ป๊าอุ้มตวันกับหม่อนไว้คนละข้าง ไม่เหลือมือเหลือแขนไว้แบกอย่างอื่นแล้ว เลยจำเป็นต้องมอบหน้าที่ขนของลงรถไว้กับโรม
เท้าเขาพึ่งจะพ้นธรณีประตูเข้ามาได้ไม่ถึงก้าว ของจากโซนของเล่นในงานยังวางเต็มทางเดิน ได้ยินเสียงฮัมเพลงของลูกคนโตเบา ๆ จากห้องครัว เดาว่าคงกำลังจัดขนมที่ซื้อมาใหม่เข้าตู้เย็น ด้วยคิดว่าวันนี้จะเป็นประสบการณ์ที่จบลงด้วยดี ถูกสลักไว้เป็นทรายสีทองของความทรงจำ
ป๊าใช้หลังดันประตูห้องนั่งเล่น เจอกับสามีที่กำลังกวาดสายตามองว่าจะเอากระบองเพชรไปตั้งประดับไว้ตรงไหนดี ร่องรอยของรอยยิ้มแห่งความสุขยังไม่เลือนหายจากใบหน้าเขา เมื่อเห็นสีหน้าผู้เข้ามาใหม่เหลือแต่ความสับสน
ลูกคนเล็กเงียบผิดปกติ ถึงหม่อนจะไม่เข้าใจสิ่งที่ผู้ใหญ่พูดออกมาแม้แต่คำเดียว แต่ทารกน้อยสัมผัสได้ถึงบรรยากาศหม่นหมองของผู้คนรอบตัว มือเล็ก ๆ กำคอเสื้อของผู้เป็นพ่อแน่น
ลูกคนกลางมีน้ำหยดน้อยไหลเคลือบแก้วตา เขามักเหลือบขึ้นมองหน้าพ่อที่เคารพเป็นระยะอย่างหาคำอธิบาย ป๊ามีเพียงรอยยิ้มที่ดูฝืน ๆ ส่งไปให้ ด้วยไม่อยากให้มีลูกคนไหนเข้ามารับรู้ด้วยเลย อยากกางปีกปกปิดไว้จากบรรยากาศเลวร้ายและความทุกข์ทุกประการ
"เป็นไรไหนบอกแด๊ดซิ ปวดท้องรึหนุ่ม" สามีรีบปลอบตวันที่เริ่มส่งเสียงสะอื้น สลับกับส่งสายตาสงสัยถามคนรัก "ป๊า…?"
"แด๊ดดูลูกเดี๋ยว ป๊าต้องไปช่วยโรมขนของก่อน" เขาส่งลูกให้คู่ชีวิตอุ้มไว้ทั้งสองคน ก่อนสาวเท้าออกไปที่จอดรถเดี๋ยวนั้น
โคมไฟตรงเสาซุ้มอัญชันเป็นสีออกเหลือง รวมกับไฟจากในรถเป็นสีนวล ๆ ควรจะให้บรรยากาศสงบสุข แต่เมื่อมองผ่านสายตาของผู้พึ่งผ่านเหตุการณ์เลวร้าย มันกลับเหมือนสีของท้องฟ้าก่อนพายุใหญ่ถาโถม
โรมกำลังยกถุงต้นไม้ลงจากหลังรถ เขาจมอยู่ในความคิดของตัวเองจนพึ่งสังเกตว่ามีคนเดินเข้าใกล้
"ไม่ต้องขนไปถึงสวนหรอก พิงริมผนังไว้ก็ได้"
ชายหนุ่มพยักหน้าทำตามโดยอัตโนมัติ
ป๊าไม่อยากพูดออกไปตรง ๆ มันขัดกับธรรมชาติของเขาอย่างร้ายแรง แต่เหตุการณ์ระทึกขวัญก่อนหน้ามีผลกับเขามาก เหมือนว่าอันตรายได้คลืบคลานเข้ามาใกล้ครอบครัวขึ้นทุกวัน ถ้าไม่รีบตัดสินใจอาจเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้
"กลับไปได้แล้วล่ะ"
"แต่ของยังไม่หมดเลย"
"ที่เหลือฉันขนเอง ฉันรบกวนเธอมามากพอแล้ว เธอกลับบ้านไปเถอะ"
ชายหนุ่มจับสีหน้าของผู้สูงอายุกว่าได้ในทันที รับรู้ถึงความจริงจังในน้ำเสียง บ้านที่ว่าไม่ได้หมายถึงบ้านสวนหลังนี้แน่ ๆ
"ค-ครับ?"
"เธอไม่จำเป็นต้องมายุ่งเลย ดีไม่ดีจะตกอยู่ในอันตรายเปล่า ๆ ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นอีกบ้าง"
สีหน้าโรมดูเหมือนคนที่รับเรื่องทั้งหมดต่อไปไม่ไหวแล้ว พึ่งผ่านการมีความสุข โกรธจัด หวาดกลัว แล้วก็สับสนมึนงงเหมือนโดนเอาค้อนปอนด์ทุบหัว ป๊ารู้สึกสงสารหนุ่มรุ่นลูกอยู่เหมือนกัน แต่เขาจำเป็นต้องทำ
"กลับไปอยู่กับครอบครัวเธอเถอะ มาอาศัยบ้านคนอื่นนานขนาดนี้พ่อแม่ไม่ว่าหรือไง"
ตอนนั้นเองแด๊ดผลักประตูออกมาพอดี ป๊าหันหน้าไปจะบ่นเสียงแหวให้กลับไปดูลูกแต่อีกฝ่ายตอบก่อนอย่างรู้ทัน "หลินดูน้องได้" พอหมดเหตุผลจะไล่สามีออกไป เขาเลยเพิกเฉยกับคำถามของคู่ชีวิตแทน "ป๊า นี่มันเรื่องอะไรกัน ตวันพึ่งจะเลิกร้องไห้"
ป๊ายกแขนขึ้นกอดอก รู้ตัวว่าอีกฝ่ายต้องไม่ชอบเรื่องที่กำลังจะได้ยินแน่ ๆ แต่ความโศกเศร้าอะไรจะรอลูกอยู่บ้างถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป หักดิบวันนี้ย่อมดีกว่าปล่อยให้เป็นเนื้อร้ายเรื้อรัง
"บอกตามตรงเลยนะ ฉันไม่สนับสนุนเรื่องที่เธอกับตวันจะคบกัน"
คำว่าไม่สนับสนุนของป๊าเหมือนบังคับให้แยกจากเสียเดี๋ยวนั้น แล้วไม่ต้องได้พบได้เจอกันอีกเลยตลอดกาล โรมมีสีหน้าเหมือนพึ่งกลืนยาขม ความอึ้งกับความเข้าใจตีรวนเต็มประสาท
"เพราะเรื่องที่ลานจอดรถเหรอครับ ที่พวกเวรมาหาเรื่องมันไม่ใช่ความผิดอะไรของป๊าหรือของผมเลย"
"ฉันคิดมาตั้งนานแล้ว เรื่องของเธอสองคนมันเป็นไปไม่ได้หรอกนะ อย่างเธอน่ะ—สักวันนึงก็ต้องเลิกกัน" ป๊าใจอ่อนเกินที่ให้โรมมายุ่งด้วย นึกเสียใจที่ปล่อยเลยตามเลยมาตั้งนาน "กลับไปเถอะ ที่ผ่านมาขอบคุณมาก"
"จะให้เลิกเพราะคุณคิดว่าเป็นไปไม่ได้เหรอครับ ขอโทษด้วยที่ผมทำไม่ได้" ชายหนุ่มเริ่มเสียงดัง ท่าทางของเขาเปลี่ยนเป็นแน่วแน่ไม่ยอมแพ้
แด๊ดพยายามห้ามทัพแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ ยังอึ้งอยู่กับท่าทีของคนรัก สับสนกับความโกรธเคืองมุ่งมั่นอันยากจะพบเจอ มันไม่เคยโผล่พ้นผิวน้ำ พอปะทุขึ้นมาทีก็ถึงขนาดออกปากไล่คนสำคัญของลูกออกจากบ้าน
"ชีวิตคู่มันไม่ใช่แค่หัวแข็งเข้าชนแล้วหวังว่าทุกอย่างจะออกมาดี พวกเธอไม่ได้มีกันแค่สองคนในโลก ยังไงก็ต้องอยู่ร่วมกับสังคม ต้องทนขี้ปากชาวบ้าน—"
"เพราะผมจะกลัวขี้ปากชาวบ้าน??" ชายหนุ่มหัวเราะเสียงไร้ความขบขัน ได้ยินแต่ความขมขื่น "ผมพึ่งเห็นคนโดนหักคอแต่ยังอยู่ตรงนี้ต่อ! ผมยังอดทนไม่พออีกเหรอครับ!"
ผู้เริ่มบทสนทนาเตรียมจะฉะฝีปากอีก เจ้าบ้านมีสิทธิ์ไล่แขกให้ไสหัวไปได้โดยไม่ต้องอธิบายเหตุผลอยู่แล้ว แต่ค้นพบว่าตัวเองอับจนคำพูด
หัวแข็ง ไม่ยอมแพ้ เด็กสมัยนี้มันรั้นนัก สองคนต่างวัยถึงได้จ้องตากันนิ่งไม่มีใครยอมใคร พ่อตากอดอกมองเย็นใส่ ลูกเขยผู้เกาะตำแหน่งไม่ปล่อยก็สีหน้าแข็งกร้าวพอกัน
"หักคออะไรนะ…"
"เราโดนพวกทวงค่าที่จอดหาเรื่องครับแด๊ด แล้วจู่ ๆ ก็มีคนนึงเหมือนโดนผีเข้า หันหัวจนคอจะหักต่อหน้าต่อตาเลย" โรมสรุปเรื่องฟ้องรวดเร็วก่อนป๊าจะบอกให้หุบปาก
"เห้ย ห่าตาเถร" คำอุทานยืนยันป๊าว่ายังไงเรื่องนี้ก็ปิดไม่มิด ได้แต่หวังว่าสามีจะไม่ทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่จนลูก ๆ ขวัญเสียก็พอ
คนอาวุโสสุดในวงเกาหัวแกรก แด๊ดไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเรื่องอันตรายเหนือธรรมชาติถึงได้เกี่ยวกับจะไล่โรมออกจากบ้าน ยิ่งเชื่อมไปถึงการสั่งให้ลูกเลิกกับแฟนยิ่งสับสน
"ป๊าห่วงเอ็งจะเป็นอันตรายไปด้วยเลยพยายามไล่?"
โรมก็เคยคิดถึงความเป็นไปได้นี้ในทีแรก เขาดูรู้สึกผิดขึ้นมา เหมือนจะเอ่ยแก้ไขบางอย่างแต่แด๊ดส่ายหน้าห้ามไว้
"เอ็งไปช่วยหลินมันปลอบน้องหน่อยไป เดี๋ยวแด๊ดคุยให้ เรื่องง้อนี่ของถนัด"
"ไม่ได้โกรธสักหน่อย"
ป๊าทำหน้าบึ้งใส่ข้อสรุปของสามี เสียงแข็งอยากจะตอกกลับว่าความห่วงลูกของเขามันไร้เหตุผลตรงไหน ไม่รู้ทำไมน้ำเสียงมันออกมาดึงดันแบบคนปกป้องตัวเอง
ความรู้สึกหงุดหงิดอันชัดเจนมันหนักจนปฏิเสธไม่ได้ ป๊าพ่นลมหายใจออกแรง เบื่อสามีที่ไม่เข้าใจ เบื่อตัวเองที่ไม่สามารถอธิบาย จึงตัดสินใจเดินหนีจากวงสนทนาแล้วอ้อมสวนไปขึ้นบ้านจากตรงนอกชานแทน ตั้งใจหนีหน้าจากลูก ๆ ที่คงยังอยู่ตรงห้องนั่งเล่น และคนที่ตามง้อแน่วแน่แม้ตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด
ร่างใหญ่เบียดเข้าห้องนอนได้คล่องจนน่าทึ่ง
"คิดอะไรอยู่ หืมม" สามีพยายามจะเข้ามากอด ป๊าเบี่ยงตัวหนี ปัดทุกความช่วยเหลือหรือความห่วงใยของเขา
"ไม่อยากคุยแล้ว"
"อยากให้ปลอบบนเตียงก็ไม่บอก"
ผู้ฟังชักสีหน้าใส่ รู้สึกอยากทะเลาะ หงุดหงิดกับคำพูดงี่เง่า ด้วยเสียงอ่อนโยนเหมือนเขาเป็นเด็กอมมือ โกรธกับความโลกสดใสของสามีที่มองไปทางไหนก็เห็นความสุขไปหมด ทำไมถึงไม่เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ทำไมเห็นดีเห็นงามไปกับทุกอย่างจนน่าโมโห
ตอนนั้นเองที่เขาโดนกอดจากข้างหลัง ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นโถน้ำผึ้งที่หมีตัวใหญ่มาเกาะ เพียงแต่โถมีชีวิตใบนี้สามารถดุด่าได้
"ไม่เอา หนัก ออกไป"
"ป๊าก็อย่ารั้งแด๊ดไว้สิ"
งงกับคำพูด เขาสิคนที่โดนจับอยู่จนไปไหนไม่ได้ เหมือนมีถุงหนาหนักทับอยู่บนบ่า
"รั้งไว้ตอนไหนฮึ แด๊ดสิอย่ามาเกาะแกะ"
"รั้งด้วยความรัก"
ป๊าเบือนหน้าหนี เลิกดิ้นรนจะผลักสามีออก เบนไปพิจารณารูปแบบรอยย่นของผ้าปูที่นอนแทน ความเงียบปกคลุมหนักแน่น
ตอนนั้นเองที่แด๊ดจับสัญญาณอะไรบางอย่างของคนรักได้ ความเข้าใจผุดวาบขึ้นบนใบหน้าเขา ทั้งโกรธเคืองระคนขมขื่นแสดงออกผ่านเสียงกดต่ำ กดความโมโหที่คุกรุ่นไปด้วย
"ป๊าไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้วนะ"
ผู้ฟังถึงกับหายใจสะดุดหลังคำถาม สัญชาตญาณแรกบอกให้ปิดกั้นและลืมมันไปเสียให้หมด อยากตัดจบรวดเร็วไม่ต่อบทสนทนา
"ไม่ได้เกี่ยวกันเลย เลิกโยงมั่วซั่วสักที"
"เกี่ยวสิ ยิ่งเคยโดนกรอกหูทุกวัน—"
"เลิกพูดถึง"
"ไม่โยงแล้ว ๆ" ชายหนุ่มยกมือขึ้นเป็นท่าทียอมแพ้ "แค่อยากให้รู้ว่าป๊าอยู่ที่บ้านเรานะ ตอนนี้น่ะ อยู่กับคนที่รักป๊าสุด ๆ รักถวายหัวเลย"
คำหวานยืนยันคำว่า 'รัก' ได้ไม่ถึงครึ่งของท่าทางของสามี ตั้งแต่การเคลื่อนไหวเล็ก ๆ ของมือที่บอกว่าเขาใส่ใจ ดวงตาที่มองสำรวจทุกความขุ่นเคืองของป๊า บ่าที่ตั้งมั่นจะรับความทุกข์ทนเครียดกังวลทุกอย่างของคนรักไปแบกไว้เอง
เมื่อใดที่มองเข้าไปในความจริงใจของสามี ความสงสัยว่าดีเกินไปจนไม่น่าเชื่อมักจะผุดขึ้นมา คนรักที่อดทนอยู่เคียงข้างเสมอกระทั่งในวันที่เขาทำตัวไร้เหตุผล เป็นทั้งที่พึ่งพิง เป็นคู่ร่วมทาง เป็นคู่ผิดปกติที่จะมีความสุขยั่งยืนจนไปถึงวัยเฒ่าชรา—ไม่ต่างจากมายาที่ถูกแต่งเติม
เมื่อเงยหน้าขึ้นมองความเป็นจริงรอบ ๆ ถึงรู้ว่าตัวเองตามืดบอดจากปัญหาเพียงใด
"เราทำให้ตวันผิด…ผิดธรรมชาติรึเปล่า"
ความกังวลร้อยแปดถูกสรุปเป็นคำสั้น ๆ ลงท้ายด้วยความรู้สึกผิด แน่นอนล่ะที่ลูกเป็นแบบนี้ ยังไงเขาก็ไม่พร้อมดูแลเด็กได้เท่ากับคู่ที่มีทั้งพ่อ-แม่อยู่แล้ว ความผิดเขาที่ดันทุรังอยากสร้างครอบครัว เอาเชื้อร้ายไปติดให้ลูก แล้วเด็กน้อยก็จะเจอจุดจบชวนใจสลายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
"ป๊าพูดเหมือนมีเกย์เพิ่มแล้วเป็นเรื่องแย่อย่างนั้นแหละ อย่าได้เอาไปพูดให้ลูกได้ยินเชียว"
ป๊านิ่วหน้าไม่อยากรับรู้ด้วยความรู้สึกแย่กว่า ทำไมถึงได้พูดคำหยาบคายออกมาได้หน้าตาเฉย ด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจอีกต่างหาก
"ไม่จริงตรงไหนกัน ถึงไม่พูดเดี๋ยวก็ต้องมีคนพูดอยู่ดี" พอเริ่มแล้วเหมือนหยุดไม่ได้ ความขมขื่นเริ่มจุกอยู่ที่คอ ลามขึ้นไปถึงจมูกและขอบตาร้อน "ตอนเราไปซื้อของข้างนอกแค่โอบเอวก็โดนมองประหลาด วันดีคืนดีเพื่อนบ้านเอาไปนินทา ตวันก็ต้องเจอเหมือนกัน ตอนหนุ่มคิดห่าเหวอะไรอยู่นะถึงได้รับเด็กมาเลี้ยง มัวแต่หวังลมแล้งโง่ ๆ ไม่ได้คิดถึงลูกเลย"
สารพัดคนรอบข้างที่ถือมีดแหลมคมคนละเล่ม ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่รู้ ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ เขาจะต้องถูกกีดกัน ถูกต่อว่าด้วยความคึกคะนอง ถูกทำร้ายอยู่วันยังค่ำ
"ไม่-ไม่อยากให้ลูกต้องเจอ…" อะไรก็ตามที่เขาเคยเจอแม้แต่วินาทีเดียว
"ไม่ว่านอกบ้านจะเป็นยังไง เสียงที่สำคัญที่สุดสำหรับลูกก็คือพวกเรา"
"แล้วกลับมาฟังกันบ้างไหมล่ะ"
เสียงตัดพ้อเบาเหมือนกระซิบ ความน้อยใจเสี้ยวเล็ก ๆ เทียบไม่ได้กับความกังวลแทนลูกที่มีมากกว่ากันอย่างมหาศาล เขาจะนอนหลับลงเหรอถ้ารู้ว่าลูกน้อยอยู่ตามลำพังกลางดงแร้ง จะโดนพวกมันโฉบลงมาจิกกัดตอนไหนบ้างก็ไม่รู้
"นี่กังวลมาตลอดเลยเหรอ ไม่รีบมาบ่นให้แด๊ดฟังบ้างเล่า น้อยใจนะเนี่ย" แด๊ดถอนหายใจเหนื่อย ๆ โอบไหล่คนรักให้มาพิงไว้แนบอก มือใหญ่ลูบบ่าปลอบโยน ริมฝีปากจุมพิตลงไรผม "ไม่เอาน่า ป๊าห่วงเกินไปแล้ว สมัยนี้เขาเปิดกว้างกว่าสมัยเรามากกกเลยนะ"
เปิดกว้าง? เขาได้มองรอบตัวบ้างรึเปล่า เห็นอย่างที่ป๊าเคยเห็นรึเปล่า
"แรก ๆ อาจยากหน่อย คนอื่นเขาแค่ไม่ชินกับสิ่งที่มันแตกต่างเท่านั้นแหละ พอเหล้าเข้าปากสักกรึ้บสองกรึ้บนี่แทบสาบานเป็นพี่น้อง ยายเมี้ยบ นังเบื้อง ไอ้ทิดย้ง คนในตลาดที่เคยไล่เราเดี๋ยวนี้เพื่อนแด๊ดทั้งนั้น" แล้วก็สาธยายมิตรภาพในสภากาแฟ วงไพ่ ชมรมหมากรุกไทยใต้ต้นข่อย กล่าวถึงการยอมรับที่ได้มาด้วยเสียงร่าเริง
"เราอยู่กันมาสี่สิบห้าสิบปีแล้วมั้งเนี่ย? เราสองคนไงคือหลักฐานว่าตวันกับโรมก็มีความสุขได้"
"ที่อยู่มาได้ขนาดนี้น่ะเป็นปาฏิหาริย์" ป๊าพูด เสียงเย็นชาผิดกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยอารมณ์โศก "มันไม่ได้เกิดกับทุกคน"
_____