมีนัยยะสำคัญ
"มังสามเกียด ในเมื่อเจ้าจะออกไปนอกวัง ย่าก็อยากให้เจ้าเป็นตัวแทนผู้ไปต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองสักหน่อยเถิด"
"เป็นหลานจะเหมาะฤๅเสด็จย่า เพียงแค่พ่อค้าให้เป็นเจ้ากรมวังหรือเสนาก็น่าจะเพียงพอพระเจ้าค่ะ"
"จริงด้วยเพคะเสด็จย่า อีกอย่างให้น้องสามไปลำพังก็มิควร ให้หม่อมฉันไปด้วยดีหรือไม่เพคะ" เจ้าหญิงองค์เล็กกราบทูล เจ้านางส่งสายพระเนตรหาพี่หญิงองค์โตด้วยคล้ายจะเชื้อเชิญร่วมวงไพบูลย์พากันออกวัง แต่พระพี่นางองค์ใหญ่ส่ายพระพักตร์ ยิ้มกรุ่มแทนคำตอบปฏิเสธ
"เจ้าทั้งสองเหมาะและเปี่ยมศักดิ์มากกว่าผู้ใด หากจะไปพร้อมกันย่าก็มิขัด" เสด็จย่าของสองราชนิกุลยกยิ้มในความเฉลียวของทั้งสองแต่ก็รับสั่งแก้ทางอย่างรัดกุม
"หากมีบ่าวเราตามไปดูแลย่าก็วางใจ จำไว้ว่าย่าให้หลานไปพบก็เพื่อซื้อใจ หากเห็นว่ามีเหล่าเราไปต้อนรับพวกเขามีใจรับข้อเสนอสนับสนุนเส้นทางการค้าในแดนใต้พวกเจ้าเพียงต้อนรับขับสู้และพาไปยังที่พัก เสร็จแล้วจงมาแจ้งเรื่องแก่ย่า ไปเตรียมตัวเถิดหนาทั้งสองคน"
เมื่อทั้งสองพระองค์รีบน้อมรับคำพระนางแล้วเดินไปตระเตรียม ขณะที่นาถะยากำลังจะออกไปตามเจ้าชาย บทสนทนาก็แล่นผ่านเข้าหูดวงจิตที่ไม่มีผู้ใดเห็น
"กับน้องหญิงมังอะถ้วย หลานยังว่าพอทำเนา แต่เสด็จย่าเห็นควรให้น้องสามไปพบฤๅเพคะ เช่นนั้นความจะไม่เสียหรือเพคะ..." เจ้าหญิงเมงอะจี้เอ่ย คล้ายแทนใจพระราชมารดาซึ่งก็นึกเช่นเดียวกันไปเป็นนัยที กระนั้นผู้ปกครองสตรีวังหลังหงสากลับโบกหัตถ์อย่างไม่สะทกสะท้าน
"ย่าถึงให้ไปทั้งสองอย่างไรเล่าเมงอะจี้ ผู้หนึ่งถึงอยากเที่ยวนอกวังก็ไม่ละทิ้งหน้าที่ ย่อมกำกับไม่ให้เสียความ..." พระอัครมเหสีตอบหลานสาวองค์โตด้วยมองหลานทั้งสองทะลุปรุโปร่ง
"...ส่วนอีกผู้หนึ่ง ช้าเร็วก็ต้องเจอกันอยู่ดี ในเมื่อจังหวะต้องกันเช่นนี้ บางทีอาจเป็นเรื่องของบุญพาวาสนาส่งก็เป็นได้"