เพื่อไม่ให้ตัวเองโดนแซวว่าแปลกหรือโดนอุ้มตัวลอยอีกเป็นครั้งที่สอง นาวีเลยเปลี่ยนเป็นหิ้วหัวเด็กด้วยมือข้างเดียวแทน พอจะหุบปากเด็กหนุ่มข้างตัวและพอจะกันไม่ให้จู่ ๆ ปรี่เข้ามาแบกได้ แต่กันบรรยากาศเริงรื่นของเขาไม่ได้เลยสักนิดสักนิด
"อุ้มงี้ลูกคอหักพอดี"
นาวีคิดผิด ต่อให้เขาเดินหนีไปอยู่อีกฝั่งของถนนดินก็ยังไม่วายโดนแซวอยู่ดี เมื่อกี้ตอนผ่านสุสานน่าจะเอาน้องไปวางรวมกับตุ๊กตาเจ้าที่และเจดีย์เก็บกระดูก
"มันก็แค่ตุ๊กตาไหม เอาไปแบกเองเลยไป"
"เฮ้ออ นาวีนี่ไม่ไหวเลย"
ฉัตรเข้ามาเกาะแกะใกล้ ๆ ด้วยการเอาแขนพาดบ่าเขา นาวีเลยสามารถยัดเด็กหน้าหลอนใส่อกอีกฝ่ายสำเร็จ แต่หากเขาคิดว่านั่นจะสามารถหยุดคนช่างหยอดจากโอกาสทองได้ เขาก็คิดผิดมหันต์ ฉัตรเอาตุ๊กตาทารกไปเล่นประกอบการเลียนเสียงได้อย่างน่าสะพรึงที่สุด เด็กหนุ่มที่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ดีพอทำเสียงเล็กเสียงน้อยแล้วคนฟังอยากระเบิดแก้วหูทิ้ง
"ป่าป๊าฮับหักคอนู๋ทำมาย"
"อยู่กะลุงฉัตรนู๋ไปเกิดใหม่ดีกว่าฮับ" นาวีทำตามด้วยอารมณ์แตกต่าง แต่ความน่าขนลุกอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน
"โห่วว ทำไมผมเป็นลุงล่ะ เป็นอย่างอื่นไม่ได้เหรอ"
"ได้ เดี๋ยวคิดก่อนนะ คงต้องเป็นอะไรที่เสี่ยว ๆ เลี่ยน ๆ ไร้สาระ แล้วก็แป้ก"
"ขึ้นต้นด้วย ส.เสือ ลงท้ายด้วยม.ม้า?"
"เสื่อม"
"นั่นสระเอ"
"สารเลม"
"มันลงม.ม้าตรงไหน นาวีขี้โกงว่ะ"
"สติไม่เต็ม"
"แต่ความรักล้นเปี่ยมนะครับ"
นาวีกำลังจะหลุดขำแต่เปลี่ยนเป็นถอนหายใจเฮือกใหญ่ได้ทันควัน ก่อนปล่อยเสียงเฮ้อยาวเกินจริงออกมาด้วยสีหน้าเหน็ดเหนื่อย "เอาเถอะ คนมีความรักก็บ้านิด ๆ เป็นเรื่องปกติ"
ชิงช้าสวรรค์เป็นเป้าหมายสุดท้ายของทั้งสอง คนต้นคิดไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเด็กหนุ่มข้างตัวที่ยึดถืออุดมคติโรแมนติกอยู่เต็มอก ยกเหตุผลมากมายมาลากเขาขึ้นไปเป็นเพื่อน ไม่ว่าจะเป็นวิวสวย บรรยากาศดี อากาศดี ดูดาวแต่แสงไฟสว่างไสวขนาดนี้คงจะเห็น
พอเจอแถวแล้วนาวีอยากหันหลังกลับ ไม่ใช่ว่าต้องรอคิวยาว หรือมันดึกมากแล้ว หรือเขาจะเก็บร้านกันแล้ว แต่คนอื่นถ้าไม่มากันเป็นครอบครัวก็เป็นคู่รักขึ้นไปกันสองคน แต่…แต่ผู้ชายสองคนขึ้นกระเช้าเดียวกันมันไม่แปลกเหรอ ถึงจะอ้างได้ว่าเป็นเพื่อนกันก็เถอะ
"ไปด้วยกันนะ?"
แปลกก็ช่างเถอะ…
นาวีเป็นฝ่ายจับมือเขาแล้วเดินนำหน้าไป ประสานสัมผัสอบอุ่นย้ำเตือนให้ทุกความคิดจดจ่ออยู่กับแค่เวลานี้
คนที่จ้องการจับมือของทั้งสองอย่างหยาบคายยังมีอยู่ แต่พอมาสังเกตดี ๆ ถึงรู้ว่าจริง ๆ แล้วมนุษย์ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้สนใจคนอื่นมากขนาดนั้น ยิ่งพนักงานเครื่องเล่นคือเบื่ออยากกลับบ้านจะแย่อยู่แล้ว ใบหน้าไร้ชีวิตชีวาดูเหมือนจะหลับไปได้ทุกเมื่อ จับชิงช้า บอกเสียงงึมงำว่ารอก่อนครับ เปิดประตู แล้วก็ปิดขังกรงโดยไม่สนใจอะไร วนทำซ้ำใหม่ตั้งแต่ต้นกับคิวข้างหลัง ทำทุกอย่างโดยอัตโนมัติราวกับเป็นเรื่องจักร
ข้างในชิงช้าเล็กมาก ต่อให้ไปนั่งชิดคนละฝั่งเพื่อถ่วงน้ำหนักเข่าก็ยังเลยมาชนกัน ยังสามารถจับมือกันได้โดยไม่ต้องเอื้อม แล้วเครื่องก็ค่อย ๆ หมุนไปสู่จุดสูงสุดของชิงช้า
ตอนนั้นเองที่ไฟดับพรึบ
นาวีสะดุ้งโหยง ความมืดมิดมองไม่เห็นสิ่งใดทำเขาใจหาย ก่อนเสียงร้องตกใจของผู้คนด้านล่างจะดึงให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน
มือสั่นระริกถูกกุมแน่น ถูกลูบให้ความอบอุ่นด้วยสัมผัสนิ่มนวล ทั้งที่ติดค้างอยู่ในที่ปิดตายมืด ๆ สูงจากพื้นดินไม่รู้กี่เมตร ตกลงไปได้แข้งขาหักบาดเจ็บ—แต่เด็กหนุ่มอีกคนยังสามารถคงน้ำเสียงมีความสุขได้อย่างน่าทึ่ง
ช่วยทำให้เขาสงบลงได้เยอะ
"นาวี เงยหน้าขึ้นมองสิ"
ไฟดับครั้งนี้ไม่ได้ครอบคลุมแค่ในงานวัด ทุกอย่างมืดไปหมดกระทั่งเส้นขอบฟ้าไกล ๆ ก็ไร้แสงสว่าง ราวกับว่าพลังงานไฟฟ้าได้หายไปจากทั้งโลก เมื่อดวงตาปรับแสงได้แล้วถึงสามารถมองเห็นทะเลดาวที่เขาชี้ชวนได้ชัด ประกายนับล้านเจิดจรัสบนม่านฟ้า ทางช้างเผือกวาดเป็นริ้วขาวทอดยาวเหนือแนวใบระกา
พอจะเข้าใจแล้วว่าบรรยากาศโรแมนติกน่าดึงดูดใจอย่างไร
"ทำไมมองไม่เห็นอะไรเลยล่ะ"
"ไม่เห็นเหรอ นาวีลองกะพริบตาถี่ ๆ รึยัง บางทีอาจยังไม่ชินกับความมืด"
"หรือว่าจะ…" อมยิ้มเมื่อนึกสาเหตุสำคัญอีกอย่างออก
"ครับ?"
"ความรักบังตา"
แสงดาวฉายให้พอเห็นหน้าตกตะลึงของอีกฝ่ายได้ ฉัตรอ้าปากค้างนานจนน่ากลัว ถ้าเป็นตอนกลางวันคงเห็นชัดว่าเลือดสูบฉีดจนแก้มแดงก่ำ ผู้พูดเองก็ไม่คาดคิดว่าคนที่หยอดคำหวานมาตลอดทั้งวันจะมีปฏิกิริยาแบบนี้ แค่เขาหยอดกลับนิดหน่อยเอง?
"อะไรจะอึ้งขนาดนั้นฮึ"
หลังโดนตบแก้มเบา ๆ เรียกสติ คนรักเขาก็เริ่มตอบอ้อมแอ้ม "…ไม่คิดว่านาวีจะเล่น"
เสียงของเด็กหนุ่มผู้นั่งตรงข้ามชัดขึ้น ใบหน้าก็ขยับเข้าใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ จนต้องหลับตาลง สายตาชวนให้เคลิ้มฝันลึกซึ้งจนไม่อาจมองสู้ ได้ยินแต่เสียงสองลมหายใจสอดประสานกัน สัมผัสประสาทชัดเจนเหนือกว่าสิ่งรบกวนอื่นใด
กว่าจะถึงพื้นอย่างปลอดภัยก็รอไฟมาอยู่ร่วมชั่วโมง ริมฝีปากนาวีรู้สึกระบมยิ่งกว่าให้ไปลองซอสพริกกลางกองไฟ รสชาติหวานลึกและร้อนผ่าวยังติดค้างอยู่ตรงลิ้นจนไม่มีใครพูดอะไรออก ทั้งเงียบและมึนกันตลอดทาง
นาวีได้กอดเอวซ้อนมอเตอร์ไซค์คนรักเป็นเวลาสั้น ๆ อย่างน่าเสียดาย ก่อนฉัตรจะดับเครื่องเมื่อใกล้ถึงกำแพงบ้านเขา เราสองคนเดินไปด้วยกันในความมืดอย่างเงียบ ๆ จนถึงกำแพง
เมื่อปีนข้ามแนวเหล็กแหลมได้สำเร็จ ลูกเจ้าของบ้านยังนั่งเกาะราวอยู่บนกำแพงอย่างไม่อยากไปไหน ไม่อยากให้ความสุขที่กำลังเบ่งบานอยู่เต็มอกต้องจบลงด้วยน้ำตา อยากอ้อยอิ่ง เชื่องช้า ใช้เวลาให้นานที่สุดเหมือนกับการจูบก่อนหน้านี้
ไม่อยากกลับเลย…นาวีใช้ดวงตาโหยหาอ้อนวอนอย่างไร้เสียง อยากโดนลงไปทับเขาให้ร่วงลงพื้นถนนไปด้วยกัน อยากประกบริมฝีปากอีกทีเป็นการบอกว่ารักแค่ไหน หากต้องแยกกันจะคิดถึงเพียงใด แค่มองใบหน้าของเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านล่างก็วาดฝันถึงอนาคตของเราได้เป็นร้อยเป็นพันฉาก ตั้งแต่ประนมมือรอน้ำสังข์ในวันแต่งงาน ไปจนถึงประนมมือมัดตราสังในวันร่ำลา
"ถ้าคนรักกัน รั้วเหล็กก็แค่ไม้กลัดกั้น"
—แลกกับการโดนหยอดด้วยมุขกุมขมับทุกวัน คราวนี้นาวีปล่อยให้ตัวเองเผยรอยยิ้มเขินอายโดยไม่ปิดบัง
"ไว้ชวนอีกนะ?"
"แน่นอนสิ"
"งั้น…ราตรีสวัสดิ์"
"ไว้เจอกันในความฝันนะครับ"
___
ตอนกลับถึงห้องนาวีไม่คิดว่าจะเจอพ่อ แต่ก็ไม่ได้แปลกใจ พอขาข้ามพ้นขอบหน้าต่างเขาเห็นชายวัยกลางคนกอดอกนั่งรออยู่ตรงประตู แบกบรรยากาศเดียดฉันท์กับความผิดหวังไว้เต็มบ่า ถึงกับลากเก้าอี้จากโต๊ะอ่านหนังสือมาขวางทางออก เหมือนเป็นกำแพงกั้นกลาย ๆ ให้ลูกคิดว่ากำลังถูกตอนจนมุมไร้ทางหนี ไม่ได้ผลนักสำหรับคนที่เพิ่งปีนหน้าต่างเข้ามา
สายตารังเกียจมองดูตุ๊กตาที่ลูกหนีบแขนมาด้วย แฝงความขยะแขยงชนิดอยากเผามันให้เป็นจุณ
นาวีเมื่อก่อนคงมือไม้สั่นไปหมด ขอโทษทั้งน้ำตา แต่ตอนนี้เขาไม่ใช่เด็ก ๆ ที่จะกลัวหงออีกต่อไปแล้ว ไม้หวายในมือแกก็เป็นได้แค่คำขู่ลมแล้ง ถ้าคิดว่าความเจ็บปวดทางกายมันมากพอจะบังคับเขาได้ก็เชิญฝันต่อไปเถอะ
"ทำไมแกถึงไม่หายสักที"
ไม่ได้ป่วยสักหน่อย ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นต้องรักษา แต่ดูเหมือนว่าคนที่มีสิทธิ์ตัดสินใจกับชีวิตเขาจะไม่ได้คิดแบบเดียวกัน
"ต้องให้ตัวต้นเหตุมันหายไปก่อนใช่ไหม"
"ถ้าพ่อทำอะไรเขา…ก็เตรียมลอยอังคารงานผมเลยแล้วกัน"
"อย่าเอาชีวิตตัวเองมาขู่ฉัน!"
"เฮอะ ทีพ่อล่ะ ชีวิตคนอื่นละขู่ได้ขู่ดี" นาวีกวนกลับพร้อมรอยยิ้มเหยียด นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราสองคนทะเลาะกัน ดึงลากเอาความห่วงใยมาข่มขู่กันเหมือนยังขัดแย้งไม่พอ
นิธินมีท่าทีอ่อนลงเมื่อเห็นว่าเสียงดังใช้กับลูกไม่ได้ผล นาวีนึกแปลกใจที่เขามีการพัฒนา นึกว่าจะมีแค่ไม้หวายกับการตะคอกเป็นอาวุธเสียอีก "แกก็รู้ว่าฉันทำไปเพราะเป็นห่วง คนเป็นพ่อแม่ที่ไหนจะนิ่งเฉยทนดูลูกป่วยได้ฮึ เมื่อไรที่แกเป็นพ่อคนแล้วจะเข้าใจ"
ทำไมความห่วงใยถึงได้ทรมานนัก
"หึ" นาวีแค่นหัวเราะสมเพชออกมา อยากปิดโสตประสาทหนีด้วยไม่นึกอยากฟังแม้แต่ครึ่งคำ
"ถ้าไม่รัก ฉันจะทุ่มเทให้แกขนาดนี้ทำไม—"
"พ่อไม่ได้รักผม พ่อแค่รักความคาดหวังของตัวเอง"
รักแค่นาวีในภาพวาดฝันมากกว่านาวีที่มีชีวิต เจ็บปวด พังทลาย เคยอ้อนวอนขอให้เข้าใจ เคยร้องไห้เจียนตายอยู่ตรงหน้าเขา
แต่น่าเสียดาย คนเป็นลูกไม่เด็ดขาดพอที่จะโดดลงหน้าต่าง สะบัดทุกเยื่อใยที่มีต่อผู้ให้กำเนิดทิ้งเพื่อย้อนกลับไปหาคนที่รักเขาจริง ๆ
_____